3 ปรมาจารย์ ใน ‘มังกรหยก’ 2025

“ในภาษาไทยนั้นมังกรหยกเป็นนิยายกำลังภายในเรื่องแรก โด่งดังเป็นพลุแตก ได้รับความนิยมยืนยาวมาจนทุกวันนี้” – ถาวร สิกขโกศล[1]

ในช่วงหลังวันตรุษจีน พุทธศักราช 2568 เมื่อม่านโรงภาพยนตร์เปิดต้อนรับการกลับมาของ ‘มังกรหยก’ อีกครั้ง ในฉบับที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นเวอร์ชันที่ยิ่งใหญ่สุดเท่าที่เคยมีการสร้างมา[2] ผู้เขียนเดินเข้าสู่โรงภาพยนตร์โดยไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก แต่ก็ต้องยอมรับว่า แค่เห็นชื่อ ‘มังกรหยก’ ก็เพียงพอที่จะตัดสินใจซื้อตั๋วโดยไม่ต้องลังเล

จะด้วยเพราะความผูกพันทางใจ ความทรงจำในวัยเยาว์เมื่อครั้งเคยรับชมภาพยนตร์โทรทัศน์ทางจอแก้ว ทั้งเวอร์ชันแรก พ.ศ.2519 ที่นำแสดงโดย ไป๋เปียว (白彪) และหมีเซียะ (米雪) หรือกระทั่งภาพจำอันลบไม่เลือนของคู่ หวงเย่อหัว (黃日華) กับ อุงเหม่ยหลิง (翁美玲, Barbara Yung, พ.ศ.2502–2528 การฆ่าตัวตายของเธอภายหลังเล่นเรื่องมังกรหยกเป็นข่าวสะเทือนวงการมากยุคนั้น) ในฉบับโทรทัศน์ พ.ศ.2526 ที่หล่อหลอมให้ ‘มังกรหยก’ เป็นมากกว่าความบันเทิงโดยปกติ หรือด้วยมนต์เสน่ห์ของพล็อตอันจับใจ มีพระเอกหนุ่มผู้ทึ่มแต่มากล้นด้วยคุณธรรม เคียงข้างด้วยนางเอกสาวแสนชาญฉลาด แถมซุกซนทันเล่ห์เหลี่ยมผู้คนก็ตาม


โปสเตอร์มังกรหยก จอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่ 2025


สิ่งแรกที่กวักมือผู้เขียนให้ยอมควักเงินตีตั๋วทันทีวันแรก ไม่ใช่ภาพโปสเตอร์ ไม่ใช่ชื่อดารานำ แต่เป็นการปรากฏนามของสามปรมาจารย์ ผู้ซึ่งแม้จะไม่ถือดาบ ไม่เหาะเหินระหว่างหลังคา ไม่ใช่ ยาจกอุดร (北丐) ผู้ฉีกไก่แกล้มสุรา ไม่ใช่ ราชันย์ทักษิณ (南帝) ผู้ขัดสมาธิท่ามกลางเสียงจั๊กจั่นฤดูร้อน และก็หาใช่ มารบูรพา (東邪), พิษปัจจิม (西毒) หรือ จิวแป๊ะทง (周伯通) ผู้โลดเต้นดั่งเด็กระเริงไม่

พวกเขาไม่ใช่จอมยุทธ์ในนิยาย แต่เป็นยอดฝีมือแห่งศิลป์ในโลกจริง คนหนึ่งบรรจงจรดปากกาเขียนเรื่อง คนหนึ่งกำกับกล้องสร้างภาพ คนหนึ่งแต่งทำนองให้เสียงมีชีวิต ทั้งสามล้วนมิได้ประลองกันด้วยหมัดเท้า หากแต่ร่วมสอดประสานในจังหวะเดียวกัน ข้ามกาลเวลาและยุคสมัยแบบ 3 in 1 เพียงเพื่อบอกผู้ชมว่า “นี่แหละ มังกรหยก ที่ผู้คนในยุคนี้ควรได้ประจักษ์ด้วยตาตน”

หนึ่ง จาเหลียงยง (查良鏞 ) หรือที่รู้จักกันในนามอุโฆษ ‘กิมย้ง’ (金庸,พ.ศ.2467–2561) ผู้ใช้ปลายปากกาสร้างยุทธจักรให้โลกลืมไม่ลง

สอง ‘ฉีเคอะ’ (徐克, Tsui Hark, เกิด พ.ศ.2493) ผู้กำกับซึ่งเปลี่ยนทิศทางของภาพยนตร์จีนดั่งการวาดกระบี่ในอากาศ

และสาม ‘กู้เจียฮุย’ (顧嘉煇, Joseph Koo, พ.ศ. 2494–2566) คีตกวีผู้บรรจงแต้มเสียงให้ดังกังวานในใจคนทั้งแผ่นดิน

คราวนี้ บุรุษผู้เรืองนามทั้งสามแห่งกังนั้ม ผู้เคยเขียนตำนานไว้ทั่วหล้า ได้กลับมาประสานเงาในผลงานชิ้นเดียวกัน แม้สองท่านจะล่วงลับ ฝังร่างไว้ใต้ผืนแผ่นดิน เหลือเพียงหนึ่งที่ยังประคองคบไฟแห่งศิลป์ไว้ แต่เงาของทั้งสามกลับแจ่มชัดราวปรากฏพร้อมกันในคืนเดือนหงาย วรรณกรรม บทเพลง และศิลปะภาพยนตร์ ที่ต่างคนต่างเคยสร้างความทรงจำในยุคทอง ได้กลับมาประสานกันอีกคราอย่างงดงาม ท่ามกลางห้วงเวลาที่นิยายกำลังภายในมิได้รุ่งเรืองดังแต่เก่าก่อน


นิยายกำลังภายในจีนในสังคมไทย


“นิยายจีนกำลังภายในเป็นวรรณกรรมที่เพิ่งจะเป็นที่รู้จักโดยทั่วไป และได้รับความนิยมเมื่อประมาณ พ.ศ.2500 โดยเริ่มเปิดยุคแห่งนิยายกำลังภายในด้วยนิยายของ กิมย้ง เรื่อง มังกรหยก”[3] – อังคาร จันทร์เมือง


ปกหนังสือ ชุมนุมมังกรซ่อนพยัคฆ์ ของเสถียร จันทิมาธร


ในหนังสือ ‘ชุมนุมมังกรซ่อนพยัคฆ์’ ของ เสถียร จันทิมาธร[4] ได้เสนอการแบ่งยุคของนิยายจีนในประเทศไทยออกเป็นสามยุคสำคัญ โดยครอบคลุมระยะเวลาราวสองศตวรรษ ตั้งแต่การสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ใน พ.ศ.2325 จนถึงประมาณ พ.ศ.2530

ยุคแรก คือ ‘ยุคแห่งพงศาวดารจีน’ โดยมี ‘สามก๊ก’ เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญ ซึ่งเข้ามาเผยแพร่ในช่วงต้นรัตนโกสินทร์สมัยรัชกาลที่ 1 และได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องในรูปแบบวรรณคดีอิงพงศาวดาร วงจรของนิยายจีนในช่วงก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2464–2475 ได้รับการกล่าวถึงโดย อารีย์ ลีวีระ ว่า “หนังสือพิมพ์สยามราษฎร์เป็นหนังสือพิมพ์ที่มีคนนิยมอ่านมากที่สุด เพราะเหตุประการเดียว คือมีเรื่องจีนสนุก…”[5]

ในแวดวงวรรณกรรม ช่วงเวลาดังกล่าว นิยายอิงประวัติศาสตร์เรื่องแรกที่ ‘เกือบจะ’ ดึงความนิยมจากผู้อ่านนิยายจีนได้สำเร็จ คือเรื่อง ‘นเรศวรมหาราช’ ของ พานจันทร์ หรือ พงษ์ ไทยแท้ ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ ไทยหนุ่ม ซึ่งมี กุหลาบ สายประดิษฐ์ เป็นบรรณาธิการ[6] ความสำเร็จของนิยายเรื่องนี้เป็นแรงบันดาลใจให้กุหลาบพยายามล้มเลิกจารีตการตีพิมพ์พงศาวดารจีนในหนังสือพิมพ์ ซึ่งเขาเห็นว่าเริ่มเสื่อมคุณภาพ

ต่อมาเมื่อกุหลาบออกจาก ไทยหนุ่ม ไปทำหนังสือพิมพ์สุริยา จึงได้ชักชวน ‘ยาขอบ’ มาเขียนนิยายเรื่อง ‘ยอดขุนพล’ ซึ่งพัฒนาต่อมากลายเป็น ‘ผู้ชนะสิบทิศ’ ที่ได้รับความนิยมสูงหลังกบฏบวรเดช หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เพียงหนึ่งปี ใน หนังสือพิมพ์ประชาชาติ อย่างไรก็ดี เพียงไม่กี่ปีต่อมา ‘ยาขอบ’ ก็กลับมาหลงใหลวรรณกรรมจีนอีกครั้ง โดยนำตัวละครจาก สามก๊ก มาเขียนเป็นฉบับวณิพกระหว่าง พ.ศ.2485–2496[7] ซึ่งคาบเกี่ยวกับช่วงต่อไป

ยุคที่สอง คือ ‘ยุควรรณกรรมก้าวหน้า’ หรือวรรณกรรมเพื่อชีวิต ซึ่งได้รับอิทธิพลโดยตรงจากขบวนการวรรณกรรมสมัยใหม่ในประเทศจีน โดยเฉพาะผลงานของนักเขียนแนวสังคมนิยมที่มีบทบาทสำคัญ เช่น หลู่ซวิ่น (魯迅), ปาจิน (巴金) และ เหลาเส่อ (老舍) รวมถึง เพิร์ล เอส. บัก (Pearl Sydenstricker Buck) ผลงานของนักเขียนเหล่านี้ถูกแปลและเผยแพร่ในไทยผ่านนักเรียนไทยที่เคยศึกษายังประเทศจีน โดยเฉพาะในช่วงก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่แนวคิด ‘ศิลปะเพื่อชีวิต’ และ ‘ศิลปะเพื่อประชาชน’ เริ่มปรากฏชัดในแวดวงวรรณกรรมไทย

แนวโน้มดังกล่าวแสดงให้เห็นว่ารากทางความคิดของวรรณกรรมก้าวหน้าในประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากจีนมากกว่ายุโรป นักแปลที่มีบทบาทสำคัญในแนวทางนี้ ได้แก่ ‘สันตสิริ’ นามปากกาของ สงบ สวนสิริ (พ.ศ.2452–2513)

ยุคที่สาม คือ ‘ยุคนิยายกำลังภายใน’ ซึ่งเริ่มต้นอย่างเด่นชัดหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ.2501 ของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ โดยมี ‘มังกรหยก’ ของ กิมย้ง (金庸) แปลโดย จำลอง พิศนาคะ เป็นผลงานเปิดประตูสู่ยุคนี้อย่างแท้จริง ความนิยมของนิยายแนวนี้ขยายตัวรวดเร็ว และมีนักแปลหน้าใหม่เข้าสู่วงการติดตามจำนวนมาก ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือนามปากกา ว.ณ.เมืองลุง และ น.นพรัตน์

ความนิยมระยะนี้ทอดยาวต่อเนื่องนานอีกเกินกว่าสองทศวรรษ โดยเฉพาะในช่วงหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ.2519 เมื่อหนังสือพิมพ์ถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพ นิยายกำลังภายในซึ่งตีพิมพ์รายตอนในหนังสือพิมพ์จึงกลายเป็นทางเลือกหลักของผู้อ่าน ไทยรัฐเป็นหนึ่งในสื่อที่เผยแพร่นวนิยายแปลของ โกวเล้ง (古龍 พ.ศ.2481-2528) ผ่านฝีมือของ น. นพรัตน์[8] ซึ่งสอดรับกับกระแสภาพยนตร์กำลังภายในจากฮ่องกงและไต้หวันที่แพร่หลายผ่านโทรทัศน์ นำไปสู่การผลิต ‘วรรณกรรมเร่งรีบ’ ซึ่งสะท้อนความเชื่อมโยงระหว่างสื่อสิ่งพิมพ์ โทรทัศน์ และรสนิยมของสังคมเมืองในช่วงขยายตัว

สำหรับผู้เขียนเอง ต้นทศวรรษ พ.ศ.2520 คือช่วงเวลาแห่งการรับรู้ชื่อเสียงของ ‘เลสลี่ จาง’ ผ่านบท ‘ปึงป้อเง็ก’ จาก นักสู้ผู้พิชิต (浣花洗劍錄, พ.ศ.2522) ควบคู่ไปกับ ‘ฉีเส้าเฉียน’ ในบท ‘ฮุ้นปวยเอี้ยง’ จาก กระบี่ไร้เทียมทาน (天蠶變, พ.ศ.2522) ทางไทยทีวีสีช่อง 3  

อย่างไรก็ตาม ยุคทองของนิยายกำลังภายในระหว่าง พ.ศ.2501–2530 ค่อยๆ ลดระดับความนิยมลงในทศวรรษต่อมา[9] ปัจจัยสำคัญส่วนหนึ่งอาจเนื่องมาจากการที่กิมย้งหยุดเขียนผลงานใหม่ และหันไปปรับปรุงงานเก่าให้สมบูรณ์ที่สุด ขณะที่โกวเล้งเองก็ล้มป่วยและเสียชีวิตลงเมื่อ พ.ศ.2528 ส่งผลให้ขาดผู้สืบทอดวิทยายุทธ์ในสวนอักษรแห่งนี้ ที่ยังสามารถรักษาระดับฝีมือไว้ได้เทียบเท่าเดิม

จนกระทั่ง พ.ศ.2543 วงการนิยายกำลังภายในในประเทศไทยจึงเริ่มฟื้นตัวอีกครั้ง ผ่านความนิยมของผลงานแปลอย่าง เจาะเวลาหาจิ๋นซี และมังกรคู่สู้สิบทิศ ด้วยการแปลนิยายอย่างถูกลิขสิทธิ์ ซึ่งเป็นผลพวงจากการบังคับใช้พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 นั่นเอง[10]


‘มังกรหยก’ ตำนานจอมยุทธ์ผู้ยิงอินทรี


นิยายกำลังภายในเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของวรรณกรรมจีน เนื่องจากประเทศอื่นในภูมิภาคเอเชียตะวันออก เช่น เกาหลีและญี่ปุ่น แม้จะมีวัฒนธรรมคล้ายคลึงกับจีน แต่กลับไม่มีวรรณกรรมในลักษณะเดียวกัน ชาวโลกจึงรู้จักวรรณกรรมชนิดนี้ในฐานะงานที่แปลมาจากภาษาจีนเกือบทั้งหมด นิยายกำลังภายในจึงเป็นวรรณกรรมเฉพาะกลุ่มที่เติบโตจากรากของวัฒนธรรมจีนโดยตรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากผลงานของนักเขียนระดับตำนานอย่าง กิมย้ง และ เนี่ย อู้เซ็ง (梁羽生 นามปากกาของ 陳文統 , พ.ศ.2467-2552) ซึ่งเป็นนักเขียนแนวหน้าของจีนเสรีนับแต่หลังสงครามโลกยุติและจีนใหญ่เปลี่ยนแปลงการปกครองไม่นาน


ภาพปก มังกรหยก เล่ม 1 แปลโดย จำลอง พิศนาคะ พิมพ์ กันยายน พ.ศ.2502


นิยายกำลังภายในของจีนมีชื่อเรียกเฉพาะออกเสียงเป็นภาษาจีนแต้จิ๋วว่า ‘บู๊เฮี้ยบเสียวซ่วย’ (武俠小說) ซึ่งคำว่า ‘เสียวซ่วย’ 小說 แปลว่า ‘นิยาย’ ส่วนคำว่า ‘บู๊’ 武 แปลว่า ‘การต่อสู้’ และ ‘เฮี้ยบ’ 俠 หมายถึง ‘ความกล้าหาญ มีคุณธรรม ยึดมั่นในหลักจริยธรรมเพื่อผู้อื่น’ ตัวละครในเรื่องมักไม่ใช่ผู้วิเศษเหนือธรรมชาติ แต่เป็นบุคคลธรรมดาที่ฝึกฝนวิทยายุทธ์จนแกร่งกล้า มีอุดมคติ และยึดมั่นในคุณธรรม ยอมเสียสละตนเองเพื่อส่วนรวม ลักษณะนี้เองที่ทำให้นิยายกำลังภายในของจีนมีความต่างจากวรรณกรรมแนวฮีโร่ในโลกตะวันตก ซึ่งมักเรียกขานจอมยุทธ์จีนเหล่านี้ว่า Swordsman หรือ Knight-Errant[11]

สำหรับในประเทศไทย จากงานวิจัยของ อังคาร จันทร์เมือง อ้างการพบงานแปลวรรณกรรมของกิมย้งเป็นภาษาไทยครั้งแรกจากหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นของจังหวัดพิษณุโลก โดยใช้นามปากกาว่า ‘ไผ่ผุ’ (ถาวร สิกขโกศล ว่าชื่อ ‘ปากกาผุ’[12]) แปลเรื่อง ‘เสี่ยเต็งเอ็งย้งตึ่ง’ (อ่านทับศัพท์ 射鵰英雄傳 ด้วยสำเนียงจีนแต้จิ๋ว) โดยใช้ชื่อว่า ‘วีรบุรุษมือธนู’ หรือ ‘มังกรหยก’ ภาค 1 แต่แปลไม่จบก็เลิกเสีย[13] ก่อนที่ จำลอง พิศนาคะ จะนำมาแปลใหม่ในต้นทศวรรษ พ.ศ.2500 ด้วยชื่อ ‘มังกรหยก’ จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์เพลินจิตต์ ของนายเวช กระตุกฤกษ์ อย่างต่อเนื่องรวม 4 ภาคจำนวนเกือบ 150 เล่มย่อยจัดจำหน่ายระหว่าง พ.ศ.2502-2506

การแปลของ จำลอง พิศนาคะ ใช้สำนวนไทยลื่นไหล สละสลวย โดยอิงสไตล์งานแปลของเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ครั้งเรียบเรียงสามก๊กต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ทำให้ฉบับแปลชุดนี้เป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่นักอ่านชาวไทย (จำลองแปลชื่อพระเอก 郭靖 ว่า ‘ก๊วยเช็ง’ ไม่ใช่ ‘ก๊วยเจ๋ง’)  ก่อนที่ ว.ณ.เมืองลุง และสองพี่น้อง น.นพรัตน์ จะได้ขึ้นมาเฉิดฉายในวงการนักแปลนิยายกำลังภายในกลางทศวรรษเดียวกันนี้ตามลำดับ โดยท่านแรก ชื่อจริงว่า ชิน บำรุงพงศ์ (พ.ศ.2472-2549) เริ่มแปลเรื่อง ‘กระบี่ล้างแค้น’ (碧血金釵) ของ อ้อเล้งเซ็ง (臥龍生) ใน พ.ศ.2506[14]

ด้านสองพี่น้อง อานนท์ (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น ธนทัศน์ พ.ศ.2492-2543) และอำนวย ภิรมย์อนุกูล (เกิด พ.ศ.2493) เริ่มใช้นามปากการ่วมว่า น.นพรัตน์ ครั้งแรก (จากเดิมใช้นามปากกาว่า อ.ภิรมย์) ด้วยเรื่อง ‘กระบี่อำมหิต’ ใน พ.ศ.2509 สองพี่น้องทำงานร่วมกันมากกว่า 30 ปีจวบจนกระทั่งต่อมาพี่ชาย คุณธนทัศน์ เสียชีวิตลงใน พ.ศ.2543 น.นพรัตน์ ผู้น้อง คุณอำนวยจึงครองตำแหน่งประมุขนักแปลนิยายกำลังภายในของไทยจวบถึงปัจจุบัน อนึ่ง ทั้ง ว.ณ.เมืองลุง และ น.นพรัตน์ ต่อมาก็ยังได้แปลมังกรหยกในสำนวนของตัวเองไว้อีกด้วย[15]

นอกเหนือจากสามนามผู้สถาปนารากฐานนิยายกำลังภายในในภาษาไทย ได้แก่ จำลอง พิศนาคะ, ว.ณ.เมืองลุง และ น. นพรัตน์ ซึ่งสามารถสถิตชื่อไว้ในความทรงจำของผู้อ่านได้อย่างยั่งยืนแล้ว ยังมีนักแปลอีกหลายท่านที่ได้ฝากฝีมือไว้บ้าง แม้จะไม่สามารถจารึกชื่อไว้ในแถวหน้าได้ก็ตาม[16] อาทิ สุทธิพล นิติวัฒนา (ฝ่ามือพิฆาต), ช.โชคสัมฤทธิ์ (ฝ่ามือสังหาร), ช่อ อินทนิล (สิงห์คำรณ, ยอดนักสู้), ธวัช สกุลรัตนะ (ลีกุนหยก), นาคราช[17] (เลือดพยาบาท), ส.เลิศสุนทร[18] (ผู้ชนะสามภพ), ภักดี (พิณมัจจุราช) และ ส.สมสกุล (โคมเก้ามังกร)


ภาพปก มังกรหยก เล่ม 2 แปลโดย ว.ณ.เมืองลุง ใช้ชื่อว่า มังกรจ้าวยุทธจักร


สำหรับ ‘มังกรหยก’ นอกจากเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของแวดวงนิยายกำลังภายในจีนในไทย ยังได้รับความนิยมวงกว้างถึงขนาดเคยมีการสร้างเป็นภาพยนตร์ในประเทศไทย นำแสดงโดย ‘มิตร ชัยบัญชา’ เป็น ‘ก๊วยเจ๋ง’[19] และขยายตัวไปสู่สื่ออื่นๆ เช่น ละครโทรทัศน์จากฮ่องกงในยุค 2510–2530 ซึ่งถูกนำมาฉายในประเทศไทยและได้รับความนิยมอย่างล้นหลามเช่นกัน จนทำให้ผู้ชมจำนวนมากหันกลับมาอ่านนิยายต้นฉบับ ส่วนตัวผู้เขียนยังจดจำอารมณ์ความรู้สึกเมื่อคราวเช่าชุดหนังสือนี้มาอ่านตั้งแต่หัวค่ำยันสว่างได้เป็นอย่างดี

จำลอง พิศนาคะ ผู้แปล มังกรหยก


“เมื่อพี่ชายของจำลอง ‘ประยูร พิศนาคะ’ ได้อ่านเรื่องกวนอูที่จำลองแปล และเห็นแวว จึงได้แนะนำให้รู้จักกับ ‘เวช กระตุกฤกษ์’ เจ้าของ ‘สำนักพิมพ์เพลินจิตต์’

เมื่อหลายคนช่วยกันพิจารณาและเห็นแววว่าเรื่องจีนแบบนี้ขายได้แน่ เพลินจิตต์เลยรับพิมพ์ โดยให้จำลองเป็นคนแปล และให้ประยูร เรียบเรียง”[20]

จำลอง พิศนาคะ[21] เกิดเมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ.2466 ที่อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี เป็นบุตรชายคนเดียวของนายเจริญและนางแดง พิศนาคะ หลังจบการศึกษาจากโรงเรียนแก่งคอยวิทยา และโรงเรียนจีนเต๊อะ จำลองเริ่มต้นชีวิตการทำงานในฐานะช่างไม้ และมีโอกาสเรียนรู้ภาษาจีนอย่างลึกซึ้งระหว่างทำงานกับช่างไม้ชาวกวางตุ้ง ต่อมาเขาย้ายเข้ากรุงเทพฯ หลังสงครามโลกยุติ ในวัย 20 ปี และเริ่มต้นชีวิตครอบครัวกับนางนิด แซ่เล้า มีบุตรธิดารวม 5 คน

ช่วงเปลี่ยนผ่านของชีวิตเกิดขึ้นเมื่อจำลองประสบความล้มเหลวในการประกอบอาชีพรับเหมาก่อสร้าง จนต้องหันหน้าเข้าสู่ธรรมะและบวชเรียนอยู่ถึง 3 ปี ระหว่างนั้นเขาใช้เวลาอย่างจริงจังในการศึกษาภาษาจีนหลากหลายสำเนียง รวมถึงวรรณคดีและตำราโบราณจีนอย่างลึกซึ้ง หลังลาสิกขา เขาเข้าสู่วงการแปลหนังสือ โดยเริ่มต้นจากการรับงานแปลภาษาจีนเป็นไทยกับสำนักพิมพ์เพลินจิตต์ และใน พ.ศ.2501 ได้แปลนวนิยายกำลังภายในเรื่อง ‘มังกรหยก ภาค 1’ (射鵰英雄傳) ของ กิมย้ง (金庸) เป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยมีประยูร พิศนาคะ และนิยม โรหิตเสถียร ร่วมขัดเกลาสำนวน

มังกรหยก ฉบับแปลของจำลองกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในวงวรรณกรรมไทย ไม่เพียงเป็นผลงานที่สร้างชื่อเสียงให้เขาในฐานะนักแปลผู้มีสำนวนเฉพาะตัว หากยังเป็นต้นธารของคำว่า ‘กำลังภายใน’ ซึ่งจำลองบัญญัติขึ้นใช้เป็นคนแรกในภาษาไทย อีกทั้งยังเป็นจุดเริ่มต้นของการแปลนวนิยายจีนชุดมังกรหยกจนจบบริบูรณ์ ซึ่งล้วนได้รับการตีพิมพ์ซ้ำหลายครั้งในเวลาต่อมา และกลายเป็นแบบฉบับที่ชาวไทยจดจำได้เป็นอย่างดี


คำบรรยายปกหลัง มังกรหยก ฉบับพิมพ์ครั้งแรกโดยสำนักพิมพ์เพลินจิตต์ พ.ศ.2502


“ทศวรรษ พ.ศ.2500 นาม ‘จำลอง พิศนาคะ’ ได้รับการยอมรับในฐานะนักแปลนิยายจีนกำลังภายในแถวหน้าอันดับหนึ่งของไทยอย่างเต็มภาคภูมิ และสร้างชื่อเสียงต่อๆ มากับผลงานอีกมากมายหลายเรื่อง อาทิเช่น โต๊ะฮุ้นกี้ นางพญาเสือขาว เจ็ดนักกระบี่ เดชพญามังกร มังกรสาว มังกรทอง มังกรแก้ว สิงห์สาละวิน โคมมฤตยู นางพญาม้าขาว อึ้งเอี๊ยะซือ จิวแป๊ะทง และอั้งชิดกง เป็นต้น รวมทั้งค้นคว้าและแปลตำราโหงวเฮ้ง ตำราดูลักษณะบุคคล เคล็ดลับการค้าของจีน ประวัติเหมาเจ๋อตุง เคล็ดลับกำลังภายใน กังฟู ยูโด การฝังเข็มของจีน และอีกมากมายหลายแนว

นอกจากใช้ชื่อจริงในงานเขียนแล้ว จำลองยังมีนามปากกา อาทิ สุธีร์ ณ ป่าสัก ศิษย์หลวงสุวรรณ นิตยา จัตุรงค์ พงษ์นาคินทร์ จินตนา คณะช่าง และช่างเทคนิค เป็นต้น”

จำลอง พิศนาคะถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 15 เมษายน พ.ศ.2525 สิริอายุ 59 ปี ผลงานแปลสุดท้ายที่ตีพิมพ์คือ ‘มนุษย์ศพแหล’ ในนิตยสาร สยามบันเทิง อย่างไรก็ตาม ชื่อของเขาจะยังคงจารึกไว้ในฐานะนักแปลผู้เปิดประตูวรรณกรรมจีนให้เข้าถึงใจคนไทยอย่างแท้จริง สืบต่อจากการปลุกจิตสำนึกวรรณกรรมจีนในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้นของเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ด้วยผลงาน ‘สามก๊ก’ มาจนถึงปลายศตวรรษที่ 20 ที่ผลงานของจำลองได้กลายเป็นสะพานเชื่อมระหว่างโลกยุทธจักรกับผู้อ่านไทยทุกวัยอย่างมั่นคงและยั่งยืน


สังเขปชีวประวัติ 3 ปรมาจารย์ ในภาพยนตร์ ‘มังกรหยก’ พ.ศ.2568


ในโลกของยุทธจักร นิยายกำลังภายในอาจเต็มไปด้วยจอมยุทธ์ผู้เหินหาว ล่องลม กระบี่วับวาวสะท้านไพรี แต่ในโลกแห่งความจริง เบื้องหลังภาพยนตร์ ‘มังกรหยก’ พ.ศ.2568 อันงดงามตรึงตานั้น คือผลงานร่วมของสามปรมาจารย์แห่งยุคทองของวงการบันเทิงฮ่องกง สามชายสามศิลป์ ผู้ไม่ถือดาบ ไม่เหินหลังคา หากแต่หลอมจินตนาการ วรรณกรรม ภาพยนตร์ และเสียงเพลง เข้าด้วยกันอย่างกลมกลืนราวกับจารึกไว้ด้วยจิตวิญญาณเดียวกัน

พวกท่านคือ หนึ่ง กิมย้ง (金庸) ผู้วางรากฐานวรรณกรรมกำลังภายในด้วยฝีแปรงอักษร สอง ฉีเคอะ (徐克) ผู้เปลี่ยนความฝันในหน้ากระดาษให้กลายเป็นภาพบนจอด้วยวิสัยทัศน์อันโลดโผน และ สาม กู้เจียฮุย (顧嘉煇) ผู้แต้มเสียงแห่งอารมณ์ลงในทุกจังหวะก้าวของเรื่องราว จนกลายเป็นบทเพลงที่ฝังแน่นในความทรงจำของผู้ชม โดยการสร้างภาพยนตร์ครั้งนี้ได้ย้อนกลับไปนำบทเพลงอันตราตรึงของคีตกวีท่านนี้ที่ประพันธ์ไว้ในซีรีส์คลาสสิกของทีวีบีเมื่อ พ.ศ.2526 (หวง-อุง เวอร์ชัน) กลับมาประกอบเป็น OST (Original Soundtrack) อีกครั้ง

ต่อจากนี้คือชีวประวัติโดยสังเขปของทั้งสามปรมาจารย์ ผู้รังสรรค์โลกยุทธจักรผ่านศิลปะอันละเมียดละไม หล่อหลอมมังกรหยกฉบับนี้จนกลายเป็นหนึ่งในประสบการณ์การนั่งชมภาพยนตร์อันน่าจดจำ


มังกรหยก โดย จำลอง พิศนาคะ พิมพ์ต่อเนื่องจนถึง ภาค 4 พ.ศ.2506


ราชานิยายกำลังภายในจีน ‘กิมย้ง’


 กิมย้ง


กิมย้ง (金庸) หรือชื่อจริงว่า จาเหลียงยง (查良鏞) เกิดเมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ.2467 ณ เมืองไห่หนิง มณฑลเจ้อเจียง ประเทศจีน เขาเริ่มต้นชีวิตการทำงานในสายวารสารศาสตร์ เป็นทั้งนักข่าวและบรรณาธิการ ก่อนจะก้าวสู่บทบาทนักเขียนนวนิยายกำลังภายใน ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้มีอิทธิพลสูงสุดในโลกวรรณกรรมจีนยุคใหม่

ผลงานของเขาโดดเด่นด้วยการผสานวรรณศิลป์เข้ากับปรัชญา ประวัติศาสตร์ และอุดมคติของจีนโบราณ ถ่ายทอดผ่านลีลาการเล่าเรื่องที่เปี่ยมชีวิตชีวาและลุ่มลึก นวนิยายเรื่องแรกของเขาคือ ‘หนังสือกับดาบ’ (書劍恩仇錄) ซึ่งเริ่มตีพิมพ์ใน พ.ศ.2498 ต่อมาเขาได้เริ่มสร้างสรรค์ผลงานสำคัญยิ่งคือ ‘ตำนานจอมยุทธ์ผู้ยิงอินทรี’ (射鵰英雄傳) โดยเริ่มเผยแพร่ครั้งแรกต้น พ.ศ.2500[22] และได้รับถ่ายทอดเป็นภาษาไทยแทบจะทันทีในชื่อที่คุ้นเคย ‘มังกรหยก’ จำหน่ายเป็นรูปเล่มครั้งแรกใน พ.ศ.2502[23] โดย จำลอง พิศนาคะ ตามที่ได้เกริ่นไว้แล้วข้างต้น พึงรำลึกไว้ว่าในยุคนั้นยังไม่มีเรื่องกฎหมายลิขสิทธิ์ การนำมาแปลและจัดพิมพ์โดยคุณเวช กระตุฤกษ์ แห่งสำนักพิมพ์เพลินจิตต์ จึงดำเนินไปได้อย่างรวดเร็วฉับพลัน

มังกรหยกกลายเป็นจุดเริ่มต้นของไตรภาคอันเลื่องชื่อ ซึ่งประกอบด้วย ‘จอมยุทธ์ยิงอินทรี’ (射鵰英雄傳), ‘จอมยุทธ์เทพอินทรี’ (神鵰俠侶), และ ‘ดาบมังกรหยก’ หรือ ‘กระบี่อิงฟ้า ดาบฆ่ามังกร’ (倚天屠龍記[24]) ผลงานทั้งสามเรื่องนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นแบบอย่างของนวนิยายกำลังภายในยุคใหม่ที่ส่งอิทธิพลอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงในแวดวงวรรณกรรม หากยังแผ่ขยายไปสู่โลกของละครโทรทัศน์และภาพยนตร์ในโลกจีนโดยรวม

ตลอดชีวิตการเขียน กิมย้งสร้างผลงานรวมทั้งหมด 14[25] เรื่องยาวกับ 1 เรื่องสั้น ซึ่งล้วนกลายเป็นแม่แบบของนวนิยายแนว ‘บู๊เฮียบ’ (武侠) ยุคใหม่ เขายังเป็นผู้ร่วมก่อตั้งหนังสือพิมพ์หมิงเป้า (明報) ในฮ่องกงเมื่อ พ.ศ.2502 และมีบทบาทสำคัญในแวดวงสื่อมวลชนและวรรณกรรมจนถึงปลายชีวิต กิมย้งถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2561 รวมอายุ 94 ปี ทิ้งไว้เพียงเรื่องเล่า ท่วงทำนองยุทธจักร และอุดมคติที่ยังคงก้องอยู่ในใจผู้อ่านไม่เสื่อมคลาย


ฉีเคอะ กำกับการแสดง!


ฉีเคอะ


สำหรับสังคมไทย ชื่อของ ‘ฉีเคอะ’ (สฺวี เค่อ 徐克, Tsui Hark, เกิด พ.ศ.2493) เปรียบเสมือนเครื่องหมายการันตีคุณภาพของภาพยนตร์มาตั้งแต่สมัยผู้เขียนยังเป็นเด็ก ประโยคเด็ด ‘ฉีเคอะ กำกับการแสดง!’ กลายเป็นวลีติดปากในโฆษณาภาพยนตร์ทุกเรื่องที่เขามีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะในฐานะผู้กำกับโดยตรง หรือเพียงอยู่เบื้องหลังในบทบาทผู้อำนวยการสร้าง ราวกับเป็นแม่เหล็กดึงดูดผู้ชมให้หลั่งไหลเข้าสู่โรงภาพยนตร์ ด้วยความมั่นใจว่าอย่างน้อยที่สุด สิ่งที่พวกเขาจะได้รับคือความบันเทิงที่ไม่ธรรมดา

ฉีเคอะ คือหนึ่งในผู้กำกับภาพยนตร์ที่ทรงอิทธิพลที่สุดของวงการฮ่องกงยุคหลัง ค.ศ.1980 เขาเกิดในเวียดนามใต้ เติบโตในฮ่องกง และเดินทางไปศึกษาภาพยนตร์ที่สหรัฐอเมริกาในช่วงปลายทศวรรษ ค.ศ.1960 ซึ่งเป็นยุคเปลี่ยนผ่านของฮอลลีวูดพอดี ประสบการณ์ในโลกตะวันตกทำให้ฉีเคอะได้สัมผัสกับกระบวนทัศน์ใหม่ของการผลิตภาพยนตร์ ก่อนจะกลับสู่ฮ่องกงในช่วงที่วงการกำลังเริ่มไต่ระดับ

ผลงานแจ้งเกิดทั้งในเชิงศิลปะและธุรกิจของเขา คือการร่วมสร้างภาพยนตร์ ‘โหดเลวดี’ หรือในชื่อภาษาอังกฤษ A Better Tomorrow (英雄本色, พ.ศ.2529) โดยจับมือกับ จอห์น วู (John Woo) ภายใต้การสนับสนุนจากบริษัท Film Workshop ซึ่งเขาร่วมก่อตั้งกับภรรยา ภาพยนตร์เรื่องนี้กลายเป็นจุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์ของวงการภาพยนตร์ฮ่องกง ทั้งในแง่รายได้มหาศาล และคำวิจารณ์เชิงบวก ทั้งยังนำส่งให้จอห์น วู และโจวเหวินฟะ (周潤發) พุ่งขึ้นเป็นผู้กำกับและนักแสดงชายระดับท็อป รวมถึงแนวโทนหนังแบบ ‘heroic bloodshed’ ก็ได้กลายเป็นต้นแบบของภาพยนตร์แอ็กชันฮ่องกงอีกหลายเรื่องต่อมา

กระนั้น เบื้องหลังความสำเร็จกลับมีความขัดแย้งทางวิสัยทัศน์ค่อยๆ ก่อตัว เมื่อทั้งฉีเคอะและจอห์นวู ต่างมีแนวทางการกำกับที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ฉีเคอะมองภาพยนตร์เป็นโครงสร้าง เป็นสัญลักษณ์ และเป็นภาวะร่วมของยุคสมัย ขณะที่จอห์น วู เน้นอารมณ์ ความสัมพันธ์ และจิตวิญญาณของตัวละคร ความตึงเครียดยิ่งชัดเจนใน A Better Tomorrow II (พ.ศ.2530) เมื่อฉีเคอะเข้าไปควบคุมการตัดต่อและสอดแทรกฟุตเทจที่ตนเองกำกับ ส่งผลให้ทั้งคู่ตัดสินใจแยกทางอย่างถาวร

ความแตกแยกครั้งนี้แม้จะเจ็บปวด แต่กลับสร้างสองสายทางใหญ่ในภาพยนตร์ฮ่องกงขึ้นพร้อมกัน ฝั่งหนึ่งคือหนังแอ็กชันดราม่าที่นำโดยจอห์นวู อีกฝั่งคือแฟนตาซีผสมวัฒนธรรมจีนที่กลายเป็นลายเซ็นของฉีเคอะ อย่างไรก็ดี ในเวลาต่อมา จอห์นวูได้เอ่ยปากขอบคุณฉีเคอะต่อมิตรภาพที่ได้เคยร่วมงานกันมา[26]

หลังการแยกทาง ฉีเคอะยังคงเดินหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง โดยใช้ Film Workshop เป็นฐานปฏิบัติการของความคิดสร้างสรรค์ระดับสูง หนึ่งในผลงานที่เป็นทั้งความกล้าและการสร้างตำนานใหม่ คือ ‘เดชคัมภีร์เทวดา’ (Swordsman II) เมื่อ พ.ศ.2535[27] ซึ่งดัดแปลงจาก ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ (笑傲江湖) ของ กิมย้ง จุดที่พลิกภาพจำของทั้งวงการคือการเลือก ‘หลินชิงเสีย’ มารับบท ‘ตงฟางปุ๊ป้าย’ ตัวละครอำพรางเพศที่เต็มไปด้วยความลื่นไหลทางอัตลักษณ์

การตัดสินใจครั้งนั้นทำให้กิมย้งไม่พอใจในช่วงแรก เพราะมองว่าเป็นการบิดเบือนจากต้นฉบับ[28] แต่กระแสตอบรับกลับเหนือความคาดหมาย หลินชิงเสียกลายเป็นภาพจำของ ‘ปุ๊ป้าย’ ในแบบที่ไม่มีใครเทียบได้ และ Swordsman II ก็กลายเป็นบทพิสูจน์ว่าวรรณกรรมจีนสามารถตีความใหม่ให้ร่วมสมัยโดยไม่สูญเสียจิตวิญญาณเดิม

ฉีเคอะยังเป็นผู้บุกเบิกการใช้เทคนิคพิเศษอย่างจริงจังในภาพยนตร์จีน ซึ่งใช้ CGI เต็มรูปแบบในช่วงที่อุตสาหกรรมภาพยนตร์ฮ่องกงเริ่มถดถอยภายหลังการส่งมอบคืนจีนแผนดินใหญ่ ตลอดชีวิตในวงการ ฉีเคอะไม่เคยหยุดตั้งคำถามต่อสิ่งที่เรียกว่าภาพยนตร์ เขาคือนักทดลองที่เปลี่ยนข้อจำกัดให้เป็นพื้นที่สร้างสรรค์ คือนักเล่าเรื่องที่ใช้ตำนานเพื่ออธิบายสังคมร่วมสมัย และคือนักคิดที่มองภาพยนตร์เป็นเครื่องมือสำรวจวัฒนธรรมมากกว่าเพียงบันเทิง ฉีเคอะจึงมิใช่เพียงผู้กำกับระดับตำนาน หากคือผู้วางแนวทางให้วงการภาพยนตร์จีนก้าวสู่ยุคโลกาภิวัตน์ได้อย่างสง่างาม โดยยังรักษารากแห่งตัวตนเอาไว้ได้ทุกขณะของเฟรม

ถึงแม้ ฉีเคอะ (徐克, Tsui Hark) จะเป็นหนึ่งในผู้กำกับสำคัญของฮ่องกงยุคทอง ทว่าเขากลับไม่สามารถสร้างชื่อในฮอลลีวูดได้เทียบเท่า จอห์นวู หรือ อั้งลี่ (李安) ส่วนหนึ่งเพราะแนวทางการสร้างภาพยนตร์ของเขาที่เน้นความเป็นจีนอย่างลึกซึ้งและทดลองทางศิลปะในรูปแบบเฉพาะเข้าถึงยากในตลาดต่างประเทศ อีกทั้งเขายังให้ความสำคัญกับการควบคุมงานสร้างสรรค์มากกว่าการประนีประนอมกับระบบสตูดิโอแบบอเมริกัน อย่างไรก็ตาม ในสายตานักวิจารณ์จำนวนมาก ฉีเคอะคือผู้บุกเบิกที่นำเทคนิคพิเศษและภาษาภาพใหม่เข้าสู่หนังจีน และเป็นแรงบันดาลใจสำคัญต่อผู้กำกับรุ่นหลังทั่วเอเชีย


‘ไฟกอ’  煇哥 The Godfather of Cantopop[29]


กู้เจียฮุย


ในโลกแห่งเสียงเพลงที่ขับเคลื่อนวัฒนธรรมร่วมสมัยของฮ่องกงตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ไม่มีนามใดโดดเด่นไปกว่า กู้เจียฮุย (顧嘉煇, Joseph Koo, พ.ศ. 2431–2566)[30] ผู้เปรียบเสมือน ‘บีโธเฟ่นแห่งเพลงจีนสมัยใหม่’[31] ด้วยบทเพลงนับร้อยนับพันที่มิได้เป็นเพียงเครื่องประดับของละครหรือภาพยนตร์ หากแต่เป็นลมหายใจของยุคสมัย

ในหมู่ศิลปินและผู้ฟังชาวฮ่องกง กู้เจียฮุยมักได้รับการเรียกขานด้วยความเคารพและความรักใคร่ว่า ‘ไฟกอ’ (ออกเสียงเป็นกวางตุ้ง 煇哥) คำว่า ‘煇’ คืออักษรหนึ่งในชื่อของเขา ส่วน ‘哥’ แปลว่า ‘พี่ชาย’ เป็นสรรพนามที่ใช้เรียกบุคคลอาวุโสในวงการบันเทิงอย่างให้เกียรติ ในฐานะ ‘พี่ใหญ่’ ผู้ประคับประคองวงการเพลงฮ่องกงมาหลายยุคหลายสมัย

เขาเกิดในกวางเจาเมื่อ พ.ศ.2474 ก่อนจะย้ายข้ามมาฮ่องกงเมื่อ พ.ศ.2491 ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองใหญ่ในจีนแผ่นดินใหญ่เพียงหนึ่งปี เส้นทางดนตรีของกู้เจียฮุยเริ่มต้นขึ้นอย่างเรียบง่ายในปลายทศวรรษ ค.ศ.1950 เขารับหน้าที่เป็นหัวหน้าวงดนตรีในไนต์คลับ และทำงานเรียบเรียงเสียงประสานให้แก่บริษัทแผ่นเสียงหลายแห่ง กระทั่งใน พ.ศ.2503 เขาได้รับทุนการศึกษาเดินทางไปศึกษาด้านการประพันธ์ดนตรีที่ Berklee College of Music เมืองบอสตัน สหรัฐอเมริกา โดยมีเซอร์รันรันชอว์[32] เป็นผู้ให้การสนับสนุน การศึกษาครั้งนั้นเปิดโลกทัศน์ใหม่ให้แก่เขา ทั้งในเชิงเทคนิค การวางโครงสร้างเสียงประสาน และการผสานระหว่างดนตรีจีนกับอารมณ์แบบสากล ซึ่งต่อมากลายเป็นเอกลักษณ์สำคัญในงานของเขา

เมื่อเดินทางกลับฮ่องกงในช่วงต้นทศวรรษ ค.ศ.1960 เขาเริ่มเป็นที่รู้จักจากผลงานเพลงประกอบภาพยนตร์ของบริษัท Shaw Brothers โดยเฉพาะบทเพลง ‘ความฝัน’ (夢) จาก ภาพยนตร์ ‘รักมิรู้ลืม’ 不了情 (1961) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการผสมผสานดนตรีจีนดั้งเดิมเข้ากับโครงสร้างเพลงตะวันตกได้อย่างกลมกลืน จุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้งหนึ่งมาถึงใน พ.ศ. 2510 เมื่อเขาได้รับตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายดนตรีของสถานีโทรทัศน์ TVB (無綫電視) ซึ่งทำให้เขากลายเป็นผู้กำหนดทิศทางของดนตรีละครโทรทัศน์ฮ่องกงในยุคทอง และถือเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของละครมากมายที่กลายเป็นตำนาน ถ้าว่าเฉพาะสังคมไทย ย่อมคุ้นหูกันดีกับเพลง เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้, ฤทธิ์มีดสั้น, ชอลิ้วเฮียง, เทพบุตรชาวดิน, คมเฉือนคม, โหดเลวดี, มังกรหยก, เดชคัมภีร์เทวดา ฯลฯ ซึ่งล้วนแต่ได้รับการยกย่องว่าเป็นงานคลาสสิกของวัฒนธรรมภาพยนตร์ฮ่องกง

หนึ่งในบทเพลงสำคัญคือ เพลง ‘เสียงหัวเราะและหยดน้ำตาแห่งโชคชะตา’ (啼笑因緣) ขับร้องโดย 仙杜拉 (Sandra Lang) ใน พ.ศ. 2517[33] ถือเป็นเพลงธีมละครเรื่องแรกที่ใช้เนื้อร้องภาษากวางตุ้งและได้รับความนิยมระดับมหาชน จนถูกยกย่องว่าเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ในวงการเพลงฮ่องกง จากภาษาถิ่นที่เคยถูกมองข้าม กลับกลายเป็นสื่อหลักของวัฒนธรรมกระแสหลักอย่างสง่างาม[34]

ใน พ.ศ. 2526 กู้เจียฮุยแต่งเพลงประกอบซีรีส์ ‘มังกรหยก’ (射鵰英雄傳) เวอร์ชันของ TVB[35] ที่ออกอากาศใน ค.ศ. 1983 โดยมี หวงเย่อหัว (黃日華) รับบทก๊วยเจ๋ง และ องเหม่ยหลิง (翁美玲) รับบทอึ้งย้ง เพลงประกอบในเรื่องนี้ไม่เพียงแต่ตอกย้ำอารมณ์ของตัวละคร หากยังหล่อหลอมความผูกพันของผู้ชมชาวไทยและชาวจีนทั่วภูมิภาคกับตัวละครในโลกของกิมย้งอย่างลึกซึ้ง เป็นอีกหนึ่งผลงานที่สะท้อนศักยภาพของเขาในการปลุกอักษรให้มีชีวิต

แม้ภายหลังจากสร้างชื่อเสียงในวงการโทรทัศน์ กู้เจียฮุยยังได้ขยายบทบาทของตนสู่โลกของภาพยนตร์จอใหญ่ หนึ่งในผลงานที่ได้รับการกล่าวถึงอย่างกว้างขวาง คือเพลงประกอบภาพยนตร์ โหด เลว ดี (英雄本色, พ.ศ.2529) กำกับโดย จอห์น วู (吳宇森) และอำนวยการสร้างโดย ฉีเคอะ ภาพยนตร์เรื่องนี้นับเป็นหมุดหมายสำคัญที่พลิกภาพลักษณ์ของหนังอาชญากรรมฮ่องกงในยุค ค.ศ.1980 ให้มีความละเมียด ลุ่มลึก และเร้าอารมณ์ในระดับสากล ท่วงทำนองหลักของภาพยนตร์ โดยเฉพาะบทเพลง ‘ความหลังในวันวาน’ 當年情 ที่ขับร้องโดย เลสลี่ จาง[36] มีบทบาทอย่างยิ่งในการขับเน้นอารมณ์และเนื้อหาของเรื่องจนเกิดเป็นความสมบูรณ์ทางศิลปะทั้งภาพและเสียง นับเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนผ่านสำคัญของวงการภาพยนตร์ฮ่องกงในช่วงที่ยังได้รับการยกย่องให้เป็น ‘ฮอลลีวูดแห่งเอเชีย’ อย่างเต็มภาคภูมิ

ตลอดหลายทศวรรษแห่งการสร้างสรรค์ กู้เจียฮุย กับอีกหนึ่ง Godfather แห่งแคนโทป๊อปยุคทอง คือ หวงจ้าน (黃霑, James Wong Jim, พ.ศ.2484–2547) ทั้งคู่ ‘ไฟหว่อง’ (煇黃) ร่วมกันสร้างผลงานเพลงที่กลายเป็นตำนานประดับวงการจำนวนมหาศาล อาทิ เพลงที่คุ้นหูกันมากที่สุดอย่าง ‘เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้’ (上海灘[37]) หรือภาพจำของหลินชิงเสียในบทบูรพาไม่แพ้ กับเพลงประกอบอย่าง ‘ซางไห่ยิเซิงเซี่ยว’ (滄海一聲笑[38]) ซึ่งใช้ประกอบภาพยนตร์เรื่อง ‘เดชคัมภีร์เทวดา ภาค 2’ (笑傲江湖 II: 東方不敗 พ.ศ. 2535) เพลงหลังนี้ถือเป็นบทเพลงสะท้อนการถึงจุดสูงสุดและสิ้นสุดแห่งยุคสมัยแคนโทป๊อป เสมือนเสียงหัวเราะครั้งสุดท้ายของ ‘บูรพาไม่แพ้’ และของแคนโทป๊อปยุคทอง (Golden Era of Cantopop)[39] ก่อนที่ฮ่องกงจะเปลี่ยนผ่านสู่ยุคหลังอาณานิคม ซึ่งเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนทางอัตลักษณ์และทิศทางวัฒนธรรม[40]

กู้เจียฮุย[41]ไม่เพียงเป็นนักแต่งเพลง หากแต่คือผู้ปลุกจินตนาการให้กลายเป็นสื่อแห่งความรู้สึก เขาคือผู้เชื่อมดนตรีตะวันตกเข้ากับจิตวิญญาณแบบจีนดั้งเดิม ผ่านบทเพลงที่งดงามแต่ไม่อิงกระแสนิยม เขาเปลี่ยนเสียงของภาษาท้องถิ่น (กวางตุ้ง) ให้เป็นสากล เปลี่ยนละครโทรทัศน์ให้กลายเป็นความทรงจำ และเปลี่ยนดนตรีให้กลายเป็นตัวแทนของยุคสมัย


ปิดท้าย


ภาพยนตร์  มังกรหยก จอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่ (2025) Legends of the Condor Heroes: The Gallants (射雕英雄传:侠之大者) ผลงานล่าสุดของฉีเคอะนี้ได้ช่วยปลุกตำนานของกิมย้งให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ด้วยลีลาภาพยนตร์ที่สง่างามทั้งในเชิงเทคนิคและจินตภาพ


โปสเตอร์อีกรูปแบบ มังกรหยกจอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่ ค.ศ.2025


ภายหลังจากชมมังกรหยก พ.ศ.2568 จบลง พบว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้เพียงนำเสนอการตีความใหม่ของวรรณกรรมคลาสสิก แต่ยังเป็นการรวมตัวกันอย่างน่าประทับใจของบุคลากรระดับตำนานในสามแขนงศิลปะที่ต่างมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์วัฒนธรรมร่วมสมัยของฮ่องกง ได้แก่ กิมย้ง (金庸) ในฐานะผู้สร้างต้นฉบับวรรณกรรม, ฉีเคอะ (徐克) ผู้กำกับซึ่งมีบทบาทสำคัญในการปฏิรูปภาพยนตร์กำลังภายใน และ กู้เจียฮุย (顧嘉煇) นักประพันธ์เพลงผู้วางรากฐาน Cantopop ให้กับความทรงจำของผู้ชมทั้งรุ่นเก่าและใหม่


เซียวจ้าน รับบท ก๊วยเจ๋ง มังกรหยก ค.ศ.2025


ด้านการแสดงของนักแสดงรุ่นใหม่ เซียวจ้าน (肖战) ในบท ก๊วยเจ๋ง (郭靖) นับเป็นการพลิกความทรงจำจากบทบาทหนุ่มหล่อสำอางในผลงานก่อนหน้า สู่ภาพของวีรบุรุษหนุ่มผู้ซื่อสัตย์ มุ่งมั่น และยึดมั่นในคุณธรรมได้อย่างน่าประทับใจ เขาสามารถสื่อสารภาวะภายในของตัวละครได้อย่างตรงไปตรงมา โดยไม่ต้องพึ่งพาความหล่อเหลามากไปกว่าความจริงใจที่ส่งผ่านทางสายตา

ขณะที่ จวงต๋าเฟย (庄达菲) ในบท อึ้งย้ง (黄蓉) ก็ถ่ายทอดเสน่ห์แบบอาหมวยหัวแหลมอย่างมีชีวิตชีวา ทั้งยังเข้าบทกับเซียวจ้านได้อย่างกลมกลืน ส่วนนักแสดงอาวุโสมากฝีมืออย่าง เหลียงเจียฮุย (梁家辉) ในบท อาวเอี้ยงฮง (欧阳锋) ยังคงเสน่ห์ของตัวร้ายผู้มากบารมีได้อย่างสง่างาม และที่ได้รับการกล่าวขานอย่างมาก คือ จางเหวินซิน (张文欣) ในบท ฮว๋าเจิง (华筝) แม้จะเป็นนักแสดงหน้าใหม่ แต่กลับเติมชีวิตชีวาให้กับองค์หญิงแห่งมองโกลผู้นี้ได้อย่างมีมิติ เป็นองค์หญิงที่ไม่ได้มีเพียงภาพลักษณ์ของความอ่อนหวาน หากยังสะท้อนภาวะของหญิงสาวผู้ต้องแบกรับหน้าที่ทางการเมืองและหัวใจ


อึ้งย้ง และองค์หญิงฮว๋าเจิง


ในแง่องค์ประกอบด้านภาพ เทคนิค และการกำกับศิลป์ ล้วนแสดงให้เห็นถึงความพิถีพิถันตามมาตรฐานของ ฉีเคอะ (徐克) อย่างไม่ผิดหวังตลอดทั้งเรื่อง[42]

ตลอดเวลาแห่งการรับชม ท่วงทำนองของบทเพลง ‘鐵血丹心’[43] (เลือดเหล็ก ใจสัตย์) ประพันธ์ทำนองโดยกู้เจียฮุย[44] ได้ปรากฏแทรกตัวขึ้นเป็นระยะๆ เพลงนี้เคยใช้ประกอบละครโทรทัศน์มังกรหยก ฉบับ พ.ศ.2526 ที่ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่าเป็นผลงานระดับขึ้นหิ้ง ครั้นภาพยนตร์ดำเนินเรื่องมาถึงตอนจบ เสียงอันเร้าใจของบทเพลง ‘世間始終你好’[45] (ในโลกนี้ ท้ายสุดเธอดีที่สุด) จากผู้ประพันธ์คนเดียวกันก็ได้ดังขึ้น ด้วยจังหวะกังฟูแบบจีนที่เข้มข้นและเปี่ยมพลัง เสียงของเครื่องเป่าและเครื่องสายจีนโบราณประสานกันอย่างเร้าใจ เป็นการปิดฉากที่มิใช่เพียงประกอบเรื่อง หากยังสะท้อนบทสรุปทางอารมณ์ที่ชัดเจนและงดงาม ทั้งในแง่ของความทรงจำ ความรัก และการอำลา


มังกรหยกฉบับ พ.ศ.2526 โดย ทีวีบี นำแสดงโดย องเหม่ยหลิง (อึ้งย้ง) และ หวงเย่อหัว (ก๊วยเจ๋ง)


บทเพลงทั้งสองจึงมิได้มีบทบาทเพียงในเชิงศิลป์ หากแต่ทำหน้าที่ในฐานะสื่อกลางที่เชื่อมโยงผู้ชมสมัยใหม่ให้หวนคืนสู่ยุคทองของวัฒนธรรมฮ่องกงอย่างแนบเนียน อีกทั้งยังส่งผ่านความรู้สึกนึกคิด ความผูกพัน และคุณค่าทางวรรณศิลป์ให้สืบเนื่องต่อไป

เพลงจบแล้ว ภาพจางแล้ว แต่สิ่งที่ยังคงอยู่ คือประตูที่เปิดกว้างสู่โลกของวรรณกรรมจีน ที่ครั้งหนึ่งได้ก้าวเข้าสู่สังคมไทยอย่างลุ่มลึกและทรงพลัง จนกลายเป็นมรดกทางวัฒนธรรมข้ามพรมแดนซึ่งยากจะลบเลือน


ฉากก๊วยเจ๋งแบกอึ้งย้ง บนหน้าปกของ จำลอง พิศนาคะ เทียบกับ มังกรหยกฉบับฉีเคอะ



[1] ถาวร สิกขโกศล, สกัดจุด ยุทธจักรมังกรหยก, พิมพ์ครั้งที่ 4, (สร้างสรรค์บุ๊คส์), น.3.

[2] [ซับไทย] ตัวอย่างภาพยนตร์​ “มังกรหยก 2025” Legends​ of​ the Condor Heroes: The Gallants (3) ดู https://www.youtube.com/watch?v=7zI4EjAJ6dE

[3] อังคาร จันทร์เมือง, นิยายกำลังภายในในประเทศไทย, สารนิพนธ์หลักสูตรปริญญาวารสารศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาหนังสือพิมพ์และสิ่งพิมพ์ คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ.2549, น.30.

[4] เสถียร จันทิมาธร, ชุมนุมมังกรซ่อนพยัคฆ์, พ.ศ.2530, (มติชน), น.8-9.

[5] อังคาร จันทร์เมือง, นิยายกำลังภายในในประเทศไทย, สารนิพนธ์หลักสูตรปริญญาวารสารศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาหนังสือพิมพ์และสิ่งพิมพ์ คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ.2549, น.15.

[6] อังคาร จันทร์เมือง, นิยายกำลังภายในในประเทศไทย, สารนิพนธ์หลักสูตรปริญญาวารสารศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาหนังสือพิมพ์และสิ่งพิมพ์ คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ.2549, น.18.

[7] นริศ จรัสจรรยาวงศ์, หนังสือสามก๊ก ยุค ‘คนะราสดร’ ดู https://www.the101.world/romance-of-the-three-kingdoms-in-thailand/

[8] ประสิทธ์ ฉกาจธรรม บรรณาธิการ, 60 ปี น.นพรัตน์ เจิดจรัสรัศมีมิเสื่อมคลาย, พ.ศ.2553, (บุ๊คสไมล์), น.64-67.

[9] น.นพรัตน์ ให้สัมภาษณ์ว่า ช่วงเวลา พ.ศ.2537 ไม่ค่อยมีงาน เลยสามารถแปลมังกรหยกได้ทั้ง 3 ภาคอย่างพิถีพิถัน ดู 60 ปี น.นพรัตน์ น. 91 กระนั้น ในหน้าเดียวกันก็ว่า ขณะแปลเรื่อง “แปดเทพอสูรมังกรฟ้า” ลงในหนังสือพิมพ์สยามกีฬา ต้นปี พ.ศ.2533 คนก็ยังติดกันงอมแงม.

[10] ประสิทธ์ ฉกาจธรรม บรรณาธิการ, 60 ปี น.นพรัตน์ เจิดจรัสรัศมีมิเสื่อมคลาย, พ.ศ.2553, (บุ๊คสไมล์), น.74-75.

[11] James J.W. Liu, Chinese Knight-Errant, 1967, The University of Chicago Press.

[12] ถาวร สิกขโกศล, สกัดจุด ยุทธจักรมังกรหยก, พิมพ์ครั้งที่ 4, (สร้างสรรค์บุ๊คส์), น.94.

[13] ในงานวิจัยของอังคารระบุว่า “ประมาณ พ.ศ.2499” ซึ่งนับว่าคลาดเคลื่อน เพราะกิมย้งประพันธ์เรื่องนี้ในปี พ.ศ.2500 เนื่องจากผู้เขียนยังไม่เคยเห็นตัวเล่มจริง จึงยังไม่อาจประเมินได้ในขณะนี้ ดู น.32 ของสารนิพนธ์ของเขา.

[14] ประสิทธ์ ฉกาจธรรม บรรณาธิการ, 60 ปี น.นพรัตน์ เจิดจรัสรัศมีมิเสื่อมคลาย, พ.ศ.2553, (บุ๊คสไมล์), น.52.

[15] ถาวร สิกขโกศล, สกัดจุด ยุทธจักรมังกรหยก, พิมพ์ครั้งที่ 4, (สร้างสรรค์บุ๊คส์), น.2.

[16] ดูรายชื่อใน อังคาร จันทร์เมือง, นิยายกำลังภายในในประเทศไทย, สารนิพนธ์หลักสูตรปริญญาวารสารศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาหนังสือพิมพ์และสิ่งพิมพ์ คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ.2549, น.30.

[17] น.นพรัตน์ เอ่ยถึงท่านนี้ว่า ไม่เชื่อคำแนะนำของ ว.ณ.เมืองลุง ดู น.82-83 หนังสือ 60 ปี น.นพรัตน์.

[18] น.นพรัตน์ ให้สัมภาษณ์ว่า เป็นตำรวจสันติบาล แต่ภาษาจีนไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่ ดู น.83 หนังสือ 60 ปี น.นพรัตน์.

[19] ถาวร สิกขโกศล, สกัดจุด ยุทธจักรมังกรหยก, พิมพ์ครั้งที่ 4, (สร้างสรรค์บุ๊คส์), น.97.

[20] อังคาร จันทร์เมือง, นิยายกำลังภายในในประเทศไทย, สารนิพนธ์หลักสูตรปริญญาวารสารศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาหนังสือพิมพ์และสิ่งพิมพ์ คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ.2549, น.51.

[21] รู้จัก จำลอง พิศนาคะ ดู https://www.sangsanbooks.com/content/6176/รู้จัก-จำลอง-พิศนาคะ

[22] The Legend of the Condor Heroes ดู https://en.wikipedia.org/wiki/The_Legend_of_the_Condor_Heroes

[23] เล่มแรก พิมพ์โดยสำนักพิมพ์เพลินจิตต์ ระบุ เดือนกันยายน พ.ศ.2502

[24] ซึ่งก็คือ ภาค 3 และ ภาค 4 ในฉบับแปลไทย ดู ถาวร สิกขโกศล, สกัดจุด ยุทธจักรมังกรหยก, พิมพ์ครั้งที่ 4, (สร้างสรรค์บุ๊คส์), น.2.

[25] ถาวร สิกขโกศล, สกัดจุด ยุทธจักรมังกรหยก, พิมพ์ครั้งที่ 4, (สร้างสรรค์บุ๊คส์), น.96.

[26] Heidi Hsia , John Woo thankful to Tsui Hark for his success  ดู https://sg.style.yahoo.com/john-woo-thankful-tsui-hark-032200100.html

[27] Swordsman II ดู https://en.wikipedia.org/wiki/Swordsman_II

[28] 押沙龙:为什么金庸讨厌林青霞版的东方不败?ดู https://yashalong.blog.caixin.com/archives/241178

[29] https://www.cbc.ca/news/canada/british-columbia/joseph-koo-dead-cantopop-1.6703637

[30] 顧嘉煇《香港百人》94 | Hong Kong 100 VIPs | ATV ดู https://www.youtube.com/watch?v=FsQaC2drIF8

[31] 黃霑, James Wong Jim  ดู https://www.youtube.com/watch?v=v8_QiDoTsYM (นาทีที่ 19.50)

[32] Run Run Shaw ดู https://en.wikipedia.org/wiki/Run_Run_Shaw

[33] 啼笑因緣 1974 (70s電視真開放:大帥玩SM 辛苦司棋姐) 詞葉紹德 曲顧嘉煇 唱仙杜拉 ดู https://www.youtube.com/watch?v=THWBbsirZuo

[34] Yiu-Wai Chu, Hong Kong Cantopop A Concise History, 2017,Hong Kong University Press, P.21-22.

[35] 射鵰英雄傳 1983 甄妮,羅文 合唱特輯(内附歌詞)鐵血丹心;一生有意義;世間始終你好;桃花開 ดู https://www.youtube.com/watch?v=dPVLJ9t1WsQ

[36] 张国荣—当年情MV ดู https://www.youtube.com/watch?v=SP5mykR20Ng

[37] 1980版”上海滩”主题曲原声版 ดู https://www.youtube.com/watch?v=4tNg5N6hi1k

[38] 沧海一声笑 – 许冠杰 笑傲江湖主题歌 粤语 高清 ดู https://www.youtube.com/watch?v=QQ0X0jWrp24

[39] Wong Jum Sum黃霑 , The Rise and Decline of Cantopop : A Study of Hong Kong Popular Music ( 1949-1997), the degree of Doctor of Philosophy at the University of Hong Kong in May 2003 (in Chinese).

[40] Joanna Ching-Yun Lee, Cantopop Songs on Emigration from Hong Kong, Yearbook for Traditional Music, Vol.24 (1992), pp. 14-23.

[41] Man Oi Kuen, Ivy, Cantonese Popular Song in Hong Kong in the 1970s: An Examination of Musical Content and Social Context in Selected Case Studies, M.Phil. Thesis, The University of Hong Kong December 1998.

[42] ดูรายการสัมภาษณ์ ผู้กำกับ และ นักแสดงสำคัญในเรื่อง จากรายการนี้ 《射雕英雄传:侠之大者》新春拜年会 ดู https://www.youtube.com/watch?v=2aumtAO4uXk

[43] 射鵰英雄傳 – 重溫《鐵血丹心》片頭 ดู https://www.youtube.com/watch?v=5QDjUvbXkoo

[44] 港樂 • 講樂:第十七集:紀念顧嘉煇 https://www.youtube.com/watch?v=kYP1icU00n0

[45] 世间始终你好 射雕英雄传之华山论剑 83版片头(原版)ดู https://www.youtube.com/watch?v=-K3uwRtE4PY

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

4 Aug 2020

การสืบราชสันตติวงศ์โดยราชสกุล “มหิดล”

กษิดิศ อนันทนาธร เขียนถึงเรื่องราวการขึ้นครองราชสมบัติของกษัตริย์ราชสกุล “มหิดล” ซึ่งมีบทบาทในฐานะผู้สืบราชสันตติวงศ์ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร 2475

กษิดิศ อนันทนาธร

4 Aug 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save