UN Photo / Cia Pak – ภาพประกอบ
การประชุมสมัชชาสหประชาชาติ (United Nations General Assembly) เป็นเวทีที่ผู้นำจากรัฐสมาชิก 193 ประเทศเดินทางมาแสดงวิสัยทัศน์และท่าทีของประเทศตนในประเด็นที่เป็นวาระสำคัญของโลก
ในหลายโอกาสก็มีการเสนอ ‘โมเดลเศรษฐกิจ’ ที่ประเทศมหาอำนาจอยากให้ประเทศอื่นๆ เดินตาม
เช่นในการประชุมปี 2022 ที่กำลังเกิดขึ้นในเดือนกันยายนนี้ ลิซ ทรัสส์ (Liz Truss) นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของสหราชอาณาจักรกล่าวสุนทรพจน์ว่า รัฐบาลภายใต้การนำของเธอจะทำให้เศรษฐกิจสหราชอาณาจักรเติบโตแข็งแรงขึ้น ด้วยแนวทางการสนับสนุนภาคธุรกิจอย่างเต็มกำลัง เพื่อให้เกิดการลงทุนที่เพิ่มการจ้างงานและรายได้ให้กับประชาชน
ทรัสส์ยังเสนอให้บรรดาประเทศที่จัดตัวเองอยู่ใน ‘โลกเสรี’ (the free world) ร่วมมือกันมากขึ้นผ่านการค้าการลงทุน เพื่อทำให้ระบบเศรษฐกิจของโลกเสรีมีความเข้มแข็งเหนือระบอบเผด็จการที่กำลังเป็นภัยคุกคาม
เพราะเราไม่มีทางเลือกอื่น
แนวทางสนับสนุนภาคธุรกิจอย่างเข้มข้นเพื่อสร้างการเติบโตของทรัสส์ ทำให้วิวาทะว่าด้วย ‘เศรษฐกิจที่ไหลจากบนลงล่าง‘ หรือ ‘Trickle-down Economics’ กลับมาร้อนแรงอีกครั้ง
ในการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ทรัสส์ลงรายละเอียดเพิ่มเติมว่า แนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจของเธอคือมาตรการอย่างการลดภาษีเงินได้นิติบุคคล (tax cuts) ตลอดจนการยกเลิกกฎควบคุมเพดานการให้เงินโบนัสสำหรับผู้บริหารในภาคการเงิน (bonus cap)
เมื่อถูกตั้งคำถามว่ามาตรการเหล่านี้จะให้ประโยชน์กับคนรวยเป็นพิเศษไหม ทรัสส์ก็ย้ำถึงบทบาทสำคัญของผู้มีรายได้สูงต่อการลงทุน โดยยืนยันว่า เมื่อคนรวยถูกเก็บภาษีน้อยลง พวกเขาก็จะลงทุนเพิ่มขึ้น ส่งผลดีต่อการจ้างงานและรายได้ของคนกลุ่มอื่นๆ ดังนั้น ทั้งสังคมจะได้รับดอกผลร่วมกันในท้ายที่สุดอยู่ดี
แนวคิดที่ว่ามาทั้งหมดตรงกับที่โรนัลด์ เรแกน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเคยพูดไว้ในช่วงต้นทศวรรษ 1980s และทำให้คนสหราชอาณาจักรเองหวนนึกถึงมาร์กาเร็ต แธตเชอร์ ผู้ใช้วลีอมตะที่ว่า “เราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว” (There is no alternative.) เพื่อยืนกรานแนวทางจัดการเศรษฐกิจของเธอ
หรือเรามาสุดทางแล้ว
คาดการณ์ได้ไม่ยากว่าข้อเสนอของทรัสส์จะถูกวิจารณ์อย่างรุนแรงจากนักเศรษฐศาสตร์และสื่อมวลชนที่ค่อนไปทางซ้าย ซึ่งยกประเด็น ‘ความเป็นธรรม’ (social justice) ขึ้นมาโต้แย้ง ตั้งคำถามว่าเหตุใดรัฐบาลต้องช่วยเหลือคนรวยเป็นพิเศษ ในช่วงเวลาที่ชนชั้นกลางและคนยากจนของสหราชอาณาจักรเองกำลังเผชิญปัญหาปากท้องและเงินเฟ้ออย่างรุนแรง
อย่างไรก็ตาม ข้อโต้แย้งที่ทรงพลังกว่านั้นกลับมาจากนักคิดผู้สนับสนุนกลไกตลาดและโลกาภิวัตน์อย่างมาร์ติน วูลฟ์ (Martin Wolf) ผู้เขียนหนังสือ Why Globalization Works (2005)
ในบทความ ‘The economic consequences of Liz Truss’ (Financial Times, 21 กันยายน 2565) วูลฟ์ชี้ให้เห็นว่า เศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรในปัจจุบันได้บรรลุสิ่งที่แธตเชอร์เคยวาดหวังไว้แล้ว
ในด้านหนึ่ง ตลอด 4 ทศวรรษที่ผ่านมา สหราชอาณาจักรมีการลดอัตราภาษีอยู่เป็นระยะ จนทำให้ปัจจุบันมีสถานะเป็น ‘ประเทศภาษีต่ำ’ (low-tax country)ตามมาตรฐานประเทศร่ำรวยอยู่แล้ว และน่าจะเป็นจุดที่ต่ำจนไม่ได้มีนัยสำคัญต่อการตัดสินใจลงทุนของภาคธุรกิจมากนัก
ยิ่งไปกว่านั้น สหราชอาณาจักรยังมีสถานะเป็น ‘ตลาดเสรี’ ที่เสรีกว่าประเทศชั้นนำแทบทั้งหมดแล้ว ไม่ว่าจะวัดจากกฎระเบียบของรัฐด้านการควบคุมตลาดสินค้า (product market regulation) หรือด้านการควบคุมตลาดแรงงาน (labour market regulation)
จากดัชนีของ OECD แม้แต่ประเทศที่ถูกมองว่าเป็นศูนย์กลางตลาดเสรีอย่างสหรัฐอเมริกาหรือแคนาดายังมีกฎระเบียบควบคุมตลาดสินค้ายุบยิบยิ่งกว่าสหราชอาณาจักรเสียอีก
ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากข้อมูลเปรียบเชิงเปรียบเทียบแล้ว ในปัจจุบันระบบเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรก็เป็นทั้ง ตลาดเสรี + ภาษีต่ำ เหนือประเทศชั้นนำอื่นๆ แทบไม่ผิดจากที่แธตเชอร์เคยฝันและวางรากฐานไว้
พูดอีกอย่างก็คือ สหราชอาณาจักรเดินตามแนวทางเศรษฐกิจที่ไหลจากบนลงล่างมาไกลมากแล้ว ไม่น้อยหน้าประเทศรายได้สูงอื่นๆ เลย
ดังนั้น หากเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรยังมีปัญหาอยู่ ย่อมแปลว่าปัญหานั้นอยู่ที่จุดอื่น ไม่ใช่เพราะยังสนับสนุนตลาดและภาคธุรกิจไม่มากพอ แต่อยู่กับสิ่งที่แธตเชอร์ยังไม่ได้ทำต่างหาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของทักษะและผลิตภาพแรงงานที่ถดถอยลงเรื่อยๆ หรือความสามารถในการออมของครัวเรือนที่ไม่เพียงพอจะกระตุ้นการลงทุน
นอกจากนี้ วูลฟ์ยังย้ำถึงความสำคัญของการกระจายรายได้ เพราะมีงานศึกษาที่ชี้ให้เห็นว่า ในกลุ่มประเทศระดับเดียวกัน สังคมที่ค่อนข้างเท่าเทียมมักจะเติบโตได้เร็วกว่าสังคมที่ค่อนข้างเหลื่อมล้ำ (เช่น ฟินแลนด์เติบโตโดยเฉลี่ยสูงกว่าสหรัฐฯ) ซึ่งเป็นประเด็นที่รัฐบาลของทรัสส์ไม่ค่อยให้ความสำคัญ
นัยต่อประเทศกำลังพัฒนา
วิวาทะว่าด้วยเศรษฐกิจแบบไหลจากบนลงล่างก็คงเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป และรอวันเกิดขึ้นใหม่ เหมือนที่วนเวียนเป็นวัฏจักรตลอดประวัติศาสตร์เศรษฐกิจโลก
แต่เรื่องนี้บอกอะไรกับประเทศกำลังพัฒนาอย่างไทยในเรื่องการทำนโยบายได้บ้าง?
ประการแรก น่าจะเป็นมายาคติว่าด้วยแนวทาง ‘ปฏิบัตินิยม’ ที่มักถูกหยิบยกขึ้นมาเพื่อโต้เถียงทางเลือกอื่นๆ ว่าเป็นทฤษฎีมากเกินไป ทั้งที่ในความเป็นจริง แนวคิดทางเศรษฐกิจแต่ละชุดล้วนมีตรรกะเบื้องหลังแฝงอยู่ทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่ข้อเสนอที่ฟังดูง่ายๆ ไร้ทฤษฎีอย่างการสนับสนุนคนรวยให้ช่วยคนจน
การทำความเข้าใจหลักการเบื้องหลัง ‘โมเดลเศรษฐกิจ’ และผลลัพธ์ที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศอื่น จึงน่าจะเป็นประโยชน์กับการทำนโยบายมากกว่าการละเลยทฤษฎี
ดังเช่นเส้นทางเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรที่สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นไปได้และข้อจำกัดของแนวทางเศรษฐกิจแบบไหลรินที่มุ่งเน้นการสนับสนุนภาคธุรกิจเหนือมิติอื่นๆ
หากอยากเรียนรู้แนวทางใกล้เคียงกันนี้ แต่เปลี่ยนเป็นบริบทของประเทศกำลังพัฒนา ก็สามารถศึกษาจากบทเรียนของชิลีในยุคของนายพลปิโนเชต์ได้ (Augusto Pinotchet, 1974–1990)
ถ้าอยากถอดบทเรียนเพิ่มเติมว่า เมื่อพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายขึ้นมาเป็นรัฐบาลแล้วต้องเผชิญกับพลังของตลาดเสรีหรือแนวทางเสรีนิยมใหม่จะเป็นอย่างไร ก็สามารถศึกษาได้จากบราซิลในยุคของประธานาธิบดีลูล่า (Luiz Inácio Lula da Silva, 2003–2010) เป็นต้น
ประการที่สอง สิ่งที่แตกต่างจากยุคก่อนอย่างชัดเจนคือ ในยุคนี้ผู้นำของสหรัฐอเมริกากลับเห็นต่างจากผู้นำของสหราชอาณาจักร โดยประธานาธิบดี โจ ไบเดน ทวีตข้อความไว้ในช่วงเวลาเดียวกันว่า “เศรษฐกิจแบบไหลจากบนลงล่างไม่เคยประสบความสำเร็จ เรากำลังสร้างเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาจากล่างขึ้นบน”
ไม่แน่ใจว่านี่เป็นข่าวดีหรือข่าวร้าย แต่อย่างน้อย ประเทศกำลังพัฒนาน่าจะมีทางเลือกในการดำเนินนโยบายของตัวเองมากกว่าในยุค 1980s หรือ 1990s ที่ลมของมหาอำนาจพัดไปในทิศเดียวกันจนยากจะทวนกระแส
แต่ประเทศกำลังพัฒนาจะแสวงหาโอกาสจาก ‘พื้นที่นโยบาย’ (policy space) ที่เกิดขึ้นได้มากน้อยเพียงใด ก็ย่อมขึ้นกับคุณภาพของดีเบตในประเทศนั้น ว่ามีความกว้าง (โมเดลเศรษฐกิจที่เป็นไปได้มีกี่แบบ) และความลึก (แต่ละโมเดลมีสมมติฐานและผลข้างเคียงอย่างไร) แค่ไหน
ประการสุดท้าย ถึงแม้การต่อสู้กับแนวคิดสุดโต่งด้วยการยกคุณค่าอื่นขึ้นมาเทียบเคียงและหักล้างนั้นจะมีความสำคัญก็จริง แต่เราก็ควรอภิปรายบนฐานของข้อมูลไปพร้อมกันด้วย มิฉะนั้นก็จะกลายเป็นการเอาความสุดโต่งอีกด้านมาสู้กันหัวชนฝา จนไม่เหลือพื้นที่แห่งเหตุผล
ดังที่วูลฟ์แสดงให้เห็นในการโต้เถียงกับข้อเสนอทางเศรษฐกิจของทรัสส์ การยกประเด็นความชอบธรรม (หรือศีลธรรม) แต่เพียงอย่างเดียว ย่อมมีพลังไม่เท่ากับการถกเถียงบนฐานของข้อมูล ร่วมกับมุมมองเชิงเปรียบเทียบกับสังคมอื่น และที่สำคัญกว่านั้นคือ ไม่ลืมเทียบกับประวัติศาสตร์และบทเรียนที่เกิดขึ้นในสังคมของเราเองด้วย
อ้างอิง
- สุนทรพจน์ของลิซ ทรัสส์ ในเวทีสมัชชาใหญ่สหประชาชาติปี 2022 ดู https://www.gov.uk/government/speeches/prime-minister-liz-trusss-speech-to-the-un-general-assembly-21-september-2022
- บทสัมภาษณ์ของทรัสส์ ดู https://news.sky.com/story/liz-truss-prepared-to-be-unpopular-with-tax-policy-to-boost-economic-growth-12702039
- บทความของมาร์ติน วูลฟ์ “The economic consequences of Liz Truss” (Financial Times, 21 September 2022) ดู https://www.ft.com/content/a9be9db6-a91e-48e4-8d69-4bbfff7e0f5f
- ดัชนีการควบคุมตลาดสินค้าและตลาดแรงงานของรัฐในกลุ่มประเทศ OECD ดู https://www.oecd.org/economy/reform/
- ประสบการณ์ของชิลีและบราซิลในการเผชิญหน้ากับอิทธิพลของเสรีนิยมใหม่ ดู วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร (2563) “การเดินทางของเสรีนิยมใหม่ใน 3 ทวีป” ใน ฟูโกต์กับลัทธิเสรีนิยมใหม่, พิพัฒน์ พสุธารชาติ (บรรณาธิการ), กรุงเทพฯ : อิลลูมิเนชันส์ เอดิชันส์.