ระเบิดเวลา ‘Learning Loss’ เปิดงานวิจัย-หาทางออกวิกฤตเด็กไทยกับภาวะการเรียนรู้ถดถอย

“เขาเป็นเจเนอเรชันที่อยู่ในภาวะโควิด-19 มา 3 ปี ถ้าเราไม่ฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้นี้ เด็กก็จะสูญเสียการเรียนรู้นี้ไปเลย ประเทศชาติก็จะสูญเสียเช่นกัน”

ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าวถึงความสำคัญของโครงการพัฒนาระบบฐานข้อมูลแบบออนไลน์และการขยายผลการสํารวจสถานะความพร้อมในการเข้าสู่ระบบการศึกษาของเด็กปฐมวัย ซึ่งเป็นการศึกษาเกี่ยวกับความพร้อมในการเข้าสู่การเรียนภาคบังคับของเด็กปฐมวัย หรือ ‘school readiness’ ซึ่งเป็นการวิจัยที่เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2558 ซึ่ง กสศ. ร่วมกับสถาบันวิจัยเพื่อการประเมินและออกแบบนโยบาย (RIPED) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย โดยหวังจะสร้างเครื่องมือของประเทศที่มีการเก็บข้อมูลลงลึกรายบุคคลและนำเสนอออกมาเป็นรายจังหวัด ในการเฝ้าระวังสถานการณ์ของประชากรกลุ่มสำคัญคือ เด็กปฐมวัย ที่มีอายุช่วง 3-5 ปี ซึ่งมีเด็กจำนวนมากที่อยู่นอกระบบการศึกษาเพราะต้องติดตามพ่อแม่ไปทำมาหากิน ทำให้เด็กกลุ่มนี้ไม่มีโอกาสเข้าเรียนในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กหรือโรงเรียนอนุบาล กสศ. จึงติดตามวิจัยต่อว่าเด็กปฐมวัยทั่วประเทศมีความพร้อมในการเข้าสู่การศึกษาภาคบังคับเพียงไร

ในช่วงที่เก็บข้อมูลนี้เองก็เกิดการระบาดของโควิด-19 ทำให้โรงเรียนปิดและมีการหยุดเรียนจนสร้างผลกระทบต่อการเรียนรู้ของเด็กจนนำมาสู่ ‘ภาวะถดถอยทางการเรียนรู้’ หรือ ‘learning loss’ อันทำให้ช่องว่างของความเหลื่อมล้ำทางด้านการศึกษาขยายกว้างมากขึ้น และหากไม่ทำอะไรเด็กรุ่นนี้จะกลายเป็น ‘lost generation’

ในวันนี้สิ่งสำคัญคือกระบวนการที่จะนำเด็กปฐมวัยเข้าสู่ภาวะปกติของการเรียนรู้ คือ ‘learning recovery’ หรือ ‘การฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้’ ซึ่งเป็นกระบวนการที่สำคัญมาก เพราะหากเด็กปฐมวัยได้รับการฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ เด็กเหล่านี้ก็จะกลับสู่ภาวะปกติและเดินเข้าสู่เส้นทางของระบบการศึกษา จนเติบโตเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีศักยภาพสูงได้

ดังนั้น โจทย์สำคัญต่อไปของสังคมไทยคือ ในภาวะที่ประเทศก้าวออกจากช่วงที่แย่ที่สุดของโควิด-19 มาแล้ว แต่สำหรับเด็กปฐมวัย การก้าวออกจาก learning loss เข้าสู่ learning recovery นั้นจะทำได้อย่างไร?

เปิดข้อมูลเชิงประจักษ์

เด็กไทยกับวิกฤต ‘ภาวะถดถอยทางการเรียนรู้’

รศ.ดร.วีระชาติ กิเลนทอง ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเพื่อการประเมินและออกแบบนโยบาย (RIPED) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เรียกข้อมูลชุดนี้ว่า school readiness หรือความพร้อมของการเข้าสู่ระบบการศึกษาของเด็กปฐมวัย ซึ่งเป็นการวัดทักษะพื้นฐานที่จำเป็นและสำคัญในการนำไปต่อยอดในระดับ ป.1 โดยมีการทำแบบทดสอบกับเด็กอนุบาล 3 ทั่วประเทศในหลากหลายรูปแบบ จนเป็นที่มาของหลักฐานเชิงประจักษ์เรื่อง learning loss ในช่วงโควิดที่เกิดในช่วงการเก็บข้อมูลพอดี

วีระชาติเล่าว่า หนึ่งในแบบทดสอบคือการนำเลข 0-9 ให้เด็กดูและผลปรากฏว่ามีเด็กจำนวนไม่น้อยที่รู้จักตัวเลขไม่ครบ บางจังหวัดมีมากถึงครึ่งหนึ่งและบางจังหวัดมีกว่า 30%

“พูดง่ายๆ ว่าหากเดินสุ่มเข้าไปในโรงเรียนธรรมดาแห่งหนึ่ง ในห้องอนุบาล 3 มีเด็กอยู่ 10 คน จะมีเด็กประมาณ 3 คนที่รู้จักตัวเลขตั้งแต่ 0-9 ไม่ครบ”

ขณะที่การทดสอบอีกอันที่น่าสนใจคือ มีการอ่านข้อความให้เด็กฟังหนึ่งย่อหน้าหรือประมาณสัก 4-5 นาที และให้เด็กตอบคำถามง่ายๆ 5 ข้อ ผลพบว่ามีเด็กจำนวนไม่น้อยที่ตอบคำถามได้แค่ข้อเดียวหรือตอบไม่ได้เลย

อย่างไรก็ตาม school readiness นั้นต้องทดสอบในหลายด้านทั้งคณิตศาสตร์ ภาษา ฯลฯ จึงมีการนำทุกด้านมารวมกันแล้วทำเป็นค่าเฉลี่ยโดยให้คะแนนเต็ม 100 ซึ่งพบข้อมูลอย่างชัดเจนว่า ค่าเฉลี่ยของคะแนนเด็กก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 มีทั้งจังหวัดที่ได้คะแนนระดับแย่และมีจังหวัดที่ได้คะแนนระดับดี แต่เมื่อมาดูผลคะแนนในช่วงการแพร่ระบาดหนักๆ ทุกจังหวัดจะเป็นสีแดงหรืออยู่ในระดับที่แย่เกือบทั้งหมด

วีระชาติกล่าวว่า การทำแบบทดสอบวัดผลนั้นเป็นการทำข้อสอบอันเดียวกันทุกคนแค่ทำกันคนละปี ดังนั้นจึงเห็นผลชัดเจนในภาพรวมว่าเด็กมีความพร้อมลดลง จึงเป็นบททดสอบที่ท้าทายให้ผู้เกี่ยวข้องต้องทำงานหนักยิ่งขึ้นเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาเพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัย

“ข้อมูลอีกชุดหนึ่งเป็นข้อมูลเชิงลึกแต่ขนาดกลุ่มที่ศึกษาจะเล็กกว่า ผมตามเด็กคนเดิม 1,000 กว่าคน เก็บข้อมูลมาเรื่อยๆ กว่า 6 ปี เวลาในการทำการบ้านของเด็กก่อนเกิดโควิด-19 เขาจะทำการบ้านมากขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุ แต่พอเกิดโควิด-19 แม้ในช่วงอายุเดียวกันปรากฏว่าทำการบ้านน้อยลง”

ดังนั้นแล้วไม่ว่าจะดูข้อมูลจากภาพใหญ่หรือในภาพที่เล็กลงมาในระดับปัจเจกก็เกิดปัญหาเดียวกันคือ เด็กไม่สามารถเรียนรู้ด้วยตนเองตามที่เราคาดหวังเพื่อชดเชยการไม่ได้ไปเรียนในโรงเรียน เด็กไม่ได้อ่านหนังสือหรือทำการบ้านเพิ่มขึ้นแต่เล่นเกมมากขึ้น จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมถึงเกิด learning loss เมื่อการใช้เวลาของเด็กเปลี่ยนไปและขาดประสิทธิภาพ

การประเมิน school readiness นั้นมองจาก 3 มิติ คือ มิติด้านความพร้อมของโรงเรียน ด้านความพร้อมของตัวเด็กและด้านความพร้อมของที่บ้าน ดังนั้นคือสามประสาน แต่คำถามคือปัจจัยด้านใดที่มีผลมากที่สุด เพราะจะนำไปสู่การมีนโยบายที่แตกต่างกัน หากมองว่าเป็นเรื่องโรงเรียนก็ต้องไปยกระดับการเรียนรู้ ถ้าเป็นเรื่องทักษะของการเลี้ยงดูของผู้ปกครองก็ต้องหาวิธีไปแนะนำเขาว่ามีวิธีเลี้ยงดูที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างไร

ความพร้อมในวันนี้คือตัวกำหนด ‘อนาคต’ เด็กไทย

“เรื่องความพร้อมที่ผมพูดถึงก่อนหน้านี้หลายคนคงตั้งคำถามว่า แล้วจะนำไปสู่อะไร?”

วีระชาติเล่าว่าเขาใช้ข้อมูลแบบทดสอบทักษะด้านการอ่านของเด็ก ป.1 มาเชื่อมโยงกับข้อมูล school readiness ที่เก็บตอนเด็กเรียนอนุบาล 3 แล้วดูว่าเมื่อเด็กอยู่ชั้นอนุบาล 3 เขามีความพร้อมในระดับนี้ แล้วเมื่อโตมาขึ้น ป.1 เขาเรียนเป็นอย่างไร

คำถามจากข้อมูลชุดนี้ก็คือ เด็กที่มีความพร้อมมากกว่าตอนอนุบาล 3 จะมีคะแนนแบบทดสอบด้านการอ่านที่มากกว่าตอน ป.1 หรือไม่? ซึ่งผลปรากฏว่าเป็นจริงตามสมมติฐาน โดยพบว่าเด็กที่มี school readiness มากกว่าจะทำให้มีคะแนนทักษะด้านการอ่านสูงกว่า และไม่ใช่แค่ความพร้อมทางด้านการอ่านเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงความพร้อมด้านคณิตศาสตร์ด้วย ซึ่งปรากฏว่าโดยผลทางด้านคณิตศาสตร์เยอะกว่าด้านการอ่านเพราะความพร้อมด้านคณิตศาสตร์คือทักษะการคิด ซึ่งหากเด็กสามารถคิดได้เยอะแค่ไหน เขาก็จะสามารถคิดวิเคราะห์ได้เยอะขึ้นในการเรียนชั้นที่สูงขึ้น หรือแม้แต่การอ่านเองก็ต้องการการคิดวิเคราะห์ด้วย

“เมื่อเราพบว่าเด็กเกิด learning loss ยิ่งทำให้เราต้องกังวลมากขึ้น เพราะว่าความพร้อมตอนปฐมวัยมีผลต่อการเรียนชั้นประถมฯ ของเด็ก เราต้องฟื้นฟูเขา ไม่เช่นนั้นจะมีผลต่อไปเมื่อเด็กเรียน ป.1 ต่อไปก็มีผลกับ ป.2 ภาษาวิชาการเรียกว่าเป็น dynamic complimentary มันเป็นพลวัตร เช่นที่ ศ.เจมส์ เจ เฮกแมน นักเศรษฐศาสตร์ มักใช้คำว่า ‘skills beget skills’ คือทักษะตอนเริ่มต่อทักษะอันใหม่ได้ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เราต้องสนใจปฐมวัยเพราะมันเป็นที่มาของทักษะในระดับที่สูงขึ้น” วีระชาติกล่าว

ด้าน ดร.สวัสดิ์ พุ่มทอง ที่ปรึกษาด้านการศึกษา สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) เห็นว่า ข้อมูล school readiness ที่มีการสำรวจมานี้ หากมีความสมบูรณ์แล้วนำมากำหนดนโยบายได้จริงจะเกิดประโยชน์มหาศาลเพราะการกำหนดนโยบายโดยใช้ข้อมูลเป็นฐานเพื่อหาทางออกจะทำให้สามารถดำเนินการได้อย่างยั่งยืน

Learning Loss สู่ Learning Recovery

ทางก้าวพ้น Lost Generation

ข้อเสนอที่ 1 : High Scope – กระบวนการพัฒนาครูปฐมวัย

วีระชาติพูดถึงการพัฒนาเด็กปฐมวัยที่เริ่มต้นด้วยการพัฒนาครูปฐมวัยด้วยการอบรมแบบเข้มข้นโดยหลักสูตรที่ชื่อว่า High Scope ซึ่งมีการทดลองใช้แล้วที่จังหวัดร้อยเอ็ด โดยแบ่งเด็กเป็นกลุ่มที่เรียนกับครูที่ไปอบรมและกลุ่มที่เรียนกับครูที่ไม่ได้ไปอบรม การทดสอบรูปแบบนี้จะทำให้เห็นถึงความพร้อมที่เปลี่ยนไปในแต่ละวันของเด็กรวมถึงประสิทธิภาพของการเรียนการสอนในแต่ละกลุ่มด้วย

ผลพบว่ากลุ่มที่ได้เรียนกับครูที่ผ่านการอบรมด้วยหลักสูตร High Scope นั้นมีประสิทธิภาพสูงขึ้นถึง 50% ซึ่งหากเด็กขาดความพร้อมไป 1 ปีเต็ม หมายความว่าต่อให้ใช้วิธีนี้ ก็ต้องหาทางชดเชยเด็กอย่างน้อย 2 ปีเพื่อให้เขากลับมา 100%

อย่างไรก็ตาม วีระชาติยอมรับว่านี่เป็นเพียงแนวทางหนึ่งแต่ไม่อาจแก้ไขได้ทั้งประเทศเนื่องจากทรัพยากรที่จะใช้ในการอบรมนั้นมีน้อย

“learning recovery ไม่ใช่การวิ่ง 100 เมตร ที่แก้กันปีนี้แล้วเด็กกลับมาที่เดิม แต่ learning recovery คือการวิ่งมาราธอนที่ต้องใช้เวลาในการแก้ปัญหา”


ข้อเสนอที่ 2 : สร้างการพัฒนาจาก Pre-Service Teacher สู่ In-Service Teacher

ผศ.ศิริวรรณ ฉัตรมณีรุ่งเจริญ คณบดีคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ตเล่าถึงสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้นในโรงเรียนที่มีระดับชั้นปฐมวัย ซึ่งคณะครุศาสตร์ได้มีโอกาสเข้าไปเป็นพี่เลี้ยงจัดการเรียนการสอนให้ครูในโรงเรียนที่ยังขาดความพร้อมทั้งเรื่องอุปกรณ์ องค์ความรู้และประสบการณ์

การทำงานนั้นแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือ การเข้าไปช่วยครูในโรงเรียนแบบฉับพลันในช่วงของสถานการณ์โควิด-19 โดยใช้โครงการโรงเรียนพัฒนาตนเอง TSQP (Teacher and School Quality Program) ซึ่งโรงเรียนในเครือข่ายนี้เป็นกำลังสำคัญมากในการพัฒนานวัตกรรมและแพลตฟอร์ม ทั้งเป็นเหมือนแหล่งเรียนรู้แม่ข่ายซึ่งจะคอยช่วยเหลือโรงเรียนอื่นๆ ที่ไม่มีความพร้อมหรือไม่เข้าใจการแปลงหลักสูตรเป็นการจัดการการเรียนการสอนที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ห้องเรียนในโรงเรียน แต่ทำให้ห้องเรียนคือบ้านและชุมชน การจัดการเรียนการสอนแบบนี้จึงเป็นความท้าทายของครูด้วย

ส่วนที่สองคือ แนวทางการผลิตครู ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาระยะยาว ภายใต้โครงการครูรักถิ่น ที่จะทำให้ครูสามารถจัดการเรียนการสอนยืดหยุ่นตามสถานการณ์ได้ เพราะโควิด-19 เป็นแค่สถานการณ์หนึ่งจากหลายสถานการณ์ในอนาคตที่จะทำให้การเรียนรู้ของเด็กหยุดชะงัก ดังนั้นการเตรียมครูไม่ว่าจะเป็นระบบการผลิตหรือการพัฒนาก็ตามต้องสร้างครูที่ยืดหยุ่น สามารถมองเห็นวิกฤตให้เป็นโอกาสและดึงสิ่งที่เขามีรอบตัวไปออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้  ทำให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ได้ ที่สำคัญต้องเป็นครูที่สื่อสารได้ ทำงานร่วมกับชุมชนและผู้ปกครองได้

“อีกด้านหนึ่งหากเรามองการผลิตและพัฒนาครูเป็นระบบใหญ่หนึ่งระบบ จะเห็นว่าการผลิตครูสามารถไปเกื้อหนุนและช่วยเหลือพัฒนาครูประจำการที่อยู่ในโรงเรียน โดยการจัดการเรียนการสอนที่อยู่ในการพัฒนานักศึกษาครู (pre-service teacher) สามารถสร้างนวัตกรรมและส่งต่อไปให้ครูประจำการ (in-service teacher) ที่อยู่ที่โรงเรียนเพื่อใช้นวัตกรรมเหล่านี้ไปเติมเต็มสิ่งที่นักเรียนขาดหายไป เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการที่จะช่วยเรื่องการฟื้นฟูการถดถอยทางการเรียนรู้ได้”

ศิริวรรณย้ำว่า นี่คือโจทย์ที่ทำให้ต้องหันกลับมามองว่า กระบวนการผลิตครูของครุศาสตร์หรือหลายๆ หน่วยงานในปัจจุบันมีการเพิ่มประเด็นในส่วนการผลิตครูเพื่อรองรับสถานการณ์เหล่านี้หรือไม่


หมายเหตุ – สรุปความจากงานแถลงข่าว พลังฐานข้อมูล เครื่องมือสร้างความเสมอภาคสู่สังคม ปิดทุก GAP “Learning Loss สู่ Learning Recovery” หยุดการสูญเสียเด็กทั้งรุ่น (Lost Generation) : ดึงพลังทุกฝ่ายร่วมฟื้นฟูการเรียนรู้ เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2565 จัดโดย กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.)


ผลงานชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือระหว่าง กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) และ The101.world

MOST READ

Social Issues

9 Oct 2023

เด็กจุฬาฯ รวยกว่าคนทั้งประเทศจริงไหม?

ร่วมหาคำตอบจากคำพูดที่ว่า “เด็กจุฬาฯ เป็นเด็กบ้านรวย” ผ่านแบบสำรวจฐานะทางเศรษฐกิจ สังคม และความเหลื่อมล้ำ ในนิสิตจุฬาฯ ปี 1 ปีการศึกษา 2566

เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล

9 Oct 2023

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

Education

20 Jul 2023

คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ในวิกฤต (?)

ข่าวการปรับหลักสูตรของอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ชวนให้คิดถึงอนาคตของการเรียนการสอนสายมนุษยศาสตร์ เมื่อตลาดแรงงานเรียกร้องทักษะสำหรับการทำงานจริง จนมีการลดความสำคัญวิชาพื้นฐานอันเป็นการฝึกฝนการวิเคราะห์วิพากษ์เพื่อทำความเข้าใจโลกอันซับซ้อน

เสียงเล็กๆ จากประชาคมอักษร

20 Jul 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save