เรามักคิดว่าคนทั้งโลกมีชีวิตที่มีความสุข เว้นก็แต่ชีวิตของเราเท่านั้น
แต่สิ่งที่ยากเย็นในการมีชีวิตอยู่ ยิ่งเสียยิ่งกว่าการพยายามมีชีวิตอยู่ให้รอด-ก็คือการทำความเข้าใจมัน
ในวัยเยาว์ เมื่อไม่เดียงสาอะไรกับชีวิต เราอาจคิดว่าชีวิตคือการผจญภัยไปข้างหน้า เพื่อตระเวนไปกับการคลี่บานออกของชีวิต เพื่อให้เราได้สัมผัสรับรู้ถึงสิ่งที่รอคอยอยู่
อาจมีทุกข์รายเรียงอยู่บ้าง แต่ความหวัง พละกำลังของคนหนุ่มสาว และความมุ่งมั่นตั้งใจอย่างไร้เดียงสานั้น อาจทำให้เรารู้สึกว่าทุกข์เหล่านั้นเป็นเรื่องสนุก และเรื่องสนุกก็คือความสุข
ใครๆ ก็เขียนถึงชีวิตของคนหนุ่มสาวกันทั้งนั้น ด้วยว่าพวกเขาและเธอนั้นเต็มไปด้วยพลัง มีชีวิตรอคอยอยู่ข้างหน้ามากมายไม่รู้จักจบสิ้น พวกเขาอาจพบเจออะไรก็ได้ และเราก็คาดหมายให้คนหนุ่มสาวได้พบเจออะไรสักอย่างที่สดใหม่ ไม่ใช่สิ่งซ้ำซากราวกับย่ำเท้าอยู่กับที่
แต่ความสุขคืออะไรกันเล่า
สำหรับบางคน ความสุขคืออะไรบางอย่างที่เวลาเกิดขึ้น มันจะย่องเข้ามาทางหน้าต่างโดยเราไม่รู้ตัว แล้วหนีหายไปอย่างรวดเร็วในเวลาที่เราต้องการมันอย่างที่สุด บางคนบอกว่าความสุขคือการได้เห็นจักรวาลในดอกไม้ ความสุขคือการขอบคุณคนที่ร้ายกาจกับเรา ความสุขคือน้ำค้างที่รู้จักระเหยหายเพื่อจะกลับมาใหม่ในเช้ารุ่งขึ้น แต่เหนืออื่นใด ความสุขที่แท้จริง-อาจคือสิ่งที่ไม่มีใครพูดได้ว่ารู้จักมันอย่างแท้จริง
ความสุขก็เหมือนความทุกข์ มันฝังตัวอยู่ในความชั่วคราวของกาลเวลา ไม่เคยจีรังยั่งยืน
เคยมีนิทานเซนเรื่องหนึ่งเล่าถึงศิษย์ที่ไปอาจารย์ท่านหนึ่งว่า-ทำอย่างไรคนเราถึงจะมีความสุขในชีวิตได้
อาจารย์เซนถามกลับไปว่า แล้วแต่ละคนมีชีวิตอยู่เพื่ออะไรกันบ้าง
คนหนึ่งตอบว่ามีชีวิตอยู่เพราะไม่อยากตาย อีกคนตอบว่ามีชีวิตอยู่เพื่อมีลูกหลานเยอะๆ มาแวดล้อมในยามแก่เฒ่า ส่วนคนสุดท้ายตอบว่ามีชีวิตอยู่เพื่อเป็นที่พึ่งให้กับคนในครอบครัว เพราะฉะนั้นทั้งสามคนจึงไม่อยากตายทั้งนั้น
อาจารย์เซนบอกว่าถ้าเป็นอย่างนั้นคงไม่มีใครมีความสุขได้เลยแม้แต่คนเดียว ที่เป็นอย่างนั้นเพราะคนแรกหวาดกลัวความตาย คนที่สองชีวิตไม่มีความหมายอะไรนอกจากเฝ้ารอให้แก่เฒ่าแล้วลูกหลานมาห้อมล้อม ส่วนคนที่สามก็ต้องทำงานหนักเพื่อให้คนอื่นพึ่งพิง จึงไม่มีใครมีความสุขได้
เสร็จแล้วอาจารย์ก็ถามกลับว่า แล้วสำหรับแต่ละคน-ความสุขคืออะไร
คนแรกบอกว่าความสุขคือทรัพย์สินเงินทอง คนที่สองตอบว่าความสุขคือความรักที่ได้จากลูกหลาน ส่วนคนสุดท้ายตอบว่าความสุขคือชื่อเสียงเกียรติยศที่ได้จากการยกย่องของคนที่มาพึ่งพิง
แต่อาจารย์เซนกลับบอกว่า ยิ่งสะสมทั้งทรัพย์สิน ความรัก และชื่อเสียงมากเท่าไหร่ คนเรายิ่งมีความสุขน้อยลง ซ้ำร้ายกลับไปเพิ่มความทุกข์ให้ด้วย ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะทั้งสามสิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งที่มีไว้เพื่อสะสม แต่มีไว้เพื่อแจกจ่าย
เหมือนกับชีวิตของเรา
เราไม่มีวันรู้หรอกว่า-เมื่อไหร่คือจุดที่ชีวิตที่ยังเหลืออยู่-มีน้อยกว่าชีวิตที่ผ่านมาแล้ว เราเพียงแต่มีชีวิตอยู่ พยายามทำความเข้าใจว่าชีวิตคืออะไร แต่เราอาจไม่มีวันเข้าใจชีวิตได้เลยจนชั่วชีวิตก็เป็นได้
สิ่งที่เรารู้ก็คือ-เมื่อถึงสิ้นวัน เราก็แก่ตัวลงอีกวันหนึ่ง