fbpx
ชีวิต ตัวตน และเพจ ของ ลูกแก้ว-โชติรส นาคสุทธิ์

ชีวิต ตัวตน และเพจ ของ ลูกแก้ว-โชติรส นาคสุทธิ์

เหมือนที่ใครๆ รู้กันว่า ปัจจุบันเรากำลังอยู่ในยุคโลกาภิวัตน์ ที่ใครๆ ก็สามารถเข้าถึงและสื่อสารถึงกันได้อย่างง่ายดายแบบไม่เคยเป็นมาก่อน

เทคโนโลยีสารสนเทศได้พัฒนาข้ามขีดจำกัดหลายอย่างไปมาก ส่งผลให้ภูมิทัศน์ของสื่อระดับโลกเปลี่ยนแปลงไปมาก ผลกระทบที่สำคัญคือ คนธรรมดาสามารถเข้ามาผลิตเนื้อหาและสื่อสารเองได้ โดยไม่ต้องไปง้อหรืออ้อนวอนให้สำนักข่าวหรือตัวกลางหน้าไหนเข้ามาถ่ายทอดให้

วิธีการสื่อสารรูปแบบหนึ่งที่เป็นที่น่าสนใจคือ ‘การทำเพจ’ บนเฟซบุ๊ก หลายคนบอกว่าการทำเพจทำให้พวกเขาสามารถจัดการเนื้อหาได้เป็นระเบียบ และเข้าถึงกลุ่มผู้อ่านที่ต้องการได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ข้อดีอีกอย่างที่หลายคนชื่นชอบก็คือ การทำเพจสามารถปกปิดตัวตนจริงๆ ของพวกเขาได้ ทำให้ผู้อ่านไม่รู้ว่าใครเป็นคนผลิตเนื้อหากันแน่ ด้วยเหตุนี้ การทำเพจจึงเอื้อให้พวกเราสามารถสร้างอัตลักษณ์ใหม่ หรือตัวตนใหม่ได้ง่ายและลื่นไหลกว่าเดิม

‘เพจ’ จึงเป็นเครื่องมือที่คนรุ่นใหม่ใช้เพื่อสื่อสารและเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆ อย่างในสังคม

 

ลูกแก้ว-โชติรส นาคสุทธิ์ คือหญิงสาวคนหนึ่งในสังคมไทย (สังคมที่ไม่ค่อยเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้แสดงออกอะไร) ที่ใช้เพจเป็นเครื่องมือในการสื่อสารประเด็นต่างๆ ในสังคม

อย่างไรก็ตาม การทำเพจของเธอไม่ได้พูดถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางสังคมการเมืองแบบตรงไปตรงมา หากแต่สื่อสารผ่านท่วงทำนองและลีลาการเขียนที่สุดสยิว พูดกันแบบง่ายๆ แทนที่เธอจะพูดถึงเรื่องสังคมการเมืองในภาษาแบบวิชาการ ตรงไปตรงมา เธอกับใช้ภาษาแบบวัยรุ่น ชวนยั่ว ชวนมีอารมณ์ ที่แบบว่าหากคุณได้อ่าน ภาพที่เกิดขึ้นในหัว น่าจะทำให้คุณรีบไปในห้องน้ำได้ไม่ยาก

ด้วยเหตุนี้ จึงมีแฟนคลับจำนวนมากที่ติดตามผลงานของเธอ ซึ่งบางคนที่ติดตาม ก็ติดตามเพราะสำนวนภาษาของเธอที่เย้ายวน แต่บางคนก็อาจจะติดตามเพราะต้องการค้นพบความหมายเบื้องลึกที่เธอซ่อนเอาไว้

วันนี้ เราจะพาไปคุยกับเธอถึงเบื้องลึกเบื้องหลังของการทำเพจของเธอว่า ทำไมเธอถึงทำเพจแนวนี้ขึ้นมา และประสบการณ์ในชีวิตของเธอมีส่วนทำให้เธอมาทำเพจอย่างนี้ได้อย่างไร ที่สำคัญคือ ทำไมช่วงหลังๆ เธอถึงเงียบหายไป เธอกำลังทำอะไร และเป็นอะไร

บทสนทนานี้นอกจากจะทำให้รู้ที่มาที่ไปของเพจเธอแล้ว เราจะยังได้รู้จักกับ ‘ตัวเธอ’ อีกด้วย

 

 

เห็นช่วงนี้เงียบๆ ไป ตอนนี้ลูกแก้วทำอะไรอยู่

ตอนนี้ทำเว็บไซต์ออนไลน์ ซึ่งเป็นพวกไลฟ์สไตล์ผู้ชาย ไม่เกี่ยวกับเรื่องการเมือง สังคมเลย และไม่เกี่ยวกับผู้หญิงด้วย เนื้อหาจะเกี่ยวกับผู้ชายชอบอะไร แต่งตัวยังไง จริงๆ ค่อนข้างเหมารวมมากๆ เลยนะ

 

แล้วทำไมมาทำคอนเทนต์ออนไลน์แนวผู้ชาย

แต่ก่อนเราก็ทำคอนเทนต์ออนไลน์ใน the matter แต่ว่า the matter จะทำข่าวที่มันค่อนข้างไปในทางสังคม การเมือง แล้วมันทำให้เรามีปัญหาส่วนตัว เพราะเราแยกงานออกจากเรื่องส่วนตัวไม่ได้ เราชอบเอางานกลับบ้านตลอดเวลา และเราจะคิดตลอดเวลา ว่าเราอยากเขียนอะไร คิดอะไร หรือว่าเจอข่าวนี้ ตอนสี่ทุ่มก็เขียนสิ มันเลยทำให้เราเครียดสะสม เราเลยแยกตัวเองออกมาทำคอนเทนต์แบบไลฟ์สไตล์ พอเราทำงานเขียนแบบไลฟ์สไตล์ เราสามารถแยกชีวิตได้ เช่น เรามีเวลา เราก็สามารถมาตามข่าวสารสังคม การเมืองได้ เราว่าแบบนี้มันแยกสัดส่วนออก

 

ชีวิตประจำวันช่วงนี้ของลูกแก้วเป็นอย่างไร

มันก็เหมือนคนทั่วไป ชอบหมกมุ่นอยู่กับโซเชียลมีเดียซึ่งมีอยู่ 2 อย่างคือ ไม่เล่นเฟซบุ๊ก ก็ทวิตเตอร์ แล้วก็หากไม่เขียนอะไรอยู่ ก็ชอบไปไล่ดูโพสต์ของคนอื่นว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่บางวันหากเราเครียด และรู้ว่าใครชอบพูดเรื่องการเมือง เราก็จะเลื่อนผ่าน แล้วก็อ่านอะไรที่เป็นเรื่องชีวิตประจำวันของคนอื่น

 

ทำไมช่วงหลังๆ ถึงถอยออกจากเรื่องการเมือง

เพราะเราเจ็บหนัก เจ็บจากการป่วย เวลามีอะไรกระตุ้น โรคจะทำให้เราเศร้า ซึ่งบางทีมันเศร้านาน และลึก เราก็เลยพยายามป้องกันตัวเอง แต่ช่วงไหนที่เห็นลูกแก้วออกมาโพสต์เยอะ แสดงความเห็นเยอะ แสดงว่าชีวิตโอเคระดับหนึ่ง ช่วงนี้เราเลยได้แค่ติดตามและดูอยู่ห่างๆ แต่ก็เป็นกำลังใจให้แก่คนที่ยังแสดงออกทางการเมือง

 

ถึงอย่างนั้น เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าในช่วงก่อนลูกแก้วก็ถือเป็นคนรุ่นใหม่ที่ออกมาแสดงออกทางการเมืองได้อย่างน่าสนใจ และสังคมก็จับจ้องอยู่มาก อยากให้เล่าหน่อยว่ามันเป็นมายังไง

มันเริ่มจากยุค กปปส. ตอนนั้นเราเปลือยตัวครั้งแรก เพื่อเป็นการต่อต้านความรุนแรงที่เกิดขึ้นระหว่างการชุมนุม อันนี้คือครั้งแรกที่เปลือยและได้สื่อสารประเด็นทางการเมืองไปยังสังคม ซึ่งเป็นการสื่อสารที่บอกว่า ทุกคนมีสิทธิที่จะแสดงออกความคิดเห็นทางการเมืองของตน แต่ถึงอย่างนั้น คุณก็ไม่ควรใช้ความรุนแรง นี่คือสิ่งที่เราคิด และเป็นการสื่อสารในวงกว้างครั้งแรก

ครั้งที่สองคือ วันที่เกิดการรัฐประหาร ปี 2557 เลย เราเปลือยและเขียนหลังเหมือนเดิม ซึ่งเขียนว่า “fuck the coup” ที่หมายถึงว่าเราไม่ไหวกับการรัฐประหารแล้ว

กระแสทั้งสองครั้งนี้ มีทั้งสองฝั่ง มีทั้งคนเกลียด และมีทั้งคนชอบ แต่คนชอบก็ยังมากกว่า ตอนนั้นมีคนแชร์ตามที่เราต้องการสื่อในเมสเสจไปเยอะมาก

อย่างไรก็ตาม สำหรับการเปลือยครั้งที่สามที่เราหันหน้า และเราทำรูปนกพิราบ ปรากฎว่าผลที่ออกมาคือ เละ! แบบเละเลย (ลากเสียง) แบบโอ้โห ทั้งเป็นกะหรี่ โสเภณี เอามันไปข่มขืน โดนขุดทุกอย่าง

ปกติเราพูดเรื่องเพศ เรื่องเซ็กซ์เป็นปกติ เราเคยตั้งสเตตัสว่า เอากันต้านรัฐประหารไหม เพราะว่าทำอะไรก็ไม่ได้ กินแซนวิชก็ไม่ได้ อ่าน 1984 ก็ไม่ได้ อย่างงั้นเอากันแล้วกัน ซึ่งก็โอเค

แต่พอมาคราวนี้ เราเปลือย หันมาข้างหน้า และทำรูปนกพิราบ ก็ถูกตีความว่า “มันอยากเอา” ดังนั้น จึงต้องไปรุมข่มขืนมัน ไปดักมัน กลายเป็นว่าเรื่องการเมือง ก็อนุญาตให้สามารถข่มขืนกันได้

ที่สังเกตคือ เวลาหันหลัง มันไม่เคยมีปัญหา แต่พอเป็นหันหน้า สังคมกลับมีปัญหา เรารู้สึกว่า สังคมมักมีปัญหากับนมของผู้หญิง โดยเฉพาะผู้หญิงที่ถูกตีตราว่าเป็นเสื้อแดง แถมออกมาร่านอีก

 

ทำไมลูกแก้วถึงสนใจเรื่องการเมือง เป็นมนุษย์ผู้หญิงธรรมดาไม่ได้หรือไง

จริงๆ อยากย้อนกลับไปอดีตและบอกตัวเองว่าอย่ามาสนใจเรื่องการเมืองเลย แต่ก็ช่างเถอะ ทำอะไรไม่ได้แล้ว (หัวเราะ) ตอนแรกเราไม่ได้เป็นคนแบบนี้หรอก ตอนปี 2553 ที่มีเสื้อแดงเผายางกันกลางกรุง เรายังจำได้อยู่เลยว่า เราตั้งสเตตัสว่า “เอาเวลาที่เผายาง กลับบ้านไปนอนดีกว่าไหม”

 

ตอนนั้นอายุเท่าไหร่

ตอนนั้น 21-22 ปี เอง คือก็ยังเด็กอยู่ คือมัน ‘ignorant’ ไม่สนใจอะไรเลย แต่พอเราได้มาเรียนที่ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ในช่วงปีที่มีชุมนุม กปปส. เราได้เรียนรู้ว่าพ่อแม่เพื่อนของเราหลายคน มาจากใต้เพื่อมาชุมนุม กปปส. มันทำให้เราเรียนรู้ความหลากหลายมากขึ้น เพราะฉะนั้น หากเขามีสิทธิ เราก็สิทธิแสดงความคิดเห็นเช่นกัน

 

แสดงว่าตัวตนทางการเมืองของลูกแก้วถูกบ่มเพาะมาจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อ ‘ธรรมศาสตร์’

ถูก

 

แสดงว่าถ้าไม่อยู่ธรรมศาสตร์ก็อาจไม่ได้มีตัวตนทางการเมืองอย่างนี้

ไม่แน่ มันอาจจะเป็นหรือไม่เป็นก็ได้

 

นอกจากมหาวิทยาลัย ยังมีปัจจัยอื่นอีกที่ทำให้เราเป็นคนแบบนี้ใช่ไหม

(หยุดคิด) ก็ใช่ ก่อนที่เข้ามหาวิทยาลัย เราเรียนโรงเรียนนายร้อยตำรวจมาก่อน ตอนแรกเราเชื่อมาตลอดว่า เราเป็นคนชอบในระเบียบวินัย เราเป็นคนที่ชอบทำตามกฎ จนกระทั่งเราเข้าไปในโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป เพราะพอไปเจอสถานการณ์ที่ถูกกดจากอำนาจจริงๆ ขนาดเวลาเข้าแถว ตาจะมองไปทางซ้ายหรือขวายังไม่ได้เลย เราต้องมองตรงไปที่คอคนข้างหน้าอย่างเดียว เราเลยรู้สึกว่าไม่ไหว จำได้ว่าที่ชอบกฎระเบียบ เพราะมันทำให้เรารู้สึกเหนือกว่าคนอื่น

ตอนเด็กพ่อซึ่งเป็นตำรวจเป็นคนปลูกฝังให้เรารักในระเบียบ ทุกๆ เช้าจะปลุกมาวิ่ง ให้พับที่นอน เก็บของให้เป็นระเบียบ ตอน ม.4 เราไปเข้าค่ายกับเพื่อน และเราเก็บของให้เป็นระเบียบ จากนั้นก็บอกคนอื่น ตอนนั้นเรารู้สึกภูมิใจมาก เพราะว่าสามารถทำอะไรได้เป็นระเบียบกว่าคนอื่น เราเป๊ะกว่าคนอื่น เรารู้สึกว่านี่คือความดีสูงสุดอย่างหนึ่ง ซึ่งเราไปถึง แต่คนอื่นไปไม่ถึง

ตอนอยู่โรงเรียนตำรวจ เรารู้สึกสูญเสียอำนาจมาก เพราะคนอื่นอยู่เหนือกว่าเรา มีอำนาจมากกว่าเรา เราเลยคิดตอนอยู่โรงเรียนตำรวจ ว่ามันไม่ใช่แล้ว ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าเราได้ไปเจอของจริง การใช้อำนาจแบบจริงๆ ในโรงเรียนตำรวจ หลังจากนั้น เราก็เริ่มไม่เอาสิ่งเหล่านี้เลย สุดท้ายเราก็ออกจากโรงเรียนตำรวจ และพยายามเข้ามหาวิทยาลัย

 

ทำไมเลือกเข้าธรรมศาสตร์

จริงๆ ก่อนมาที่นี่ เราไปศิลปากรมาก่อน แต่ว่าศิลปากรยังมี ‘รับน้อง’ และพอเราเจอรับน้อง เราออกเลย และเราก็หาที่เรียนที่ใหม่ สุดท้ายก็เจอ ธรรมศาสตร์ (หัวเราะ)

พอหลังจากที่เราได้เข้ามาที่ธรรมศาสตร์ เรารู้สึกว่าพออยู่ที่นี่ เราได้เจอความหลากหลาย โดยเฉพาะในคณะศิลปศาสตร์ ที่มีหลายเอก และเอกที่เราเรียน มันก็มีคนที่เข้ามาเรียนจากทั่วทุกสารทิศมากๆ ทำให้เราได้เห็นทุกคนแสดงความเห็นของตัวเอง แต่ทุกคนก็สามารถอยู่ร่วมกันได้ ตราบใดที่ไม่มี hate speech หรือความรุนแรงใดๆ

 

ดูเหมือนกับว่าลูกแก้วจะเดินออกมาไกลจากเส้นทางที่ครอบครัวคาดหวัง ครอบครัวคิดอย่างไรบ้าง

ต้องบอกว่าตอนนั้น พ่อไม่โอเคมากๆ (ลากเสียงยาว) เพราะว่าพ่ออยากให้เราเป็นตำรวจ แต่แม่จะเข้าใจเรามาก จริงๆ ส่วนหนึ่งที่เราโตมาเป็นคนแบบนี้ ก็เพราะว่า ‘แม่’ เพราะเรามีแม่ที่ ไม่รู้นะ แต่เราอาจเรียกเขาได้ว่าเป็นลิเบอรัล แม่เราไม่มีปัญหาเลยกับการที่เราจะออกมาแต่งตัวโป๊ๆ หรือถ่ายรูปอะไร

 

 

หลายคนเวลานึกถึงลูกแก้ว ก็จะนึกถึงเพจที่ลูกแก้วทำด้วย เขาอยากรู้ว่าเพจแรกที่ลูกแก้วทำ มันมีที่มาที่ไปยังไง

เพจแรกคือ เพจสตรีผู้หลงใหลในบทกวี ซึ่งเป็นเพจที่ทำมาก่อนเกิดรัฐประหารเสียอีก เพจนี้น่าจะทำตอนที่เราอยู่ปี 1-2 ที่ธรรมศาสตร์ จุดเริ่มต้นของมันมาจากทวิตเตอร์ โดยเราเล่นมันตั้งแต่ปี 2549 ซึ่งก็ใช้ชื่อบัญชีในทวิตเตอร์ว่า สตรีผู้หลงใหลในบทกวี นี่แหละ มีคนตามเยอะมาก ต่อมาเราก็มาเปิดเป็นเพจในเฟซบุ๊กบ้าง ซึ่งก็ใช้ชื่อเดียวกัน

 

แล้วทำไมถึงอยากเขียนอะไรบนทวิตเตอร์ หรือเฟซบุ๊ก ทั้งๆ ที่ถ้าชอบการเขียน ก็ไปเขียนหนังสือก็ได้

ไม่รู้สิ เราว่าพอเขียนบนทวิตเตอร์ มีคนเห็น ตอนแรกที่เริ่มเขียนในทวิตเตอร์ เพราะว่ามันท้าทาย ปกติเราเป็นคนเขียนอะไรยาวๆ มาก่อน แต่พอเป็นการเขียนในทวิตเตอร์ มันบังคับให้เราเขียนแค่ 140 ตัวอักษร ดังนั้น เราต้องทำอย่างไรก็ได้ ให้สิ่งที่เราอยากจะพูดปรากฎอยู่ในนี้ โดยใช้คำที่ไม่เกิน แต่ภาษาก็ต้องสวยพอให้คนอื่นมาสนใจ และรีทวิต ซึ่งพอเราทำในทวิตเตอร์ได้ เราก็อยากมาทำในเฟซบุ๊กบ้าง อย่างในเฟซบุ๊กเราได้ขยายเนื้อหาให้ไปไกลกว่าที่เขียนในทวิตเตอร์ด้วย เพื่อให้เนื้อหาในเฟซบุ๊กดูน่าสนใจและสนุกไปอีกแบบ

 

เพจสตรีผู้หลงใหลในบทกวีเกี่ยวข้องกับการเมืองไหม

เราทำอยู่ 3 เพจ เพจผู้หลงใหลในบทกวีเป็นเพจที่ soft (ลากเสียงยาว) ที่สุดแล้ว เราพยายามใช้ภาษาสวยๆ ซึ่งเราคิดว่าสวยนะ แต่คนอื่นอาจจะมองว่าไม่สวย ก็ไม่เป็นอะไร (หัวเราะ) เราสื่ออะไรหลายๆ อย่างที่เป็นเรื่องการเมืองอยู่ด้วย แต่ก็นั่นแหละ เราว่ากวีควรทำหน้าที่ได้หลายอย่าง ไม่ใช่ทำอะไรแบบตรงไปตรงมา

เนื้อหาในเพจสตรีผู้หลงใหลในบทกวีของเรามักพูดถึงเรื่องคนป่วยเป็นโรคซึมเศร้าหรือไบโพล่า แม้กระทั่งเรื่องสีเสื้อ เราก็เคยพูดในช่วงที่การเมืองมันแรงๆ เรื่องความรุนแรงในครอบครัว เราก็พูด เรารู้สึกว่า เราพูดสิ่งเหล่านี้ในภาษาอันสวยๆ พูดในแบบที่คนอ่านกวี อ่านนิยาย อยากจะอ่าน ซึ่งถ้าอ่านแล้วได้ในเรื่องอารมณ์ ความรู้สึก หรือภาษา ก็ดี แต่ถ้าอ่านแล้วได้ความหมายระหว่างบรรทัดที่เราใส่เข้าไป ก็ดีเหมือนกัน

 

เพจอันถัดมาที่ลูกแก้วทำคือเพจไหน

เพจเจ้าแม่ ซึ่งเราตั้งขึ้นมาตอนปี 2559 เพจนี้เป็นเพจที่เราชอบมากๆ ซึ่งถ้าหากให้เรานิยามมัน เพจเจ้าแม่นี่เป็น ‘เพจของผู้หญิงเ-ี่ยนคนหนึ่ง’ ที่พูดเรื่องเพศ และความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่เกี่ยวกับเรื่องเพศ

 

ทำไมถึงทำเพจนี้ขึ้นมา

เราคิดว่าเรื่องเพศควรเป็นสิ่งที่พูดถึงได้อย่างเปิดเผย ตรงไปตรงมา ก่อนที่จะมีเพจเรา มันมีเพจอื่นที่พูดเรื่องเซ็กซ์ ด้วยภาษางดงามโดยไม่กล่าวถึงอวัยวะเพศอยู่แล้วเลย ไม่พูดถึงจิ๋ม ถึงจู๋เลย จะพูดถึงคนเอากัน แต่เลี่ยงคำหยาบพวกนี้เอาไว้ โอเค นั่นก็ดี นั่นก็เป็นศิลปะอย่างหนึ่ง แต่เราคิดว่าเพศควรถูกพูดถึง โดยไม่จำเป็นต้องเป็นด้านศิลปะอย่างเดียว แต่ควรพูดถึงในแง่ที่มันเป็นจริงด้วย เราคิดว่าเรื่องเซ็กซ์ แม้จะถูกมองว่าเป็นเรื่องสกปรก ตัณหา ราคะ หรือเ-ี่ยน มันก็ควรถูกพูดถึง

เราคิดว่า เพจเจ้าแม่พูดถึงเพศในแง่แบบนี้ คือไม่ว่าเรื่องเซ็กซ์จะมีจู๋ มีจิ๋ม มีควยอะไร เพศเรามีครบทุกอย่าง คุณจะอ่านเอามันเฉยๆ ก็ได้ แต่ถ้าพยายามอ่านระหว่างบรรทัด เราก็พยายามแทรกเรื่องการเมือง ความสัมพันธ์เชิงอำนาจ แม้แต่ความรุนแรง

 

ยกตัวอย่างหน่อยสิ

(หยุดคิดสักพัก) ทุกเรื่องที่เราพูด จะพูดผ่านการเอากันของคนสองคน หรือบางทีอาจจะสามหรือสี่คน เช่น เราพูดถึงคนเอากันครั้งแรกในวันรัฐประหาร แล้วระหว่างเอากัน ผู้หญิงโดนปิดปาก ไม่ให้พูดอะไร มันคือการสื่อสารหรือการสร้างสัญญะอะไรบางอย่าง ถ้าเราอ่านเอามัน ก็อาจมองว่า แค่เอากัน และเล่นปิดปาก แต่ถ้าอ่านเพื่อต้องการอะไรมากกว่านั้น คนอ่านก็จะเห็นนัยยะอะไรบางอย่าง

ตัวอย่างอีกโพสต์นึง เราเล่าถึงว่ามีผู้หญิงเป็นเสื้อแดง ส่วนผู้ชายเป็นเสื้อเหลือง กำลังเอากัน โดยผู้หญิงไม่ร้องเลยระหว่างที่เอากัน มันแสดงให้เห็นว่า ผู้หญิงไม่เคยถูกรับฟัง เราใช้เรื่องเซ็กซ์มาพูดถึงเรื่องการมีสิทธิมีเสียง

 

เห็นว่าลูกแก้วเปิดอีกเพจหนึ่งที่ชื่อว่า ยั่ว-Yed’ ช่วยอธิบายหน่อยว่ามันต่างหรือเหมือนกับสองเพจแรกยังไง

เพจนี้นี่เพิ่งเปิดเลย เพจนี้ต่างจากเพจสองอันแรกอย่างมาก เพจนี้เรามีไว้รีวิวสิ่งของที่เราใช้แล้วเราชอบ และเราอยากพูดถึง เรารู้สึกว่าเป็นเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งที่อยากออกมาพูดว่าเราใช้อะไร และชอบอะไร ที่สำคัญคือ เราพูดด้วยสำนวนที่ยั่วยวน เซ็กซี่

จริงๆ ทั้ง 3 เพจ เราจะพูดเรื่องเพศตลอดเวลาเลย แต่อาจคนละแง่มุม เราพยายามทำให้การที่พูดเรื่องเพศเป็นเรื่องปกติ และไม่ใช่เรื่องที่เป็นปัญหาอะไรเลย

 

ลูกแก้วไปได้รูปแบบการนำเสนอเนื้อหาที่ปรากฏบนเพจแบบนี้มาจากไหน

คิดขึ้นมาเอง อย่างเพจเจ้าแม่ ตอนแรกก็ไม่ได้สื่อสารในรูปแบบที่เห็นในปัจจุบัน แต่ก่อนเราเล่าแบบตรงๆ เลย เราเอาเรื่องของตัวเองมาเล่า มันเป็นเรื่องของเราที่เกิดขึ้นตอนเด็ก และเราไม่อยากให้ใครมาเจออย่างที่เราเคยเจอมา เราเล่าตรงๆ โดยใช้คำว่า ‘กู’ เจอนั่น ‘กู’ เจอนี่ แต่พอหลังๆ เรารู้สึกว่า เราไม่จำเป็นต้องเล่าโดยไม่ต้องเอาเรื่องตัวเองมาเล่าอย่างเดียวก็ได้นี่หว่า สุดท้าย เราก็เลยลองเล่าแบบเรื่องแต่งมาเรื่อยๆ ซึ่งจะอิงจากประสบการณ์ของเราบ้าง ของคนอื่นบ้าง       

 

คิดว่าเพจที่เราตั้งมาได้ทำหน้าที่ได้ดีตามที่เราคาดหวังไหม

จริงๆ ไม่ได้คาดหวังอะไรเลย มันก็เลยดีใจที่เวลาเขียนอะไรไป แล้วอย่างน้อยมีคนตอบรับ เราดูหมดว่ามีใครแชร์ไป แล้วพูดอะไรบ้าง ถ้าเราเจอแค่หนึ่งคน เข้าใจเมสเสจที่เราพยายามสื่อ เราคิดว่าเราก็สมหวัง แต่ถ้าคนอื่นมาอ่านแล้วรู้สึกมัน รู้สึกเ-ี่ยน เราก็แฮปปี้ เอาง่ายๆ ก็คือ เราไม่ได้คาดหวังให้คนที่อ่านของเราเข้าใจเมสเสจเราทุกคน แต่ถ้าอ่านแล้วมัน เราก็ดีใจ

 

 

ขอถามนอกเรื่อง ลูกแก้วชอบผู้ชายแบบไหน

จริงๆ แล้วไม่ว่าผู้ชายหรือผู้หญิง เราชอบคนเลว ไม่ได้ชอบคนดี (หัวเราะ) เราชอบคนที่เขาเก่งในเรื่องที่เขาถนัด อย่างเช่น สมมติว่าผู้ชายคนนี้ชอบประวัติศาสตร์ แล้วเขาเก่งในประวัติศาสตร์ เราก็จะรู้สึกว่าเขามีเสน่ห์มาก หรือผู้หญิงคนนี้เป็นดีเจ และเขาเล่นแผ่นได้ดีมาก ผู้หญิงคนนี้ก็จะดูมีเสน่ห์สำหรับเรามากๆ ดังนั้นเราจึงชอบ ผู้ชายและผู้หญิงที่เก่งในเรื่องที่ตัวเองรัก และหลงใหลในเรื่องที่ตัวเองทำ

 

พูดถึงเรื่องความรัก คิดว่าความรักมีผลกับชีวิตลูกแก้วเยอะไหม

มีเยอะมาก เราเป็นคนที่อิน (ลากเสียง) กับความรักมากๆ อย่างไม่น่าเชื่อ ความรักกลายเป็นสิ่งที่มีอำนาจในชีวิต คิดดูสิว่าเป็นคนที่พูดเรื่องเพศมาเยอะมาก แต่กลายเป็นเราต่างหากที่ถูกความรักครอบงำจ้า (ลากเสียง)

ตั้งแต่แต่มีความรักมา ไม่เคยหลุดจากอิทธิพลของมันได้เลย แต่ถามว่ารู้ไหมว่า เราตกอยู่ภายใต้การควบคุมของมัน ก็รู้นะ แต่เราไม่เคยเอาตัวเองออกมาได้เลย เรารู้สึกว่า เราบูชามัน คือถ้าคุณมีศาสนาเป็นที่พึ่ง เราก็มีความรักนี่แหละเป็นที่พึ่ง เหมือนงมงายในความรักเลย (หัวเราะ)

กลับเข้ามาเรื่องการทำเพจ คิดยังไงกับการที่ลูกเพจเราเข้ามาอ่าน แล้วคอมเมนต์ในลักษณะสุ่มเสี่ยง

ตราบใดที่ยังไม่เป็น hate speech ก็โอเค เคยมีคนมาคอมเมนต์ว่า ‘ขอเ-็ด’ หรือ ‘ดูนม’ บ่อยมาก ซึ่งไม่โอเค เราพยายามจัดการด้วยการบอกด้วยตัวเองว่า ถ้าอยากเ-็ด ก็มาขอตรงๆ แต่อย่ามาทำอะไรที่ไม่โอเค เช่น การคอมเมนต์ขอเ-็ด หรือดูนมหน้าเพจ มันไม่ใช่ว่า เรากินเหล้ากินอะไรมา เราดูแรด เขียนเรื่องแรดๆ ร่านๆ แล้วคุณจะมาขอเ-็ดในที่สาธารณะได้อย่างสบายใจ ถ้าอย่างนั้นคุณมาเมสเสจบอกเราตรงๆ เลยดีกว่าว่า ‘ขอเ-็ด’ แล้วเราจะบอกว่า ‘ให้’ หรือ ‘ไม่ให้’ และถ้าเราไม่ให้ คุณก็ไม่มีสิทธิ ที่ผ่านมามีคนมาขอผ่านทางเมสเสจอยู่บ้าง ซึ่งมีทั้งคนที่ไม่รู้จัก และคนที่รู้จัก แต่พอเขามาขอ เราก็บอกอย่างสุภาพเหมือนกันว่าไม่ให้ แล้วก็อย่าทำแบบนี้อีกแล้วนะ

 

มีช่วงหนึ่งที่เรื่อง sexual consent มันเป็นกระแสขึ้นมา เพจของลูกแก้วเขียนอะไรโดยตรงบ้าง

ไม่เลย (ลากเสียง) กลัว กระแสมันแรงมาก อีกอย่างคือ เราก็ยังคิดกับเรื่องพวกนี้ไม่ค่อยเคลียร์เท่าไหร่ แต่เราว่ามันมีเพจที่พูดได้ดีกว่าเพจเราอยู่แล้ว ซึ่งก็คือ เพจ thaiconsent นั่นไง

ถึงอย่างนั้น ที่เพจเราไม่พูดถึงมันตรงๆ ก็เพราะว่าลักษณะของเพจเราจะพูดถึงประเด็นทางเพศผ่านเรื่องแต่ง ดังนั้น หากเราแต่งเรื่องว่ามีผู้หญิงคนนึงกำลังถูกข่มขืนอยู่ คนที่เสียหายเขาจะรู้สึกยังไง ที่เราเอาเรื่องเขามาแต่ง มาตอกย้ำ คิดดูสิ หากเราเอาเรื่องผู้เสียหายมาแต่ง แล้วลูกเพจต่างมาเสพแบบเอามัน ผู้เสียหายจะรู้สึกยังไง เราเลยคิดว่าถ้าเอาเพจเรามาเล่น ก็เลยคิดว่าไม่โอเค

 

ทั้ง 3 เพจนี้ มีคุณค่ากับลูกแก้วอย่างไร

มันช่วยเยียวยาเรา เราว่าการเขียนอะไรต่างๆ ที่เกี่ยวกับเซ็กซ์ โดยการเล่าผ่านตัวละครของเรา มันเหมือนการมีเซ็กซ์จริงๆ มันได้แสดงความรู้สึกว่าเราอึดอัดอย่างไร เราคิดอะไรอยู่ อีกอย่างหนึ่งคือ มันพอเป็นเรื่องแต่ง พอเล่าออกไป มันก็ไม่มีใครมาด่าเรา เพราะมันเป็นเพียงเรื่องแต่ง แต่จริงๆ แล้วทุกความคิด ทุกความเชื่อของเรา มันอยู่ในตัวละครพวกนั้นหมดเลย

 

ตั้งแต่ทำเพจมา ลูกแก้วได้เห็นความคิดของคนโน้นคนนี้ในเพจ คิดว่ามีคนเหมือนลูกแก้วเยอะไหม

เด็กรุ่นเราดูเหงาๆ หว่องๆ คล้ายๆ กันเยอะมาก ไม่แน่ใจว่ามันเป็นความรู้สึกร่วมกันของเด็กรุ่นเราหรือเปล่า เราคิดว่าด้วยสภาพแวดล้อมปัจจุบัน มันเลยทำให้คนเหงามากขึ้น

 

คิดว่าพวกเราเป็นอย่างนี้เพราะอะไร

มีความเป็นไปได้ว่าอาจมาจากเรื่องสังคม การเมือง เด็กรุ่นนี้จะรู้สึกแปลกแยกจากสังคม การเมือง รู้สึกว่าเปลี่ยนห่าอะไรไม่ได้ เหมือนเด็กรุ่นนี้ถูกกีดกันถูกจับแยกออกมาจากสังคม นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่หลังๆ ชอบไปร้านเหล้าบ่อยๆ เพราะเห็นว่าคนอื่นๆ ก็เป็นเหมือนกัน เราเหมือนถูกกีดกันให้มารวมอยู่ในที่เดียวกัน นั่นก็คือร้านเหล้า เราเลยอินมากเวลาไปร้านเหล้า เพราะได้เจอคนที่คิดเหมือนกันและรู้สึกอบอุ่น

 

คิดว่าอนาคตสังคมการเมืองไทยจะเป็นยังไงต่อไป

ถ้าพูดแบบหดหู่สิ้นหวัง เรายังมองไม่เห็นอนาคตเลย เรายังเคยคิดเลยว่าอยากจะทำงานเพื่อมีเงินเยอะๆ แต่ไม่อยากมีลูกนะ เราคิดว่าถ้ามีเงินคงจะอยู่ในประเทศไทยได้ง่ายได้สบายขึ้น

ในฐานะคนรุ่นใหม่ เคยคิดอยากเล่นการเมืองเพื่อเปลี่ยนแปลงอะไรไหม

ไม่! ไม่สนใจอ่ะ จริงๆ เหมือนเป็นคนชอบติดตามมากกว่า ถ้าจะให้เป็นอะไร มากที่สุดก็คงเป็นนักสื่อสารมวลชน

 

ลูกแก้วมีอะไรจะบอกลูกเพจไหม

เราอยากจะบอกลูกเพจในเพจเจ้าแม่ว่า ถ้าคุณคิดว่าเราเขียนเรื่องเพศ เรื่องเซ็กซ์ และเรื่องเ-ี่ยนโดยไม่พูดถึงเรื่องการเมือง คุณกำลังเข้าใจผิดมากๆ (ลากเสียง) แต่ก็ไม่เป็นไรนะ คุณมีสิทธิเข้าใจผิด และจะอ่านเพื่อเอาแต่ความเร่าร้อนไปก็ได้

 

แฟนคลับถามฝากถามมาว่าลูกแก้วคิดจะหยุดทำเพจไหม

ยังอ่ะ เราทำเอาสนุก ก็จะทำต่อไปตราบใดที่สนุกและยังมีประเด็นที่อยากจะพูดอยู่

 

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

4 Aug 2020

การสืบราชสันตติวงศ์โดยราชสกุล “มหิดล”

กษิดิศ อนันทนาธร เขียนถึงเรื่องราวการขึ้นครองราชสมบัติของกษัตริย์ราชสกุล “มหิดล” ซึ่งมีบทบาทในฐานะผู้สืบราชสันตติวงศ์ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร 2475

กษิดิศ อนันทนาธร

4 Aug 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save