‘เมื่อเวลามาถึง’ คอลัมน์ใหม่จาก ธิติ มีแต้ม หยิบแง่มุมของบทเพลงและเรื่องราวของศิลปินมาเล่าให้ลูกวัยยังไม่ถึงขวบฟัง คู่ขนานไปกับเรื่องราวของความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในครอบครัว เพื่อน และสังคม ท่ามกลางตำราฮาวทูเลี้ยงเด็กที่มีอยู่จำนวนมาก ผู้เขียนคิดว่าเมื่อเวลาผ่านไปเราจะลืมตำราพวกนั้น แต่เพลงจะยังบรรเลงอยู่กับพวกเราตลอดไป พบกับคอลัมน์นี้กันได้ทุกวันเสาร์สิ้นเดือน
[/et_pb_text][et_pb_text admin_label=”Text” background_layout=”light” text_orientation=”left” use_border_color=”off” border_color=”#ffffff” border_style=”solid”]ธิติ มีแต้ม เรื่องและภาพ
ตอนที่ “เวลา” (ชื่อของลูก) คลานพลาดตกเตียงหัวโหม่งพื้นกระเบื้องแข็งๆ จนหัวปูด ลูกมีอายุได้ 7 เดือน พ่ออยู่เวียงจันทน์กับน้าเอก ไม่ได้อยู่ดูแลพร้อมกับแม่
พอเห็นข้อความเด้งขึ้นในโทรศัพท์แจ้งข่าวว่าลูกตกเตียง ใบหน้าของแม่ลอยชัดขึ้นมาราวกับโทรศัพท์มีช่องหน้าต่างวิเศษที่โผล่หน้าออกมาได้ มันทั้งซีดเผือดและหวั่นวิตก
อย่างไรก็เข้าใจได้ไม่ยากว่ากะโหลกบางๆ ของเด็ก 7 เดือนมันคงไม่แข็งเหมือนคนอายุ 30 ถ้าหากตกกระแทกกับพื้นจากความสูงเกือบเมตร ก็สุ่มเสี่ยงต่อความพิกลพิการทางสมองหรือไม่ก็นอนเป็นเจ้าหญิงนิทราไปได้
แต่โชคดี พอแม่พาไปโรงพยาบาล หมอบอกว่าลูกไม่เป็นอะไรมาก ผ่านวันนั้นมายังส่งเสียงอ้อแอ้เรียกแม่ให้เอาเต้าใส่ปากได้ทุกคืน แต่รอยช้ำรอยปูดบนหน้าผากก็กินเวลาไปกว่าสัปดาห์
ไม่มีใครผิด, ลูกก็ไม่ผิดที่คลานไปแบบไม่ดูตาม้าตาเรือว่าหากเลยขอบเตียงไปจะมีหายนะรออยู่
แม่ก็ไม่ผิด เพียงแค่หันหลังให้ชั่ววินาทีเดียว แม่ก็คิดไม่ถึงว่าที่เห็นลูกนอนนิ่งๆ คุยเล่นกับหัวแม่เท้าอยู่อย่างเพลิดเพลิน จู่ๆ จะพลิกตัวเร่งสปีดถึงขอบเตียงได้ไวปานนั้น
ตอนน้าเอกเห็นรูปจากข้อความที่แม่ส่งมาในโทรศัพท์พ่อ มันไม่ถามอะไรให้ต้องออกแรงอธิบาย เวลาแบบนั้น อารมณ์แบบนั้น แค่พยักหน้าและอยู่เป็นเพื่อนกันเงียบๆ ก็ดีถมแล้ว
และโดยไม่ต้องเข้าห้องแลปพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ พ่อคิดว่ากำลังใจเงียบๆ จากมันน่าจะข้ามน้ำโขงไปถึงแม่และลูกได้
เวียงจันทน์, ธันวาคม 2017 น้าเอกชวนพ่อไปดูคอนเสิร์ต Metal Destruction ที่มีมิตรสหายคนลาวจัดขึ้น มีวงดนตรีสายโหดจากลาว จีน ญี่ปุ่น ไทย พร้อมแฟนเพลงต่างคนต่างเดินทางมารับเสียงเพลงอันหนักหน่วง อึกทึก แสบหู บรรยากาศในร้าน Go-Dunk สลัว ทึบทึม แสงไฟสีแดงและน้ำเงินบนคานเพดานร้านสลับกันสาดแสงตามเสียงดนตรีที่รัวเร็วราวกับกระสุนปืนสาดส่ายไปมาในสงคราม
ควันบุหรี่ กลิ่นอับ รอยสัก เบียร์ และอ้วกในคอนเสิร์ต ทั้งหมดทั้งปวงพ่อเรียกรวมๆ ว่ามิตรภาพ มันเร้าใจ สะใจ โดยไม่มีใครบาดเจ็บหรือเสียชีวิต
น้าเอกพาให้พ่อได้รู้จัก อ้ายโจ้ หรือท้าวสุขคำทัด สุดทิวงหน่อราต ผู้ใหญ่ร่างท้วมเต็มไปด้วยรอยสักทั้งแขนและขา เว้นไว้เฉพาะใบหน้าที่เปื้อนยิ้มและคอยถามไถ่ทุกข์สุขของน้องๆ ที่มาเยือนเวียงจันทน์ตลอดเวลา
อ้ายโจ้เป็นทีมเจ้าภาพก่อตั้งงานนี้และทำให้มีงานต่อเนื่องมากว่า 7 ปี นอกจากถวายใจให้ดนตรีเมทัลถึงขั้นเมื่อ 20 กว่าปีก่อนที่ลาวยังไม่มีเทป ซีดี และนิตยสารเพลงแนวนี้ขาย ต้องคอยข้ามฝั่งโขงไปฝากแผงหนังสือที่หนองคายให้สั่งซื้อให้และรอคอยราวกับรอคนรักนานแรมเดือนแล้ว อ้ายโจ้มีบ้านเปิดร้านบะหมี่ที่ทำเส้นบะหมี่เอง ร้านอยู่แถวพระธาตุดำ ถ้าลูกได้ไปเวียงจันทน์ คนแรกที่พ่ออยากให้ไปเจอคืออ้ายโจ้ และอย่าลืมชิมบะหมี่เกี๊ยวหมูแดงที่ร้านของเขา
อีกคนที่พ่ออยากให้ลองฟังเพลงของเขา คืออ้ายทูล หรือท้าวทูลวิลัย พิจิตร มือกีตาร์วง Buddhlust ที่เพลงและเสียงร้องของเขาราวกับแผดขึ้นมาจากนรก นิ้วมือของเขาเวลาเล่นอยู่บนคอกีตาร์มันหยุบหยับเหมือนหนวดอ็อกโตปุส
อ้ายทูลเล่าให้พ่อฟังว่าวงเมทัลทั่วโลกส่วนใหญ่เนื้อหาเพลงจะเป็นการปลดปล่อย ระบายอารมณ์สิ่งที่อยู่ในใจ หรือจะว่าขบถก็ใช่
เขาว่าเพลงวงเขาพูดถึงด้านมืดของคนที่นับถือศาสนาพุทธ และด้านมืดในจิตใจของมนุษย์ “ศาสนาทำให้ผมมีสมาธิ แต่สำหรับหลายคนมักเข้าใจว่าศาสนาคือการทำบุญใส่บาตร เครื่องเซ่นไหว้ พิธีกรรม ชอบเอาศาสนามาบังหน้าเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง”
หลังจากเดินเล่น ดูพระอาทิตย์ตกริมโขง น้าเอกพาพ่อไปตำจอกกับอ้ายผาดี หรือ ท้าวผาดี ลุนทะปันยา นักร้องนำวง Sapphire ตำนานของเฮฟวี่ลาว ที่ได้ยินว่าในยุคที่อ้ายผาดีเริ่มทำเพลงเมื่อช่วงทศวรรษ 80 ภาพลักษณ์แบบชาวร็อคผมยาว ใส่แว่นดำ ไม่ค่อยเป็นที่จะพอใจของรัฐบาลลาวเท่าไหร่เพราะดูเหมือนเป็นการเอาอย่างฝรั่ง
“เมื่อก่อนเวลาเล่นดนตรีในประเทศตัวเอง ต้องรวบผมให้เรียบร้อย เพราะรัฐให้เหตุผลว่าเดี๋ยวจะเป็นแบบอย่างไม่ดีแก่เยาวชน”
ยุคสมัยเคลื่อนผ่าน กาลเวลาไม่หยุดยั้ง วงการร็อคและเมทัลลาวค่อยๆ คลี่คลายจากความเข้มงวดของรัฐบาลลาวมากขึ้น เพราะได้รับการยอมรับจากคนฟังมากขึ้น ไม่มีเหตุผลใดอ้างได้ว่าใครควรฟังเพลงอะไรหรือไม่ควรฟังเพลงอะไร แรงกดดันที่คล้ายจะเป็นน้ำเดือดในกาต้มน้ำก็ค่อยๆ เย็นลง
ท่าวังผา น่าน, มีนาคม 2007 พ่อกับน้าเอกขึ้นเขาไปอาศัยหลับนอนบนภูสันตะวันลับฟ้า ที่ของคนภูไพร หรือครูสมบัติ แก้วทิตย์ มือกีตาร์วงดอนผีบิน สร้างไว้เป็นศูนย์เรียนรู้และอนุรักษ์ป่าต้นน้ำน่าน
แม้จะเป็นเดือนมีนาฯ กลางวันร้อนแสบจนผิว แต่พอกลางคืนความหนาวเย็นบนนั้นทำให้ต้องผิงไฟและใส่ถุงเท้านอน
ครูสมบัติเคยบอกพ่อว่าสมัยก่อนที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ทำสงคราม กองศพเรียงรายกลายเป็นดินแดนผีล่องลอย ชื่อดอนผีบินก็มาจากเรื่องราวนี้
แต่วันนี้สงครามเปลี่ยนเป็นการทำลายป่า จากสภาพเขาหัวโล้นครูสมบัติกำลังพยายามพลิกฟื้นให้มันกลับมาเขียวครึ้มใหม่อีกครั้ง และบทเพลงของดอนผีบินก็เกิดขึ้นจากบนเขานี้เป็นส่วนใหญ่
พ่ออยากเล่าให้ลูกฟังอย่างสั้นที่สุด วงดอนผีบินออกอัลบั้มแรกปี 36 ขณะนี้มี 7 อัลบั้ม ได้แก่ โลกมืด, เส้นทางสายมรณะ, อุบาทว์ อุบัติ, สองฝากฝั่ง, สัญญาณเยือน, ปรากฏการณ์-ปรากฏกาย และยูโทเปีย
รวมๆ ก็น่าจะประมาณกว่า 80 เพลง พ่อร้องเพลงของดอนผีบินได้ไม่ครบหรอก แต่รับประกันเกิน 50 เพลง โดยเฉพาะเพลงช้า ถึงไม่ต้องร้องก็จำได้ เสียงมันค้างอยู่ที่หู เอะอะปุ๊บปั๊บมาผิวปากท่อนโซโล่ได้เลย
แม้บริบทแวดล้อมคนเขาทำอย่างอื่นกันอยู่ ว่ากันสุดๆ ต่อให้อยู่ในที่อับ ต้องรักษามารยาทห้ามส่งเสียง พ่อก็เนรมิตเสียงขึ้นในโสตได้อยู่ดี เพราะมันติดค้างติดใจ มันรักใคร่นักหนา
ศิลปินเป็นร้อยที่มีเพลงเพราะจริงๆ แต่ก็หลักสิบเท่านั้นที่เสียงมันค้างอยู่ในหูผู้คนเกินทศวรรษ ดอนผีบินพิสูจน์กับพ่อว่าจริง
เพลงดอนผีบินไม่เหมือนนักสนุกเกอร์ที่ถ้าไม่เล่นไม่ซ้อมบ่อยๆ แล้วเหลี่ยมมุมมันเสีย วางแดงดำต่อกันได้ไม่เกินหนึ่งไม้ก็นั่งรอพวกไป แต่เพลงดอนผีบินไม่ได้ฟังมาเป็นปีๆ ได้ยินทีนึงแล้วซาโตริเลย มันไม่ใช่เพลงที่มีแค่ feeling แต่เพลงดอนผีบินมี passion
สมัยที่พ่อบวชเณรอยู่ต่างจังหวัด ก็แอบติดเอาเทปไป 3-4 ม้วน เป็นดอนผีบิน 3 ม้วน อีกม้วนน่าจะของน้าหมู พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ
มาใคร่ครวญดู ที่ท่องสวดอิติปิโสได้ไวคงเพราะเทปดอนผีบินที่ติดไปด้วย ดนตรีมันยิ่งกว่าเสียงพระเข้าโบสถ์สวดปาติโมกข์อีก
เพื่อนเณรที่หนีคดีมาบวชตอนนั้นได้ฟังแล้วสว่างไสว สงบทันตาเห็น เราแอบหลวงพ่อฟังในกุฏิด้วยกัน หูฟังคนละข้าง พอสึกเทปก็ยืดพอดี
ถ้าเป็นเพลงเร็ว ครูสมบัติและสมาชิกที่เป็นพี่น้องร่วมสายเลือดทั้งหมด 3 คน ประเคนทั้งเสียงกลอง เบสและกีตาร์ สปีดเร็วจนถ้าหูเป็นเป้านิ่งก็กระจุย ถ้าเป็นเพลงช้าก็ได้ยินเสียงน้ำเสียงลม เมโลดี้กีตาร์มันระยิบระยับจับเกล็ดเลือด เนื้อหาเพลงทั้งหมดครูสมบัติเป็นคนเขียน ทั้งสังคม สิ่งแวดล้อม และปรัชญา
ลูกอาจไม่เชื่อว่าคนอย่างครูสมบัติที่สร้างเสียงอันป่าเถื่อนนี้ จะเป็นครูสอนศิลปะเด็กๆ บนเขา บางครั้งยังมีผ้าขาวม้ามัดเอว จับจอบจับเสียมปลูกพืชผักปลอดสารกินเอง สารภาพตรงๆ พ่อว่าครูแกเป็นคนโรแมนติกที่สุดคนหนึ่ง
“เวลาแหงนหน้าขึ้นไปบนฟ้า เราอาจจะเห็นลายแทงขุมทรัพย์ของตัวเอง มันคือแดนดินทิพย์” ครูสมบัติเคยบอกพ่อไว้
สารภาพตรงนี้ หลายครั้งหลายช่วงที่แม่ไปทำกับข้าวให้ลูกในครัว พ่อแอบเปิดเพลงบรรเลงของดอนผีบินให้ลูกฟัง ลูกก็หลับได้ปกติดี
ส่วนน้าเอกกับพ่อดูเหมือนจะเชื่อมร้อยกันด้วยเพลงแนวที่พ่อเล่าให้ลูกฟัง มันพาให้พ่อได้เดินทาง และเสมือนเป็นคัมภีร์ติดตัวไว้ใช้ยามคืนเงียบสงัดเข้ากุมดวงใจ
น้าเอกเป็นคนอำเภอยีงอ นราธิวาส เข้ามาเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ เราชอบฟังเพลงด้วยกันทั้งคู่
วันที่ลูกโตขึ้น หากลูกอยากเดินป่าขึ้นเขา พ่อกับน้าเอกจะพาไปภูสันตะวันลับฟ้า