Brexit หรือกรณีที่สหราชอาณาจักรจะออกจากสหภาพยุโรป ไม่ได้สร้างผลกระทบทางการเมืองและเศรษฐกิจต่อชาวยุโรปและโลกเท่านั้น
ในด้านสิ่งแวดล้อม Brexit ก็สามารถสร้างปัญหาได้ด้วยเช่นกัน ปัญหาที่ว่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับคนอังกฤษเท่านั้น หากแต่ส่งผลกระทบไปทั่วยุโรปได้เลยทีเดียว
แต่เดิม คราวที่สหภาพยุโรปยังเป็นปึกแผ่น และอังกฤษก็ยังอยู่ในสหภาพ ประเทศต่างๆ ในสหภาพต่างมีการแลกเปลี่ยนหมุนเวียนทั้งในแง่ของสินค้า วัฒนธรรม และผู้คน
หลายประเทศต่างเปิดดินแดนเพื่อให้ประชาชนจากประเทศเพื่อนบ้านได้เข้ามาทำงาน ท่องเที่ยว หรือตั้งรกรากได้อย่างง่ายดาย
ในด้านเศรษฐกิจ แต่ละประเทศก็ได้ทำสนธิสัญญาทางการค้าหรือที่เราเรียกกันว่า ‘Free Trade Agreement’ ซึ่งทำให้แต่ละประเทศส่งออก-นำเข้าสินค้าได้อย่างอิสระและง่าย เพราะรายการสินค้าแต่ละประเภทถูกเก็บภาษีในปริมาณที่น้อยหรือแทบไม่มีเลยก็ว่าได้
รายการสินค้าชนิดหนึ่งที่มีความสำคัญต่อการค้าขายและความมั่นคงทางพลังของแต่ละประเทศในสหภาพยุโรปคือ ‘ขยะ’
ขยะในที่นี้หมายถึง ขยะที่สามารถนำไปรีไซเคิลได้ และขยะที่สามารถนำไปเผาเพื่อให้ก่อเกิดพลังงานความร้อนที่มากพอ
หลายประเทศในสหภาพยุโรปต้องนำเข้าขยะเหล่านี้ในปริมาณมาก เพราะต้องนำไปเผาเพื่อสร้างพลังงานความร้อน รวมถึงไฟฟ้าหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจของประเทศ แต่ปัญหาก็มีอยู่ว่า ในบางประเทศที่มีขนาดเล็ก จนประชากรในประเทศไม่สามารถผลิตขยะได้มากพอ รัฐบาลไม่สามารถหาขยะจากในประเทศมาแปรรูปเป็นพลังงานได้มากพอ ทางออกของประเทศเหล่านี้คือ ‘การนำเข้าขยะ’
และผู้ส่งออกขยะรายใหญ่ของสหภาพยุโรปก็คือ ‘สหราชอาณาจักร’
หลังจากที่มีมติให้สหราชอาณาจักรออกจากสหภาพยุโรป สิ่งที่รัฐบาลต้องทำถัดมาคือ การฉีกข้อตกลงว่าด้วยการค้าเสรีกับประเทศต่างๆ ในยุโรปที่ทำผ่านสหภาพยุโรป นั่นหมายความว่า การส่งออก- นำเข้าขยะในยุโรปก็เลยได้รับผลกระทบไปด้วย
กล่าวคือ กำแพงภาษีของการนำเข้า-ส่งออกขยะจะสูงขึ้น ส่งผลให้ประเทศเล็กๆ ที่ไม่รวยมากนำเข้าขยะจากสหราชอาณาจักรได้น้อยลง พร้อมๆ กับสหราชอาณาจักรก็ส่งออกสินค้าเหล่านี้ได้น้อยลงอีกด้วย
ปรากฎการณ์นี้จะทำให้เกิดปัญหาความมั่นคงทางพลังงานและด้านสิ่งแวดล้อมในสหภาพยุโรปตามมา
สำหรับปัญหาประการแรก ประเทศเล็กๆ ที่นำเข้าขยะจากสหราชอาณาจักร จะนำเข้าขยะได้น้อยลง ซึ่งนั่นจะทำให้ประเทศตนมีขยะเพื่อใช้ในการเผาผลาญได้น้อยลง อันเป็นผลให้ทำให้การผลิตพลังงานในประเทศมีปัญหาไปด้วย ก่อเกิดเป็นวิกฤตด้านพลังงานในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และอาจส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ตามมา นั่นคือ ปัญหาด้านเศรษฐกิจ
ทางแก้ที่เป็นไปได้สำหรับกรณีนี้คือ ประเทศเล็กๆ เหล่านี้ต้องจ่ายเงินมากขึ้นสำหรับนำเข้าขยะ ซึ่งนี่จะเพิ่มปัญหาทางการคลังให้กับประเทศดังกล่าว หรืออีกวิธีการหนึ่งก็คือ การสร้างโรงงานผลิตไฟฟ้าหมุนเวียน เพื่อมาใช้แทนโรงงานผลิตไฟฟ้าหรือให้ความร้อนแบบเผาขยะ แต่นั่นก็หมายความว่าประเทศเหล่านี้ก็ต้องลงทุนสำหรับการวิจัยและนวัตกรรมด้านพลังงานมากขึ้น
ส่วนปัญหาประการที่สอง ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่จะเกิดขึ้นบนเกาะอังกฤษ ต้องยอมรับว่า ประเทศอังกฤษมีอัตราการสร้างขยะต่อปีที่สูงมากๆ ซึ่งหากสหราชอาณาจักรไม่สามารถส่งออกขยะได้แล้ว ขยะก็ต้องตกค้างอยู่ในประเทศ และก็ต้องหาพื้นที่ฝังกลบขยะมากกว่าแต่ก่อน ทั้งที่พื้นที่ดังกล่าวก็มีน้อยอยู่แล้ว
มีการคาดการณ์กันว่าภายในไม่ถึง 10 ปี อังกฤษจะไม่เหลือพื้นที่ดังกล่าว และเมื่อถึงเวลานั้นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม เช่น มลพิษจากกลิ่น และสารเคมี ก็จะรุนแรงถึงขีดสุด กล่าวคือ สภาพพื้นดินจะเสีย ประชาชนในบริเวณใกล้เคียงจะมีปัญหาสุขภาพ
ปัญหาขยะจะทำให้ Brexit ส่งผลกระทบเชิงลบที่กว้างและอยู่ได้นานหลายทศวรรษ หากสหราชอาณาจักร รวมถึงประเทศอื่นๆ ในสหภาพยุโรปยังไม่รีบหาวิธีรับมืออย่างยั่งยืน อนาคตด้านสิ่งแวดล้อมและความมั่นคงทางพลังงานของสหภาพยุโรปก็คงไม่ราบรื่น
ไม่แน่ว่าในอีกสิบยี่สิบปีข้างหน้า หน้าตาของอังกฤษอาจจะเปลี่ยนไป พื้นดินอาจเต็มไปด้วยขยะ พื้นน้ำอาจอบอวลไปด้วยกลิ่นเหม็นก็เป็นได้
เอกสารอ้างอิง
บทความเรื่อง We’re running out of landfill and Brexit could make it worse, says new report โดย Mike Scott จาก The Guardian