fbpx

เปลี่ยนการเรียนการสอบนิติศาสตร์ ด้วยกระดาษ A4 หนึ่งใบ

ทุกครั้งที่ต้องมีการประเมินวัดความรู้ความสามารถของนักเรียนกฎหมายโดยเฉพาะในระดับปริญญาตรี หากเป็นกรณีที่เป็นห้องเรียนขนาดเล็ก ผมก็สามารถออกแบบการประเมินได้หลากหลายเพื่อประเมินถึงความรู้ของผู้เรียนในวิชานั้นๆ แต่ก็มีหลายวิชาที่รับผิดชอบซึ่งเป็นห้องเรียนขนาดใหญ่และมีผู้เรียนในระดับหลักร้อย ซึ่งการทดสอบก็จำเป็นต้องใช้วิธีการสอบในห้องเรียนเป็นหลัก

ในอดีตที่ผ่านมา ผมเคยใช้ทั้งวิธีแบบที่ตัวเองมีประสบการณ์มาก็คือ การห้ามนำเอกสารใดๆ เข้าห้องสอบ นักศึกษาต้องอ่านและจดจำข้อมูลทั้งหมดมาสำหรับการสอบ หรือในบางวิชาก็เปิดโอกาสให้นักศึกษาสามารถนำเอกสารทุกชนิดเข้าห้องสอบได้ (หรือที่เรียกกันว่า open book exam)

แต่ในระยะหลัง โดยเฉพาะก่อนสถานการณ์โควิดเมื่อสามสี่ปีก่อน ผมได้ทดลองใช้อีกหนึ่งวิธี ด้วยการแจกกระดาษขาว A4 ให้คนละหนึ่งใบ ซึ่งเป็นกระดาษที่จะนำเข้าไปในห้องสอบได้ นักศึกษาสามารถเขียนทุกสิ่งที่คิดว่าจำเป็นและเป็นประโยชน์ลงไปในกระดาษ จะเป็นตัวบทกฎหมาย คำพิพากษา คำอธิบาย สรุปย่อ หรืออะไรก็ได้ จะไม่มีตรวจสอบกระดาษใบนี้แต่อย่างใด

อะไรคือเหตุผลที่ทำให้ผมทดลองการสอบพร้อมกับกระดาษ A4 หนึ่งใบ

การประเมินวัดความรู้ซึ่งเป็นที่นิยมกันในโรงเรียนกฎหมายในสังคมไทย จะเป็นรูปแบบการวัดผลด้วยการสอบในรูปแบบที่นักเรียนต้องเดินตัวเปล่าเข้าไปในห้องสอบพร้อมกับอุปกรณ์การเขียนเท่านั้น นักเรียนก็จะต้องอ่านและจดจำข้อมูลอันมีอยู่อย่างมหาศาลทั้งหมดเข้าไปในหัวสมองของตน เนื่องจากรูปแบบการเรียนกฎหมายที่ต้องผูกอยู่กับตัวบทกฎหมายและคำพิพากษาที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก จึงทำให้ข้อมูลเหล่านี้เป็นภาระพื้นฐานหากต้องการสอบผ่านในวิชานั้นๆ

การอ่านหนังสือสำหรับเตรียมสอบของนักเรียนกฎหมายจึงมักเป็น ‘การท่องหนังสือ’ เพื่อให้สามารถจดจำได้เป็นหลัก

หากพิจารณาจากพฤติกรรมทางสติปัญญาตามแนวทางของ Bloom’s taxonomy[1] ที่จำแนกความสามารถทางด้านปัญญาออกเป็น 6 ระดับ คือ การจำ (remembering), การเข้าใจ (understanding), การประยุกต์ใช้ (applying), การวิเคราะห์ (analyzing), การประเมินผล (evaluating) และการสร้างสรรค์ (creating) การจำจะถือเป็นความสามารถทางด้านสติปัญญาในระดับต้น การสร้างสรรค์จะถูกอธิบายว่าเป็นระดับสูงสุดของการเรียนรู้ที่ทำให้บุคคลสามารถสังเคราะห์และนำไปสู่การสร้างความรู้ใหม่ให้เกิดขึ้น  

เท่าที่มีประสบการณ์จากการเรียนและการประเมินข้อสอบจำนวนหนึ่ง ผมพบว่าการออกข้อสอบของผู้สอนส่วนใหญ่ก็มักจะเน้นไปที่การทดสอบความรู้ในระดับการจดจำและความเข้าใจ คำตอบของผู้เรียนที่จะได้คะแนนเป็นอย่างดีคือ สามารถแสดงถึงความสามารถในการจดจำหรือการใช้ความรู้ผ่านข้อมูลที่จดจำมา หรือพูดอีกแบบก็คือจำขี้ปากของผู้สอนมาตอบเป็นสำคัญ

ตัวอย่างข้อสอบแบบพื้นๆ ที่มักจะพบเห็นก็มักจะปรากฏออกมา เช่น โมฆะ-โมฆียะคืออะไร, ระบบรัฐสภามีองค์ประกอบสำคัญอย่างไร, เจตนาทางอาญามีองค์ประกอบอะไรบ้าง (คำถามเช่นนี้อาจคล้ายคลึงการถามในทางประวัติศาสตร์ว่าอยุธยาแพ้แก่พม่าเมื่อ พ.ศ. อะไร) หรือแม้ในบางครั้งอาจเป็นข้อสอบที่ใกล้เคียงกับการประยุกต์ใช้ ดังการออกข้อสอบด้วยการยกตัวอย่างขึ้นมาแล้วให้นักศึกษาปรับใช้ตัวบทกฎหมาย แต่ก็จะมี ‘ธง’ คำตอบที่เป็นไปตามคำอธิบายของผู้สอน ตำรา หรือคำพิพากษา มากกว่าการพิจารณาที่เหตุผลของผู้ตอบเอง

นักเรียนกฎหมายมักจะภาคภูมิใจกับความสามารถในการจดจำ และอาจรวมไปถึงแวดวงที่ถูกนับว่าเป็นสถาบันกฎหมายชั้นนำในสังคมไทยด้วย ดังการกล่าวชื่นชมถึงประธานศาลฎีกาบางคนว่าเปรียบเสมือน ‘ตู้ฎีกาเคลื่อนที่’ ก็แสดงให้เห็นอย่างประจักษ์

ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าข้อมูลจากความจำนั้นมีความหมายต่อการวิเคราะห์ การประเมินผลหรือการสร้างสรรค์ความรู้ในทิศทางใหม่ๆ อย่างแน่นอน แต่การจำกัดการศึกษานิติศาสตร์ให้อยู่เพียงแค่ระดับความจำนั้นเป็นสิ่งที่เป็นปัญหาอย่างมาก

เช่น ถ้าถามนักเรียนกฎหมายว่าบรรลุนิติภาวะอายุเท่าไหร่ ประชาชนมีสิทธิเลือกตั้งอายุเท่าไหร่ เชื่อว่าส่วนใหญ่ก็ล้วนแต่ตอบได้ทั้งสิ้น แต่จะเงียบงันเมื่อถามต่อไปว่าทำไมการตัดสินใจในเรื่องส่วนตัวใช้อายุ 20 ปี แต่ตัดสินใจประเทศชาติใช้ 18 ปี ทั้งที่เรื่องประเทศชาติมีความสำคัญที่ควรต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจไม่น้อยกว่าเรื่องส่วนตัวมิใช่หรือ

ที่กล่าวว่าการมุ่งเฉพาะความจำในการศึกษานิติศาสตร์เป็นปัญหาอย่างมาก ก็เพราะว่านี่เป็นสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับโลกของความเป็นจริง ไม่ว่าจะในด้านของการทำงานหรือในชีวิตประจำวันทั่วไป เมื่อเวลาที่นักกฎหมายต้องทำงานไม่ว่าจะในฐานะใด ไม่มีใครท่องตัวบทกฎหมายมาสาดใส่กัน นึกถึงการพิจารณาคดีในศาลก็เห็นภาพที่ชัดเจน อัยการไม่ได้มาตัวเปล่า ทนายก็ไม่ได้มาตัวเปล่า คนตัดสินก็ไม่ได้มาตัวเปล่า ทั้งหมดล้วนแต่ต้องใช้ข้อมูลและเอกสารจำนวนมากทั้งสิ้น หรือในโลกสมัยใหม่ เมื่อเราอยากได้ข้อมูลในเรื่องใดก็เพียงแต่ค้นหาในอินเทอร์เน็ตก็จะมีข้อมูลหลั่งไหลออกมาจนอ่านไม่หวาดไม่ไหว

ไม่ต้องพูดถึงการพยายามประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการเข้ามาทำหน้าที่ตัดสินข้อพิพาทที่กำลังมีการทดลองกันในหลายแห่ง ซึ่งมีความเป็นไปได้ในอนาคตอันไม่ไกล แค่ Chatbot ที่มีอยู่ก็ทำให้โลกของการศึกษาที่เน้นความจำแทบพังพินาศลงไปเลย

สิ่งที่จะมีสำคัญต่อการจัดการข้อมูลข่าวสารก็คือ พฤติกรรมทางด้านปัญญาในการประยุกต์ วิเคราะห์ ประเมินผล หรือสร้างสรรค์สิ่งใหม่ นักเรียนกฎหมายจึงต้องถูกฝึกให้มีทักษะในแง่มุมเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น

แทนที่จะปล่อยให้หมกหมุ่นกับการท่องจำ ผมพบว่าเมื่อนักเรียนกฎหมายได้รับกระดาษ A4 ก่อนจะจดข้อมูลและเนื้อหาลงไป ส่วนใหญ่ได้ผ่านการอ่าน การประเมิน และตัดสินใจว่าเนื้อหาส่วนใดมีความสำคัญ ส่วนใดควรถูกเขียนในกระดาษ และก็จะถูกเขียนในลักษณะที่สามารถไปใช้เป็นประโยชน์ในการตอบคำถาม กรณีเช่นนี้จึงอาจต่างจากการสอบแบบ open book ที่ผู้เรียนจำนวนหนึ่งจะนำหนังสือเข้าห้องสอบแล้วมาเปิดหาคำตอบว่าอยู่ส่วนไหนของหนังสือและทำการคัดลอกลงในกระดาษคำตอบ

(กล่าวเช่นนี้คงไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นทั้งหมดร้อยเปอร์เซ็นต์สำหรับการแจก A4 มีจำนวนหนึ่งก็ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการคัดลอกสิ่งที่คิดว่าจะไปตอบในห้องสอบ)

เช่นเดียวกับผู้สอน หากอนุญาตให้มีการแจกกระดาษ A4 ให้กับผู้เข้าสอบ หากผู้สอนออกข้อสอบในลักษณะของการทดสอบความจำก็จะเผชิญปัญหาอย่างแน่นอน เพราะนักเรียนกฎหมายย่อมจดเอาข้อมูลต่างๆ ที่คิดว่ามีความสำคัญ เมื่อเป็นคำถามในลักษณะของความจำ นักเรียนก็เพียงแต่ลอกเอาสิ่งที่ตนเองจดมา แต่ถ้าหากเป็นคำถามที่เขยิบมากไปกว่าความจำ ข้อมูลที่ถูกจดมาจะเป็นเพียงฐานเพื่อให้นักเรียนได้ใช้สติปัญญาของตนเองในการตอบมากยิ่งขึ้น

ผมก็คงไม่ตั้งคำถามว่า “โมฆะคืออะไร” หรือ “การดื้อแพ่งต่อกฎหมายคืออะไร มีองค์ประกอบที่สำคัญอย่างไรบ้าง” แต่อาจเปลี่ยนคำถามเป็นว่า “มีเหตุในลักษณะใดอีกบ้างที่ควรทำให้สัญญาตกเป็นโมฆะ” หรืออาจเป็น “นักศึกษาจะสามารถออกแบบระบบกฎหมายเพื่อรองรับการดื้อแพ่งต่อกฎหมายได้หรือไม่ อย่างไร”  

ความสามารถทางด้านปัญญาจะเป็นสิ่งที่มีความสำคัญในยุคสมัยที่เทคโนโลยีสามารถจัดการกับข้อมูลได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ความจำของมนุษย์จะพัฒนาอย่างไรก็ไม่มีวันเทียบเท่ากับความจำของระบบดิจิทัลได้ การเรียนการสอนทางนิติศาสตร์จำเป็นต้องตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ จะรับมือกับยุคสมัยนี้อย่างไรเป็นเรื่องที่ต้องขบคิดเป็นอย่างมาก เราคงไม่อาจใช้ระบบการศึกษาที่มุ่งเน้นการท่องจำเป็นหลักแบบที่เคยเป็นมา หากต้องพยายามสร้างเสริมความสามารถทางปัญญาที่กว้างขวางและลึกซึ้งเพิ่มมากขึ้น

ส่วนจะต้องทำอะไร และทำอย่างไรบ้าง การสอบพร้อมกระดาษ A4 หนึ่งใบคงเป็นหนึ่งในความพยายามที่หวังว่าน่าจะมีประโยชน์อยู่บ้าง


[1] สำหรับผู้ที่สนใจเกี่ยวกับการประเมินวัดพฤติกรรมด้านสติปัญญาที่เรียกว่า Bloom’s taxonomy สามารถหาอ่านได้ในเอกสารที่มีการเผยแพร่อย่างกว้างขวาง แน่นอนว่าอาจมีข้อวิจารณ์ต่อการจัดแบ่งระดับดังกล่าวได้ แต่การจำแนกพฤติกรรมทางปัญญาแต่ละประเภทก็สามารถทำให้เรามองเห็นลักษณะของความรู้ได้เป็นระบบมากขึ้น

MOST READ

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

Social Issues

21 Nov 2018

เมื่อโรคซึมเศร้าทำให้อยากจากไป

เรื่องราวการรับมือกับความคิด ‘อยากตาย’ ผ่านประสบการณ์ของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า คนเคียงข้าง และบทความจากจิตแพทย์

ศุภาวรรณ คงสุวรรณ์

21 Nov 2018

Politics

31 Jul 2018

30 ปี การสิ้นสุดของระบอบเปรมาธิปไตย (1) : ความเป็นมา อภิมหาเรื่องเล่า และนักการเมืองชื่อเปรม

ธนาพล อิ๋วสกุล ย้อนสำรวจระบอบเปรมาธิปไตยและปัจจัยสำคัญเบื้องหลัง รวมทั้งถอดรื้ออภิมหาเรื่องเล่าของนายกฯ เปรม เพื่อรู้จัก “นักการเมืองชื่อเปรม” ให้มากขึ้น

ธนาพล อิ๋วสกุล

31 Jul 2018

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save