“เฮ้ยมึง กระดาษที่ออฟฟิศ เราเอาไปใช้ (ในเรื่องส่วนตัว) ได้ไหมเนี่ย”
“ไม่รู้ดิ คงใช้ได้แหละมั้ง”
“ถ้างั้นก็คงได้แหละ”
หลายครั้งที่เราต้องเจอกับเหตุการณ์ทำนองนี้ และต้องเผชิญกับความอิหลักอิเหลื่อว่าสิ่งที่ตัวเองจะทำนั้น ‘ผิด’ หรือ ‘ถูก’ กันแน่
ถ้าเป็นในมุมมองของวัฒนธรรมไทย การนำของเล็กๆ น้อยๆ จากที่ทำงานมาใช้ส่วนตัวอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่โต หรือผิดแบบจริงจังมากนัก – แหม! กับของแค่นี้ จะอะไรกันนักหนาล่ะ ช่วยๆ กัน หน่อยจะเป็นอะไรไป
แต่ถ้าวัดจากมุมมองของชาวต่างประเทศ โดยเฉพาะชาวตะวันตก การหยิบใช้ของพวกนี้อาจจะผิด และถือว่าเป็น ‘คอร์รัปชัน’ ได้เลยทีเดียว
ในวิธีคิดของชาวตะวันตก การเอาทรัพยากรไม่ว่าจะเป็นเงิน อุปกรณ์ หรือแม้กระทั่งแรงงานที่เป็นของสาธารณะไปใช้ในเรื่องส่วนตัวไม่ว่าระดับเล็กหรือใหญ่ ล้วนเป็นสิ่งที่ผิดทั้งสิ้น ถือเป็น ‘คอร์รัปชัน’ อย่างปฏิเสธไม่ได้ ทั้งนี้เพราะว่าเขามีวิธีคิดแยกเรื่องสาธารณะและส่วนตัวอย่างชัดเจน
แต่ก่อนโน้น ย้อนไปสักสองร้อยกว่าปี ราวศตวรรษที่ 18-19 การทำงานในประเทศตะวันตกยังเผชิญกับความสิ้นเปลืองและไร้ประสิทธิภาพอย่างมาก บุคลากรตามหน่วยงานต่างๆ มักชอบแอบนำ ‘ของหลวง’ หรือ ‘ของบริษัท’ ไปใช้เพื่ออะไรอย่างอื่นที่นอกเหนือจากเป้าประสงค์ขององค์กรเสียเอง
เป็นต้นว่า ในระบบราชการ เหล่าข้าราชการมักเอาเงินหรืออุปกรณ์ของหน่วยงานไปใช้ในครอบครัว เช่น นำดินสอ หรือกระดาษไปให้ลูกให้หลานที่บ้านตัวเองใช้ หรือบางครั้งมีญาติตัวเองมาติดต่อราชการ ข้าราชการบางคนก็อาจจะให้ญาติตัวเองลัดคิวเพื่อให้บริการก่อนประชาชนคนอื่น (เป็นการให้อภิสิทธิ์) ซึ่งในส่วนของวงการธุรกิจ รูปแบบพฤติกรรมที่เกิดขึ้นก็ไม่ต่างจากนี้เท่าไหร่นัก
นักคิดด้านสังคมศาสตร์ทั้งหลายในสมัยนั้นเห็นว่า จะปล่อยให้พฤติกรรมแบบนี้ดำเนินต่อไปไม่ได้ เพราะนอกจากจะทำให้การทำงานของหน่วยงานและองค์กรต่างๆ ขาดประสิทธิภาพแล้ว ยังเป็นการปลูกฝังให้เกิด ‘วัฒนธรรมฉ้อฉล’ ในระยะยาวอีกด้วย ซึ่งหากปล่อยไป นานวันเข้า สังคมจะกัดกินตัวเองและล่มสลายไปในที่สุด – ว่าไปโน่น
แมกซ์ เวเบอร์ (Max Weber) นักเศรษฐศาสตร์การเมืองและนักสังคมวิทยาคนสำคัญของประเทศเยอรมนี ได้เสนอแนวคิดเรื่อง ‘องค์กรขนาดใหญ่’ (Bureaucracy) ขึ้นมา เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวและเสนอวิธีการทำงานขององค์กรในอุดมคติ
โดยองค์กรในอุคมคติของเวเบอร์จะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากจะต้องมีวิธีการทำงานที่เป็นไปอย่างมีระบบและการใช้ความเชี่ยวชาญตามความถนัดของแต่ละคนแล้ว สิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญไม่แพ้กันก็คือ ‘การแยกเรื่องส่วนตัวและเรื่องส่วนรวม’
แนวคิดพื้นฐานของการแยกเรื่องส่วนตัวและเรื่องส่วนรวม มาจากความเชื่อที่ว่า ในการทำงานที่ต้องข้องแวะกับสังคม เราต้องแยก ‘ชีวิตส่วนตัว’ (private life) และ ‘ชีวิตสาธารณะ’ (public life) ออกจากกันให้ได้ เพราะจะทำให้คนทำงานแบ่งแยกการทำงานได้อย่างชัดเจน และจะได้ไม่สับสนว่าเรื่องไหนเป็นเรื่องส่วนตัว เรื่องไหนเป็นเรื่องงานหรือสาธารณะ
ผลประโยชน์ของวิธีคิดในการทำงานแบบนี้คือ ทำให้คนทำงานไม่เอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับการทำงานประจำซึ่งเป็นเรื่องของส่วนรวม บุคลากรจึงสามารถทุ่มเททรัพยากรส่วนรวมทั้งหมดเพื่อทำงานแก่ส่วนรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และหากใครมีพฤติกรรมที่เอาเรื่องส่วนตัวและเรื่องงานมาปะปนกัน (แม้เพียงนิดเดียว และหากจับได้) ก็จะโดนลงโทษ เช่น การหักเงินเดือน การลดขั้น หรือการไล่ออก
ด้วยหลังจากที่แนวคิดนี้ได้รับการเผยแพร่ องค์กรทั้งน้อยใหญ่ต่างก็นำไปปรับใช้ และผลลัพธ์ก็เป็นไปอย่างที่คาดหวังไว้ วิธีคิดนี้จึงกลายเป็นบรรทัดฐานสำคัญสำหรับการทำงานในองค์กรในประเทศตะวันตก และประเทศที่เจริญแล้วทั่วโลก
คำถามที่น่าสนใจคือ ถึงแม้ว่าวิธีคิดการแยกเรื่องส่วนตัวกับเรื่องส่วนรวมจะได้รับการยอมรับโดยทั่วกัน แต่ทำไมคนไทยถึงไม่ยอมใช้วิธีคิดดังกล่าวนี้กันอย่างจริงจัง
คำตอบของคำถามนี้น่าจะอยู่ที่ ‘รากฐานทางวัฒนธรรมของไทย’ โดยเฉพาะ ‘ระบบเจ้าขุนมูลนาย’ นี่แหละ
ระบบเจ้าขุนมูลนายหรือระบบศักดินาแบบไทยๆ มีบทบาทสำคัญในการจัดโครงสร้างสังคมและการเมืองไทยในอดีตอย่างมาก โดยในระบบดังกล่าว ประชาชนต่างๆ ในสังคมจะถูกจัดช่วงชั้นตามศักดินาที่ตนได้รับ ซึ่งศักดินาที่ได้รับนั้นก็เป็นการพระราชทานมาจากกษัตริย์ ทั้งนี้ หากผู้ใดมีศักดินามากก็หมายถึงว่าผู้นั้นก็จะมีสิทธิและหน้าที่มาก ส่วนคนที่มีศักดินาน้อย สิทธิและหน้าที่ก็น้อยตามลงไป หน่วยที่ใช้วัดศักดินาก็คือ ‘ไร่’ นั่นเอง อย่างไรก็ดี การใช้จำนวนไร่ในการวัดศักดินาก็ไม่ได้หมายถึงจำนวนไร่แบบตายตัว ดังนั้น หากใครมีศักดินามาก ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะมีที่ดินมากตามไปด้วย
การกำหนดศักดินา (รวมถึงสิทธิและหน้าที่) ด้วยจำนวนไร่ในเชิงนามธรรมเพียงอย่างเดียวนั้น ยังไม่อาจสามารถทำให้กษัตริย์สามารถปกครองได้อย่างมีประสิทธิภาพ กษัตริย์จึงต้องพระราชทานทรัพยากรอื่นๆ แก่ข้าราชบริพารของตนเพื่อเป็นการให้รางวัลให้พอเหมาะกับศักดินาที่พวกเขาได้รับควบคู่ไปด้วย
ผู้ที่มีศักดินามาก จึงมักได้รับที่ดินและสมบัติหรือข้าทาสบริวารที่พระราชทานจากกษัตริย์มากตามไปด้วย แต่ทรัพย์สินหรือที่ดินที่ข้าราชบริพารได้รับ แม้จะถูกนำมาใช้สอยเป็นการส่วนตัว แต่โดยหลักการแล้วไม่ได้เป็นของพวกเขา ยังคงถือว่าเป็นของกษัตริย์หรือ ‘ของหลวง’ ที่ได้รับพระราชทานมาอยู่นั่นเอง
ดังนั้น จึงเกิดความพร่าเลือนระหว่าง ‘ของหลวง’ กับ ‘ของส่วนตัว’ ขึ้นมา ซึ่งรูปแบบการใช้ทรัพยากรเช่นนี้ เกิดขึ้นในแทบทุกระดับชั้นของสังคม ไล่มาตั้งแต่เจ้าในวังถึงสามัญชนข้างถนน จนกลายเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับการทำงานในสังคมไทย
วิธีคิดในการทำงานที่สืบทอดมานี้ ทำให้เราปนเรื่องส่วนตัวและเรื่องส่วนรวมไว้ด้วยกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้