fbpx

ตัดเกรดกระทรวงแรงงานหลังโรคระบาดคลี่คลาย: เมื่อรัฐไทยสอบตกการจัดการปัญหาแรงงานข้ามชาติ

แรงงานข้ามชาติหลอมรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไทยมามากกว่าทศวรรษ คงเป็นภาพชินตาที่เราจะเห็นแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็น เมียนมา กัมพูชา หรือ ลาว อาบเหงื่อต่างน้ำ ทำงานที่เรียกกันว่า 3D คือ กลุ่มงานที่ยาก (difficult) อันตราย (dangerous) และสกปรก (dirty) เช่น ในภาคธุรกิจก่อสร้าง การเกษตร ประมง และโรงงานอุตสาหกรรม ทว่า เมื่อวิกฤตโรคระบาดมาเยือน แรงงานข้ามชาติผู้มีส่วนร่วมสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจกลับถูกปฏิบัติอย่างเป็นอื่น ไม่ได้รับการเหลียวแลจากรัฐไทยเท่าที่ควร

การระบาดของโควิด-19 ระลอกสอง ในปลายปี 2563 ที่นำมาสู่การสั่งปิดตลาดกลางกุ้งมหาชัย เป็นหมุดหมายที่เผยให้เห็นความไร้ประสิทธิภาพและขาดวิสัยทัศน์ของรัฐไทยในการจัดการปัญหาแรงงานข้ามชาติ มาตรการกวาดล้างจับกุมแรงงานผิดกฎหมายของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) และกระทรวงแรงงาน เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดในหมู่แรงงานข้ามชาติในขณะนั้น ทำให้เกิดคลื่นนายจ้างลอยแพแรงงานข้ามชาติ ทำลายบรรยากาศความไว้วางใจระหว่างแรงงานข้ามชาติกับรัฐ แรงงานข้ามชาติจำนวนมากก็ค่อยๆ หล่นหายจากระบบจ้างงานอย่างถูกกฎหมายไปในที่สุด

เมื่อวิกฤตโรคระบาดกำลังคลี่คลาย วิกฤตขาดแคลนแรงงานเพื่อช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจในภาคการผลิตและบริการปรากฏชัดขึ้น ข้อมูลจากหอการค้าไทยเผยว่า ในปี 2565 ประเทศไทยขาดแคลนแรงงานย้ายถิ่นมากกว่า 500,000 คน ขณะที่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ประเมินว่าในภาคการผลิตและก่อสร้างยังขาดแคลนแรงงานมากถึง 700,000 คน ท่ามกลางเสียงเรียกร้องการจัดการที่มีประสิทธิภาพ นโยบายที่สามารถดึงแรงงานกลับสู่ระบบให้ได้มากกว่านี้ รัฐไทยทำได้แค่ไหนในการจัดการปัญหาแรงงานข้ามชาติหลังสถานการณ์โควิด

เนื่องในวันผู้ย้ายถิ่นสากล (International Migrant Day) 18 ธันวาคม ปีนี้ เครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (Migrant Working Group – MWG) จัดเวทีเสวนา เช็คคะแนนกระทรวงแรงงาน เดินหน้า ย่ำอยู่กับที่ หรือถอยหลัง กับการจัดการปัญหาแรงงานข้ามชาติ หลังสถานการณ์โควิด โดยมีตัวแทนจากภาคประชาสังคมเข้าร่วมแสดงความคิดเห็นต่อการแก้ไขปัญหาของภาครัฐ

101 เก็บความจากงานเสวนาเพื่อร่วมติดตามการแก้ไขปัญหาแรงงานข้ามชาติหลุดจากระบบ และร่วมฟังเสียงสะท้อนของคนด่านหน้าว่าอยากให้รัฐเดินหน้าอย่างไรในการจัดการปัญหาแรงงานข้ามชาติ

แก้ปัญหาระยะสั้น สร้างระบบซับซ้อน

เปิดช่องให้ช้อนผลประโยชน์

อดิศร เกิดมงคล ตัวแทนเครือข่ายองค์กรประชากรข้ามชาติ ชวนดูสถิติแรงงานข้ามชาติในประเทศไทยก่อนและหลังโควิด พบว่า ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 ถึงมีนาคม 2564 มีแรงงานข้ามชาติหลุดจากระบบการจ้างงานอย่างถูกกฎหมายถึง 642,016 คน เมื่อคลี่สถิติดูรายเดือนจะเห็นจำนวนแรงงานที่ขึ้นๆ ลงๆ หากพิจารณาประกอบกับการออกมติคณะรัฐมนตรี เรื่องการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว ที่เปิดให้ขึ้นทะเบียนแรงงานถึง 4 ครั้งนับตั้งแต่ปี 2563 และมีมาตรการในการขยายเวลาการดำเนินการของแรงงานข้ามชาติออกไปอีกกว่า 10 ครั้ง จะสะท้อนได้ชัดว่ารัฐไทยยังเน้นแก้ปัญหาในระยะสั้น ช่วงไหนจำนวนแรงงานในระบบลดลง ก็เปิดให้มีการลงทะเบียนเป็นรอบๆ หวังจะดึงแรงงานเข้าสู่ระบบมากขึ้น

อดิศร เกิดมงคล เครือข่ายองค์กรประชากรข้ามชาติ (Migrant Working Group – MWG)

นอกจากนี้ อดิศรยังชี้ให้เห็นปัญหาในการออกแบบระบบขึ้นทะเบียน ที่เพิ่มภาระมากกว่าจะอำนวยความสะดวกแก่นายจ้างและลูกจ้าง พิจารณาตั้งแต่การรวมศูนย์อำนาจในการจัดการไว้ที่กรมจัดหางานเพียงหน่วยงานเดียว นายจ้างซึ่งประมาณการว่ามีกว่าแสนคนต้องมุ่งเข้าไปที่ช่องทางเดียว ขณะที่กรอบเวลาที่รัฐกำหนดกลับไม่สมเหตุสมผล โดยเปิดให้ยื่นบัญชีรายชื่อแรงงานข้ามชาติทางระบบออนไลน์เพียง 15 วัน ทำให้นายจ้างส่วนมากดำเนินการไม่ทัน เนื่องจากความล่าช้ามีมาตั้งแต่ขั้นตอนขออนุมัติ อีกทั้งระบบออนไลน์ที่ใช้ก็มีการเปลี่ยนแปลงบ่อย มีเงื่อนไขที่ยุ่งยากซับซ้อน ผลักให้นายจ้างต้องหันมาพึ่งนายหน้า ค่าใช้จ่ายในการขึ้นทะเบียนจึงเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว “เมื่อจ้างนายหน้า ค่าใช้จ่ายจะสูงขึ้นถึง 12,000-18,000 บาท ทั้งที่ค่าใช้จ่ายในการขึ้นทะเบียนควรจะอยู่ที่ประมาณ 3,000 บาท” อดิศรกล่าว

นอกจากความซับซ้อนของระบบจะเปิดทางให้ธุรกิจนายหน้ารับขึ้นทะเบียนได้เฟื่องฟู เจ้าหน้าที่รัฐจำนวนหนึ่งได้อาศัยช่วงรอยต่อหลังมีมติ ครม. ที่ยังไม่มีประกาศรองรับการให้สถานะอยู่อาศัยเป็นการชั่วคราว และช่วงที่เอกสารประจำตัวของแรงงานหมดอายุ แสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ มติคณะรัฐมนตรีและมาตรการต่างๆ ที่ออกมาถี่จนนายจ้างตามไม่ทันยังเปิดช่องให้มีการเรียกรับเงินจากนายจ้างหรือแรงงาน

“เจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนหนึ่งใช้ความไม่รู้หรือแสร้งว่าไม่รู้ ว่าไม่จำเป็นต้องใช้หนังสือเดินทางในการยืนยัน โดยใช้เพียงเอกสารขึ้นทะเบียนก็ได้ มาเป็นเครื่องมือในการหาประโยชน์ บอกนายจ้างหรือแรงงานว่าไม่มีพาสปอร์ตเท่ากับผิดกฎหมาย แล้วก็จับกุมเขา” อดิศรกล่าว

ด้าน แฉล้ม สุกใส ตัวแทนนายจ้างกิจการก่อสร้าง สะท้อนจากมุมมองของนายจ้างว่า นอกจากระบบจะยุ่งยากและมีรายละเอียดที่เปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยในแต่ละมติแล้ว กระทรวงแรงงานยังล้มเหลวในการประสานงานและสร้างความเข้าใจที่ตรงกันกับเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะตำรวจ ด้วยลักษณะงานก่อสร้างที่ต้องเดินทางไปทั่วประเทศ ลูกจ้างแรงงานข้ามชาติของแฉล้มมักจะโดนตำรวจเรียกตรวจเอกสารอยู่บ่อยครั้ง จากประสบการณ์ที่พบเจอ ตำรวจมักจะไม่เข้าใจเอกสารขึ้นทะเบียนว่า แต่ละมติ ครม. อนุญาตให้ใช้เอกสารใดยืนยัน เมื่อตำรวจเห็นว่าแรงงานไม่มีเอกสารตัวจริงก็ถือว่าผิดกฎหมาย ท้ายสุดแรงงานก็โดนจับ และส่งผลกระทบสืบเนื่องคือทำให้แรงงานขาดรายได้

แฉล้มยังเล่าว่ามีหลายครั้งที่ถูกตำรวจเรียกรับเงินเพื่อปล่อยตัวลูกจ้าง ความไม่รู้และการมุ่งแสวงหาผลประโยชน์ในหมู่เจ้าหน้าที่รัฐ สร้างความเหนื่อยหน่ายไม่รู้จบให้กับเหล่านายจ้าง แฉล้มประเมินเกรดให้การจัดการของรัฐบาลและกระทรวงแรงงานไว้ว่า ‘ก้าวถอยหลัง’ อย่างไม่ลังเล

แฉล้ม สุกใส ตัวแทนนายจ้างกิจการก่อสร้าง

ยุทธศาสตร์ที่เป็นระบบคือทางออกที่ยั่งยืน

ประเด็นที่รัฐไทยยังนิ่งนอนในการแก้ปัญหา คือการจัดการผู้อพยพหลังจากมีเหตุการณ์รัฐประหารในเมียนมา อดิศรกล่าวว่า สถานการณ์ในเมียนมาทำให้ผู้ลี้ภัยสามกลุ่มดังต่อไปนี้เพิ่มขึ้น คือ ผู้ลี้ภัยตามชายแดน ผู้ลี้ภัยทางการเมือง และผู้ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งทางการเมืองแล้วโยกย้ายเข้ามาเป็นแรงงาน

ข้อกังวลของอดิศรคือรัฐไทยยังไม่มีการคัดกรองผู้ลี้ภัยอย่างจริงจัง แม้จะมีมติ ครม. ให้จัดทำกลไกคัดกรองและบริหารจัดการประชากรผู้ลี้ภัยตั้งแต่ปี 2560 แต่ผ่านมาห้าปี รัฐไทยกลับไม่เคยดำเนินการคัดกรองแล้วให้สถานะผู้ลี้ภัยตามกฎหมายของไทยได้ ความไม่คืบหน้าดังกล่าวทำให้เกิดความเสี่ยงทั้งต่อตัวผู้ลี้ภัย คือ เมื่อรัฐไทยพยายามผลักดันกลับ ทำให้ผู้ลี้ภัยเสี่ยงจะเผชิญสถานการณ์ที่เลวร้ายอีก และอีกประการคือความเสี่ยงต่อรัฐ คือทำให้คนที่ไม่มีทางเลือกในการเข้าประเทศกลายเป็นแรงงานผิดกฎหมายและเสี่ยงต่อการค้ามนุษย์

อดิศรตัดเกรดให้รัฐบาลไทยสอบตกด้านการจัดการปัญหาแรงงานข้ามชาติ โดยเฉพาะในสี่ประเด็นหลักที่แก้ไม่ตก คือ แรงงานข้ามชาติถูกกฎหมายหลุดระบบได้ง่าย พบแรงงานอพยพเข้ามาอย่างผิดกฎหมายเพิ่มขึ้น รัฐบาลยังแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ขาดยุทธศาสตร์ในระยะยาว และมาตรการการจัดการยังส่งผลให้เกิดพื้นที่สีเทาที่เอื้อต่อการแสวงหาประโยชน์ของระบบนายหน้าและเจ้าหน้าที่รัฐ

เมื่อถามถึงข้อเสนอแนะต่อรัฐบาล อดิศรอยากให้รัฐบาลทบทวนเงื่อนไขกรอบเวลาต่ออายุใบอนุญาตทำงานให้กับแรงงานข้ามชาติ ที่กำหนดให้ต้องดำเนินการเสร็จสิ้นภายใน 13 กุมภาพันธ์ 2566 การกำหนดเส้นตายโดยไม่สนความเป็นจริงที่ว่า ระบบของรัฐทำให้เกิดความล่าช้าในการดำเนินการจนนายจ้างและลูกจ้างเตรียมเอกสารไม่ทัน อีกทั้งในช่วงที่มีการปิดพรมแดนเพราะการระบาดของโควิด ยังทำให้แรงงานไม่สามารถเดินทางกลับไปทำหนังสือเดินทางได้ อดิศรย้ำว่า หากรัฐไม่ขยายกรอบเวลา ผลกระทบจะเกิดขึ้นกับภาคอุตสาหกรรมที่พึ่งพาแรงงานข้ามชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มีการประมาณการว่าแรงงานข้ามชาติกว่า 700,000 คน จะหลุดจากระบบ อดิศรยังเรียกร้องให้รัฐไทยจัดทำยุทธศาสตร์ชาติในการบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติและผู้อพยพอย่างเป็นระบบ เพื่อเป็นการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

กระทรวงแรงงานทำลายพื้นที่ปลอดภัยในการเรียกร้องสิทธิของแรงงาน

ธนพร วิจันทร์ นักปกป้องสิทธิแรงงาน พาย้อนกลับไปเมื่อช่วงที่โควิด-19 ระบาดหนักในแคมป์แรงงานก่อสร้างจนรัฐบาลมีคำสั่งให้มีการปิดแคมป์คนงาน ธนพรทวนเหตุการณ์การสั่งปิดแคมป์แบบ ‘ลักหลับ’ ว่า ขณะนั้นมีการประกาศออกมาในช่วงกลางคืนที่ไม่มีใครทันติดตามข่าวสาร เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อแรงงานข้ามชาติทราบประกาศก็เกิดความโกลาหลและแตกตื่น การออกประกาศที่ไม่มีการสื่อสารอย่างเหมาะสม ให้ผลตรงกันข้ามกับที่รัฐบาลอยากให้เป็น คือ แทนที่ประกาศปิดแคมป์แล้วจะคุมสถานการณ์ได้ แต่กลับทำให้สถานการณ์บานปลาย เพราะแรงงานกังวลเรื่องความเป็นอยู่และพยายามหาทางออกจากพื้นที่แคมป์ที่ถูกปิด นอกจากนี้ การที่ชายแดนปิดและหน่วยงานรัฐจำกัดการให้บริการ ทำให้แรงงานถูกกฎหมายจำนวนมากกลายเป็นแรงงานผิดกฎหมายไปอัตโนมัติเมื่อไม่สามารถต่ออายุเอกสารประจำตัวได้

มีความพยายามจากรัฐที่จะแก้ปัญหาแรงงานหลุดจากระบบ เมื่อมติ ครม. ว่าด้วยแนวทางการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว ที่ออกมาเมื่อปลายปี 2563 เปิดให้ลูกจ้างสามารถขึ้นทะเบียนเองได้ พอเดือนกันยายนในปีถัดมาก็มีมติ ครม. ออกมาอีก โดยเปลี่ยนแปลงให้นายจ้างสามารถนำลูกจ้างไปขึ้นทะเบียนได้ฝ่ายเดียว แม้จะปรับกฎเกณฑ์การขึ้นทะเบียนหวังดึงแรงงานเข้าระบบ แต่ปัญหาแรงงานตกอยู่ในสถานะเข้าเมืองผิดกฎหมายก็ยังดำรงอยู่เช่นเดิม

ในด้านการเข้าถึงสิทธิต่างๆ ธนพรได้รับแจ้งมาว่าหลายพื้นที่มีการประกาศไม่รับแรงงานข้ามชาติเข้ารักษา ถูกตัดสิทธิการเข้าถึงบริการสาธารณสุข อีกทั้งไม่มีโรงพยาบาลสนามที่เพียงพอในกรณีที่แรงงานติดเชื้อโควิด-19 เมื่อมีเสียงร้องเรียนจากแรงงานข้ามชาติมาจากหลายทิศทาง ธนพรจึงตัดสินใจไปยื่นหนังสือถึงกระทรวงแรงงาน เพื่อทวงถามการเข้าถึงสิทธิประกันสังคม การรักษาพยาบาล และการผ่อนปรนการขึ้นทะเบียนแรงงาน

ธนพร วิจันทร์ นักปกป้องสิทธิแรงงาน

การยื่นหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เพื่อติดตามการดำเนินการตามข้อเสนอเพื่อแก้ไขปัญหาในกลุ่มแรงงานก่อสร้างและแรงงานข้ามชาติระหว่างการระบาดของโควิด-19 เมื่อ 29 ตุลาคม 2564 ไม่ประสบความสำเร็จในการพูดคุย เนื่องจากขณะที่ตัวแทนกำลังเข้าพบกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าตรวจเอกสารแรงงานที่มาร่วมยื่นหนังสือ และมีการจับกุมแรงงานข้ามชาติ จำนวน 7 คน ยิ่งไปกว่านั้น จากกิจกรรมยื่นหนังสือครั้งนี้ ทำให้ธนพรมีคดีติดตัว ถูกอัยการสั่งฟ้องฐานฝ่าฝืน พรก.ฉุกเฉิน การกระทำจากเจ้าหน้าที่รัฐในครั้งนั้นได้ทำลายความเชื่อมั่นจากภาคประชาสังคมและแรงงานข้ามชาติ ความพยายามจะชี้ให้กระทรวงแรงงานเห็นปัญหา กลับได้รับการตอบแทนเป็นการเข้าจับกุม ทั้งที่รัฐบาลประกาศว่าจะมีการผ่อนผันและยังตั้งข้อหาแก่ผู้ชุมนุม

ธนพรจัดเรตติ้งและให้ความเห็นต่อการทำงานของกระทรวงแรงงานไว้ว่า “ถอยหลัง และยังตกขอบ ไม่ใช่ถอยหลังธรรมดา เห็นได้จากกระบวนการจัดการที่มีปัญหา ยิ่งเป็นหน่วยงานรัฐก็ยิ่งมีแนวคิดในเรื่องชาตินิยม มีทัศนคติที่ไม่ดีกับแรงงานข้ามชาติ ข้อหาที่ตนได้รับยิ่งสะท้อนว่ารัฐไร้น้ำยาในการจัดการปัญหาแรงงานข้ามชาติ การที่นักปกป้องสิทธิแรงงานไปยื่นหนังสือ แล้วติดคุก 1 เดือน ปรับ 20,000 บาท มันทำลายพื้นที่ปลอดภัยที่กระทรวงแรงงานควรจะมีให้สำหรับแรงงานทุกเชื้อชาติที่อยู่ในประเทศไทย นี่คือลักษณะของกระทรวงแรงงานในยุคเผด็จการ”

เมื่อโรคระบาดไม่เลือกสัญชาติ

อสต. ควรได้รับการสนับสนุนจากรัฐมากกว่านี้

ธันดา เมียว (Thandar Myo) อาสาสมัครสาธารณสุขต่างชาติ (อสต.) ชาวเมียนมา จากมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย ผู้ผันตัวมาเป็น อสต. หลังเป็นล่ามอาสาสมัครในช่วงที่โควิด-19 ระบาดหนักในชุมชนแรงงานข้ามชาติ ธันดาเล็งเห็นว่าการสื่อสารคือหัวใจที่นำไปสู่การรักษาที่ประสบผลสำเร็จ เพราะภาษายังเป็นอุปสรรคหลักระหว่างคนไข้ที่เป็นคนข้ามชาติและเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ธันดาให้ความเห็นว่า ลำพังการเข้าถึงการรักษาในหมู่พี่น้องแรงงานข้ามชาติก็ยากลำบากอยู่แล้ว หากไม่มีล่ามช่วยสื่อสารอาการเจ็บป่วยให้หมอเข้าใจ แรงงานข้ามชาติก็เสี่ยงที่จะได้รับการรักษาไม่ทันท่วงที ธันดาจึงอยากส่งเสียงถึงภาครัฐให้มีการจัดหาล่ามให้เพียงพอต่อแรงงานข้ามชาติที่เข้ารับบริการตามโรงพยาบาลต่างๆ

ธันดา เมียว (Thandar Myo) อาสาสมัครสาธารณสุขต่างชาติ หรือ อสต.

นอกจากจะช่วยก้าวข้ามกำแพงภาษาแล้ว อสต. ยังร่วมมือกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขไทยในการคัดกรอง แจกสิ่งของ และติดตามอาการเพื่อนแรงงานข้ามชาติในชุมชน ธันดามีความภาคภูมิใจในหน้าที่ของตน แต่จะดีกว่านี้หากรัฐให้การสนับสนุน อสต. อย่างทัดเทียมกับอาสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ที่เป็นคนไทย ทั้งค่าตอบแทนและการเข้ารับการอบรมที่มีมาตรฐาน ธันดายังอยากให้รัฐออกใบรับรองอย่างเป็นทางการแก่ อสต. เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับคนในชุมชน เธอกล่าวเสริมว่า “โรคระบาดไม่เลือกสัญชาติ อสต. ควรจะได้รับการยอมรับเหมือน อสม. เพื่อที่จะได้ร่วมมือกันพัฒนาสุขภาวะคนในชุมชนอย่างมีประสิทธิภาพ”

ธันดาชูป้าย ‘ก้าวหน้า’ ให้การจัดการแรงงานข้ามชาติของภาครัฐในด้านสาธารณสุข เพราะตั้งแต่รับหน้าที่ อสต. เธอได้รับความร่วมมือที่ดีจากรัฐมาโดยตลอด และอยากให้ภาครัฐทำได้ดียิ่งๆ ขึ้นไป

คงไม่ผิดนักที่จะกล่าวว่า ปราศจากพี่น้องแรงงานข้ามชาติ เศรษฐกิจไทยก็ยากจะเดินต่อได้ หากรัฐบาลยังมองว่าแรงงานข้ามชาติคือความหวังในการฟื้นฟูประเทศหลังสถานการณ์โควิด รัฐไทยต้องไม่นิ่งนอนที่จะรับฟังเสียงสะท้อนจากภาคประชาสังคม เพื่อนำไปปรับเปลี่ยนแนวทางบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติให้มีประสิทธิภาพต่อไป

MOST READ

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

Social Issues

21 Nov 2018

เมื่อโรคซึมเศร้าทำให้อยากจากไป

เรื่องราวการรับมือกับความคิด ‘อยากตาย’ ผ่านประสบการณ์ของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า คนเคียงข้าง และบทความจากจิตแพทย์

ศุภาวรรณ คงสุวรรณ์

21 Nov 2018

Social Issues

22 Oct 2018

มิตรภาพยืนยาว แค้นคิดสั้น

จากชาวแก๊งค์สู่คู่อาฆาต ก่อนความแค้นมลายหายกลายเป็นมิตรภาพ คนหนุ่มเลือดร้อนผ่านอดีตระทมมาแบบไหน ‘บ้านกาญจนาฯ’ เปลี่ยนประตูที่เข้าใกล้ความตายให้เป็นประตูสู่ชีวิตที่ดีกว่าได้อย่างไร

ธิติ มีแต้ม

22 Oct 2018

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save