fbpx

ชีวิตแรงงานก่อนฟ้าสางแห่งซอยกีบหมู: วันที่รุ่งอรุณยังไม่มาเยือน

ตีสี่นั้นมืดทึบ อากาศเย็นและแห้ง ลิบไกลจากปลายตามีเพียงแสงไฟนีออนแห้งแล้งจากมินิมาร์ตข้างถนนสุเหร่าคลองหนึ่ง ส่องสว่างพอเป็นหมุดหมายให้เห็นทิศเห็นทาง ใครสักคนฉวยกระเป๋าใบน้อย ทิ้งตัวลงนั่งตรงริมถนนหน้าร้านค้า แล้วใครอีกคนหนึ่ง -และอีกหลายต่อหลายคน- ก็ทยอยทอดตัวลงนั่งตาม

ฟ้ายังไม่สว่าง และจะไม่สว่างไปอีกกว่าชั่วโมงนับจากนาทีนี้ แต่คนเริ่มหลั่งไหลเข้ามาจับจองพื้นที่ว่าง เพื่อจะงีบหลับ เพื่อจะไถโทรศัพท์ หรือเพื่อจะเหม่อลอย

พวกเขาเป็นแรงงาน เป็นช่าง เป็นกรรมกร และเป็นทุกอย่างที่นายจ้างในแต่ละวันอยากให้เป็น เริ่มต้นเดิมพันกับชีวิตกันตอนตีสี่ของทุกวันว่าจะมีนายจ้างมอบหมายงานมาให้หรือไม่ หากว่ามีก็ขึ้นรถกระบะ ออกเดินทางไปปลายทางที่อาจเป็นไซต์ก่อสร้างสักแห่งในกรุงเทพฯ หรือจังหวัดใกล้เคียง แต่ถ้าไม่มี ก็อาจแค่ต้องรอต่อไปจนตะวันขึ้น และกับอีกหลายคน ก็อาจรอจนตะวันลับ เพื่อจะกลับบ้านมือเปล่าแล้วตื่นมาเดิมพันใหม่อีกรอบในตีสี่ของวันใหม่

กล่าวกันตามตรง ในฐานะมนุษย์รับเงินรายเดือน นี่ไม่ใช่หรือคือภาพฝันร้าย

แต่นี่คือชีวิตของเหล่ากรรมกรแห่งซอยกีบหมู กับค่าแรงรายวันที่อยู่ในระยะ 500-1,000 บาท ซึ่งไม่มีอะไรการันตีว่าจะได้แบบนี้ทุกวัน ภายใต้ภาวะโรคระบาดจากโควิด-19 ที่กินเวลามาสองปีกว่า รวมทั้งวิกฤตเศรษฐกิจที่สูงลิ่ว สวนทางกับค่าแรงที่ยังนิ่งอยู่เหมือนเมื่อหลายปีก่อน ยังไม่นับ ‘ค่าชีวิต’ ที่อาจจะถูกยิ่งกว่าเมื่อคำนึงถึงประกันภัยและสวัสดิการอันต่ำเตี้ยเรี่ยดินของแรงงานไทย

“แพงขึ้นทุกอย่าง ที่ยังถูกเหมือนเดิมคือค่าแรง” ใครบางคนบอกไว้เช่นนั้น และจริงอย่างว่าเมื่อได้สนทนากับพวกเขาในรุ่งเช้า ก่อนฟ้าสางของซอยกีบหมู

1

“แฟนซ้อม” คนพูดชี้ให้ดูรอยช้ำตรงเบ้าตาซ้าย รอยสีม่วงกินวงกว้างเกือบถึงช่วงขมับ “นอนๆ อยู่แล้วมันก็พุ่งเข้ามาเลย”

มนตรีตื่นตั้งแต่ตีสามเพื่อมานั่งรองานที่ซอยกีบหมูเช่นเดียวกับแรงงานคนอื่นๆ เขาทำความรู้จักกับวิถีชีวิตเช่นนี้ตั้งแต่ปี 2020 หรือหากจะกล่าวอย่างรวบรัด คือช่วงที่โควิด-19 แพร่ระบาดเป็นวงกว้างจนเขาต้องปิดกิจการส่วนตัวที่วังน้ำเย็น สระแก้ว -บ้านเกิด- แล้วมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ เพื่อหารายได้อื่นมาเลี้ยงชีพ

“เรามาหางานในซอยกีบหมูสักสองปีได้แล้ว ตั้งแต่ช่วงโควิดระบาดนั่นแหละ ตามญาติมาเพราะเมื่อสักสิบปีก่อนก็เคยมีญาติมาหางานทำแบบนี้เหมือนกัน” เขาเล่า ก่อนขยายความถึงขอบเขตงานที่ทำได้ ไม่ว่าจะปูกระเบื้อง แบกของ แลกเงินอย่างต่ำ 600 บาทต่อวัน “กรรมผู้หญิงได้ค่าแรง 500 บาท ผู้ชายได้ 600 บาท ถ้าเป็นช่างฉาบก็สัก 700 บาท หรือถ้าเป็นช่างเชื่อมก็ 800 บาทขึ้นไป บางคนได้วันละพันก็มีนะ

“ที่นี่เขามีงานให้ทำทุกอย่างเลย แต่ก็มีเหมือนกันที่บางวันเราไม่ได้งาน ยืนอย่างไรก็ไม่ได้ วันที่ไม่มีงานก็มายืนฟรีๆ เลย” เขาจบประโยคด้วยเสียงทอดถอนหายใจยาว “จริงๆ แล้วงานที่กีบหมูนี่ ถ้ารู้จักญาติหรือเพื่อนเยอะหน่อยก็ทำให้ได้งานเยอะขึ้นด้วยนะ เหมือนถ้าเพื่อนเขาได้งานบางทีก็พาเราไปด้วย หรือเราได้งาน เราก็พาเพื่อนไปด้วยเหมือนกัน”

“อย่างนั้นก็มีเพื่อนเยอะล่ะสิ” เราถาม มนตรีพยักหน้า แต่แล้วก็ขยายความ “แต่ก็มีนะ ที่บางวันก็ไม่ได้งานกันหมดเลย ยืนรอไปสิ ถึงเที่ยง ถึงบ่าย”

ใต้แสงนีออนหน้าห้าง ทำให้เห็นรอยช้ำสีม่วงวงใหญ่บนใบหน้านั้น และอาจจะเพราะเห็นนัยน์ตาของเราตวัดมองไปยังรอยช้ำนั้น หรืออาจจะเพราะอ่านคำถามในใจเราได้ มนตรีชี้ไปยังวงสีม่วงแล้วบอก “แฟนซ้อม นอนๆ อยู่แล้วมันก็พุ่งเข้ามาเลย”

“แล้วเป็นอะไรมากไหม” ได้ยินเสียงตัวเองถามกลับไปแบบนั้น

“เป็นสิ” เขาตอบไว “เห็นหมอว่ากระดูกร้าว ต้องไปเข้าอุโมงค์ในโรงพยาบาล เขาให้สแกนอะไรไม่รู้”

“แพงน่าดูเลย” ได้ยินเสียงตัวเองตอบกลับไปแบบนั้นเหมือนกัน

“เราใช้สิทธิสามสิบบาท” เขาตอบ “ตอนนั้นป่อเต็กตึ๊งมาช่วย ไปแจ้งตำรวจก็ไม่เห็นใครจะทำอะไร ก็ปล่อยมันไป” ท้ายประโยคแว่วเสียงปลดปลง

พ้นไปจากการต้องตื่นมารองานตั้งแต่เช้ามืด มิติอื่นในชีวิตของมนตรีก็ไม่ได้สวยงามนัก นับรวมถึงการถูกคนรักซ้อมอย่างหนักจนต้องพักตัวนานหลายสัปดาห์แล้วต้องกัดฟันลุกมาทำงาน -ที่ก็ต้องใช้ร่างกาย- เพราะไม่อยากเสียรายได้รายวัน ทั้งยังกินความไปถึงการจากบ้านเกิดและครอบครัวที่ก็ไม่รู้ว่าจะได้กลับไปเมื่อไหร่

“ตั้งแต่มีโควิดมา กระทบกันทุกคน เราเช่าห้องอยู่ บางวันทะเลาะกับแฟนก็อยู่ไม่ได้ ให้แฟนอยู่ไป เราก็ออกมา ไปหานอนที่เซเว่นหรือไปนอนที่สะพานลอย หรือที่อื่นๆ ที่ไม่มีคนเห็น

“ถ้าเราป่วย นายจ้างก็ไม่ดูแลหรอก ตายก็ตายฟรี เจ็บก็เจ็บฟรี จำได้ว่ามีป้าคนหนึ่งเป็นแม่บ้านในกลุ่มแรงงานนี่แหละ แล้วแกประสบอุบัติเหตุ คือตกนั่งร้านลงมา ตายฟรีเลย แต่คนในกีบหมูเขาก็ไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้กันหรอก เราถึงอยากทำประกันไง จะมากหรือน้อยก็ได้ ถ้ามีเงินก็อยากทำประกันสักหน่อย ทำให้ตัวเอง ให้หลาน และครอบครัว”

พ้นไปจากสามสิบบาทรักษาทุกโรค อีกหนึ่งโครงการจากรัฐที่ดูจะเป็นตัวช่วยต่อลมหายใจให้ชาวแรงงานคือโครงการเยียวยาประกันสังคมมาตรา 40 อันเป็นโครงการให้เงินเยียวยากลุ่มคนอาชีพอิสระโดยรัฐ แต่นอกจากนั้น โครงการหรือตัวช่วยอื่นใดก็ดูจะห่างไกลจากการเข้าถึงของพวกเขาเหลือเกิน

“พวกสิทธิโครงการรัฐอย่าง ‘เราชนะ’ นี่ เราก็เข้าไม่ถึงนะ” เขาบอก ไม่ปกปิดน้ำเสียงหงุดหงิด “ไม่รู้ว่าทำไมเราถึงเข้าไม่ถึงโครงการบางอย่างพวกนี้

“จริงๆ อีกอันที่เราได้คือเงิน 200 บาทจากบัตรประชาชนของกลุ่มเปราะบาง ซึ่งไม่พอใช้หรอก จริงนะ” เขาว่า “อยากให้รัฐช่วยตรงนี้ คือคนที่มีบัตรประชาชนทุกคนได้รับการช่วยเหลือจากรัฐให้ครบ เอาให้เขาไปเลย ไม่ต้องว่ามาให้ 200-500 บาท จ่ายเขาไปเลย! ช่วยเหลือเขาช่วงโควิด เขาลำบากกันขนาดไหนในช่วงโควิด เห็นไหมว่ามีคนมารองานตรงนี้กี่ร้อยคน เงิน 200 บาทพอกินไหม”

บทสนทนาของเราไหลเรื่อยไปถึงภาพชีวิตที่มนตรีเห็นตัวเองนับจากนี้ หากว่าสถานการณ์ดีขึ้น หากว่าไม่ต้องมาเป็นแรงงานก่อสร้าง หรือหากว่าที่สุดแล้วได้กลับไปบ้านเสียที

“ที่ยังทำอาชีพนี้อยู่เพราะไม่รู้จะไปทำอะไร ใจเราก็อยากกลับบ้าน ไปทำมาหากินที่บ้าน แต่ที่บ้านก็ไม่รู้ต้องไปพึ่งใคร จะออมสินเหรอ หรือว่า ธกส. เราก็กลัวเป็นหนี้งอกขึ้นมา จะอาศัยเงินแม่ที่ได้จากรัฐซึ่งเป็นเงินคนแก่ก็ไม่พอหรอก”

“รายได้จากงานที่กีบหมูอยู่ไม่ได้ ได้ไปวันต่อวัน หาเช้ากินค่ำ ชีวิตไม่มีอะไรเหลือเลยนะ”

2

พงษ์เป็นคนแรกๆ ที่ปรากฏตัวในซอยกีบหมู ช่วงก่อนเวลาตีสี่เล็กน้อย เขามากับรถกระบะหนึ่งคัน จอดไว้ตรงลานจอดรถแล้วทิ้งตัวนั่งลงหน้ามินิมาร์ตใต้แสงเรื่อเรืองของนีออน ตรงกันข้ามกับหลายคนในที่แห่งนี้ เขาไม่ได้มาหางานในฐานะช่างเชื่อม ช่างทาสี หรือช่างฉาบ หากแต่เป็นคนมาหาแรงงานให้ไปทำงานในไซต์ก่อสร้างของนายจ้างที่ว่าจ้างเขามาอีกต่อหนึ่ง

“ผมมาหาช่าง หากรรมกรชายหญิงที่จะไปทำความสะอาด วันนี้เราต้องมีช่างปูนไปจับเสียมฉาบปูนสามคู่ กับกรรมกรสัก 7-8 คน แล้วแต่จะหาได้” เขาสาธยาย “งานผมเป็นประเภทก่อสร้าง ลุยขี้โคลนหน่อย แต่ว่าก็ดีกว่าไม่มีงาน”

ในวัย 53 ปี นี่ก็นับเป็นทศวรรษที่ 4 แล้วที่เขาจากบ้านเกิดที่จังหวัดเลยมาเข้ากรุงเทพฯ อันเป็นประตูบานแรกที่ทำให้เขาเรียนรู้วิชาช่างจากการฝึกแบบครูพักลักจำและช่วยงานญาติผู้ใหญ่ซึ่งโยกย้ายมาทำงานก่อสร้างเมื่อหลายสิบปีก่อน

“ตอนแรกๆ มาทำช่างฝ้ากับญาติๆ ยื่นเหล็กยื่นของให้เขา ได้ค่าแรงวันละ 40 บาท ค่ารถเมล์สมัยนั้น 25 สตางค์เอง ข้าวจานละสองบาทเท่านั้น เราจึงอยู่ได้ด้วยเงิน 40 บาท สบายด้วย เราจึงเป็นช่างมาทั้งชีวิต สารพัดช่างเลย”

และจากต้นธารนั้น พงษ์อยู่กินด้วยอาชีพคนก่อสร้างมาค่อนชีวิต ได้ค่าแรงตกวันละ 400-500 บาท ซึ่งก็นับว่าลำบากและชวนให้เลือดตากระเด็นไม่น้อย โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงข้อเท็จจริงว่าเขามีลูกให้ต้องดูแลอีกสามคน ก่อนที่ชีวิตจะจัดสรรหนทางให้เขาเข้ามาค้าแรงที่ย่านกีบหมู

“แรกๆ ที่มาผมได้ 700-800 บาทต่อวัน แล้วแต่ผู้จ้างเขาจะเห็นว่าเราทำงานอย่างไร มีฝีมือไหม” และก็ด้วยทักษะการทำงานช่างที่สั่มสมมาตั้งแต่ยังไม่ใช้คำนำหน้าชื่อว่านาย พงษ์จึงกลายเป็นช่างคนโปรดของนายจ้างที่เขาทำงานด้วยในปัจจุบันแทบจะทันที หน้าที่ของเขาขยับจากการเป็นกรรมกร ลงมือทำงานเอง มาสู่การจัดสรรหาคนงานไปตามไซต์ก่อสร้างต่างๆ ให้นายจ้าง

“ตอนนี้ก็มีเจ้านายคนนี้ที่ผมทำงานด้วยมา 3-4 เดือนแล้ว ผมจึงไม่ได้ต้องมาลุ้นงานทุกเช้าเหมือนคนอื่นเพราะงานของผมคือมาหาคน แล้วก็มีคนอยู่แล้ว” เขาพยักเพยิดไปทางกลุ่มคนที่กำลังทยอยเดินเข้ามาใต้แสงนีออน

ดูมีนายจ้างที่ทำงานด้วยกันประจำ หากแต่พงษ์ก็ยังเลือกจะรับเงินเป็นรายวัน “ถ้ารับเป็นรายเดือนก็ผูกมัดเรา เราไม่ชอบการผูกมัด วันไหนที่ผมมีกำลังผมจะทำ วันไหนเหนื่อยก็หยุด ปกติผมหยุดวันอาทิตย์ หยุดอยู่กับครอบครัวนี่แหละ พาแฟนไปหาลูก ไปซื้อของพวกเสื้อผ้า สบู่ ยาสีฟัน”

สำหรับพงษ์ หน้าที่หาคนงานในย่านกีบหมูจึงเป็นหน้าที่ที่ลงตัวสำหรับเขา กล่าวคือแม้ต้องตื่นเช้าแต่ก็เป็นงานที่ไม่เหนื่อยนัก มีรายได้เข้ากระเป๋าทุกวัน หากแต่อีกด้านหนึ่ง ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเป็นแรงงานรายวันที่ไร้ประกันใดๆ จากนายจ้าง

“ถ้าป่วยก็ไม่ได้รายได้ เขาไม่ได้คุ้มครองอะไรเรา เราเป็นลูกจ้างรายวัน ประกันสังคมเขาก็ไม่มีให้ สวัสดิการก็ไม่มี เขาแค่มาจ้างอย่างเดียว มันก็อันตรายแหละ” เขาว่า “แต่ความปลอดภัยก็ขึ้นอยู่กับเรา ถ้าผมเห็นว่าอันตรายมากก็ไม่ทำ แล้วไปหางานที่ไม่อันตรายมาทำแทน

“แต่งานก่อสร้างมันอันตรายอยู่แล้ว ไหนจะเครน ไหนจะไฟ หรือวันไหนฝนตกอีก แต่ถ้าวันไหนเป็นแบบนั้นเราก็เลือกไม่ไปทำไง สำหรับผมอุบัติเหตุต้องเป็นศูนย์เท่านั้น แล้วเวลาผมรับลูกน้องไปทำงาน ก็บอกลูกน้องตลอดว่าความปลอดภัยอยู่ที่ตัวเรานะ ระวังไม้มือ แข้งขา ใส่รองเท้าหุ้มส้นเผื่อไปเตะเหล็กเตะอะไรก็ต้องไปรักษาเอง นายจ้างเขาจ้างเรามาแพงแล้ว เขาไม่ได้มารับผิดชอบชีวิตเรา แล้วเราไม่ใช่ลูกจ้างประจำเขา เราเป็นลูกจ้างรายวัน”

ยิ่งกับช่วงโควิดที่พงษ์ได้รับผลกระทบโดยตรง แผลของการเป็นลูกจ้างรายวันยิ่งเด่นชัด “ผมเองก็ติดโควิดมาแล้ว แฟนผมติดแล้วลงปอดด้วย เลยต้องพากลับไปรักษาตัวที่บ้านสักเดือนกว่าได้ อยู่โรงพยาบาล 14 วัน แฟนอยู่ได้ 3 วันก็อาการหนัก เขาเลยต้องส่งตัวไปฟอกปอด พอหายป่วยก็กลับมากักตัวที่บ้านอีก 14 วัน แต่โรคนี้เป็นโรคที่เขารังเกียจจริงๆ” เขาเล่า สีหน้าไม่สู้ดี

“บ้านใกล้เคียงที่เคยสนิทชิดเชื้อกลับกลายเป็นรังเกียจ เหมือนชีวิตเราไม่มีใครเลย ยังดีว่าเจ้านายคนนี้เขาใจดี ช่วงที่เราหยุดไปแกก็โอนเงินให้ทีละ 2,000-3,000 บาท ด้วยน้ำใจเฉยๆ ไม่ได้ตามกฎหมายอะไร เขาก็เหมือนพ่อแม่แล้วเราก็เหมือนลูกหลานเขาน่ะ”

“ทุกวันนี้ผมก็หาเงินเพื่อลูก ลูกผมสามคน คนเล็กเพิ่งจบปริญญาตรีไปนี่เอง สบายแล้ว” เขายิ้ม ในยิ้มนั้นพราวระยับด้วยความภูมิใจ “ก็ได้แต่หาเงินเก็บไว้ให้เขาแค่นั้น เพราะไม่รู้ว่าชีวิตเราจะอยู่ไปได้อีกถึงเมื่อไหร่”

3

เข้าใจว่า ‘น้า’ น่าจะจับตามองเรามาสักพักแล้ว ในห้วงเช้ามืดที่คลาคล่ำไปด้วยคนงานถืออุปกรณ์ก่อสร้าง อะไรจะสะดุดตาและผิดที่ผิดทางไปได้มากกว่าคนยืนถือกล้องตัวเขื่อง หน้าตาง่วงงุนอีกเล่า และอาจจะเป็นเหตุนั้นที่ทำให้ ‘วิสุทธิ์’ เดินมาทักทายเราพร้อมรอยยิ้มกว้างขวาง

“ไง อยากคุยอะไรไหม”

“อยากซี่” เราตอบ

“งั้นเอ็งถามมา”

บทสนทนาของเราออกรสออกชาติ หัวใจหลักๆ เป็นเพราะวิสุทธิ์ถือว่าเป็นคนงานที่ ‘เจนสนามรบ’ มากกว่าใครเพื่อน เนื่องจากหากินอยู่ที่ซอยกีบหมูมาร่วมสองทศวรรษ หรือหากพูดให้ชัด เขาอยู่มาตั้งแต่ก่อนหน้าที่จะมีชุมชนคนงานที่ซอยกีบหมูนี้เสียอีก

“แต่ก่อนคนงานเขามาปลูกหญ้าอยู่ในสวนหญ้า พอว่างงาน เถ้าแก่เขาเลยถามว่ามึงจะไปก่อสร้างไหม เลยติดต่อลูกพี่คนอื่นๆ ให้พาคนงานไปก่ออิฐ ฉาบปูน” มือเขาชี้ไปยังอาคารบ้านเรือนซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นพื้นที่รกร้างในย่านนี้

“แต่ก่อนไม่มีมายืนอย่างนี้นะ ต้องเข้าไปรับงานในป่าหญ้า เพิ่งมาเป็นอย่างนี้สักสิบกว่าปีก่อนเอง สมัยที่เราเริ่มมารับงานตรงนี้ยังเป็นที่ร้างๆ ไม่มีร้าน ไม่มีรถ มาเป็นรุ่นแรกๆ จนตอนนี้เพื่อนตายไปหมดแล้ว”

เช่นเดียวกับคนอื่นๆ วิสุทธิ์จากบ้านเกิดที่สกลนคร เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ ตั้งแต่ปี 2530 “สมัยนั้นทำงานบริษัท เอาของไปโหลดให้เขา ได้เงินเดือนแหละแต่ไม่ได้เรื่องเลย เงินน้อยแค่นั้นเอง” พูดแล้วทำมือประกอบให้เห็นความเล็กจิ๋วของเงินเดือน “เลยเริ่มชีวิตใหม่ ไปมีแฟนที่ภาคใต้แล้วเรียนรู้การก่อสร้างจากพ่อตา จากนั้นก็ยาวเลย”

วิสุทธิ์ผ่านช่วงรุ่งโรจน์ของหน้าที่การงานในฐานะช่างก่อสร้างมานานแล้ว ถึงวันนี้ในวัย 54 เขาไม่อยู่ในสถานะที่จะแบกหามหรือยกของหนักได้อีกต่อไป ไม่เพียงแต่จะทำร้ายร่างกาย หากแต่ยังทำร้ายเงินในกระเป๋าเมื่อถึงคราวบาดเจ็บ

“ทุกวันนี้ทำได้แค่ทาสี ฉาบผิว ทำพวกงานง่ายๆ หรืองานขุดดินลุงก็ไปนะ ไปหมดแหละขอให้เป็นเงิน วันไหนไม่มีงานทำก็ไปตัดใบตองขาย สัปดาห์หนึ่งๆ อย่างขี้เหร่ก็ทำงานสัก 3-4 วัน ปกติเราพักวันอาทิตย์ แต่จะว่าพักก็ไม่ใช่หรอกนะ คือถ้ามีงานก็ไป แค่ว่าวันอาทิตย์ไม่ค่อยมีงาน ไม่มีใครเขามาหางานเพราะรู้กันว่าหมู่บ้านต่างๆ ที่มีก่อสร้าง เขาไม่ให้คนเข้าไปในวันอาทิตย์”

“เจนสนามขนาดนี้มีวันไหนที่ไม่ได้งานไหม” เราถาม

คนถูกถามย่นจมูกใส่ ถอนหายใจสำทับอีกเฮือก “อย่ามาพูดเล้ย มีหมดแหละ ไอ้เราน่ะไม่ได้เลือกงานนะแต่คนจ่ายตังค์เขาเลือก อย่ามาพูดหน่อยเลยว่ามาที่กีบหมูแล้วจะไม่ตกงานกัน ตกกันหมดแหละ บางคนไม่มีงานเขาก็ไปขอข้าววัดกิน แต่เราน่ะไม่ต้อง เราเซ็น หยิบยืมไปได้ก่อน ถ้ามีเงินค่อยเอาไปคืนให้เขา

“จริงๆ ค่ากินไม่พอหรอก นี่ไม่ได้พักห้องมา 6 เดือนแล้ว ถ้าจะพักแถวนี้ก็เจอค่าห้อง 1,500-2,000 บาทต่อเดือนแล้ว ไหนจะค่าน้ำค่าไฟ หน่วยกิตละ 10-20 บาท สู้ไม่ไหวหรอก เราก็เลยไปนอนศาลาที่สวนสยามเอา อยู่กับตำรวจ ไปกวาดหน้าบ้านให้เขา เขาก็เอาข้าวมาให้บ้าง

“มันแย่นะ แย่ไปหมด นี่แหละว่าทำไมคนงานถึงอยากได้ค่าแรงแพง เพราะแบบนี้ไง มันไม่พอจะกินเอา” วิสุทธิ์ถอนหายใจ

“แล้วตั้งแต่โควิดก็ลำบาก คนเขาไม่ให้ช่างก่อสร้างเข้าหมู่บ้านเลย พวกหมู่บ้านหรูๆ หลังละล้านกว่าก็ไม่ให้เข้า เพราะเขากลัวเรา ขนาดเรามีใบตรวจ ATK เขายังไม่ให้เข้าเลย แล้วสัปดาห์นี้ตกงานเพราะเรื่องนี้ 4 วันแล้ว เพราะงั้นบอกตรงๆ เลยว่าตั้งแต่มีโควิดนี่ลำบากกว่าเดิมเยอะ เอาแค่จะซื้อข้าว บางร้านเขายังไม่ให้เข้าเลย”

วิสุทธิ์พอจะยังชีพได้ด้วยเงิน 200 บาทจากบัตรประชาชนของกลุ่มเปราะบาง แต่ก็เพียงแค่ยังชีพ -ในความหมายตรงตัวอักษร- จริงๆ “สองร้อยนี่ได้มาม่ากี่ห่อ ไข่กี่ฟอง ให้เขาคิดกันบ้าง กับรัฐนี่ไม่รู้ต้องพูดอย่างไร พูดไปก็ไลฟ์บอย”

“มันเหนื่อยนะ” เขาย้ำ “ทำงานน่ะทำได้ แต่งานหายากจริงๆ นะ ท้อไปไม่รู้กี่ครั้งแต่ก็ไม่เคยคิดฆ่าตัวตายหรอก เกิดมาแล้วก็ต้องอยู่นี่นะ”

4

ฟ้าสางแล้ว พระออกเดินบิณฑบาต คนงานหลายคนแวะซื้ออาหารจากร้านข้างทาง ถวายปัจจัย พนมมือรับพร

ขบวนรถกระบะเคลื่อนตัวแน่นถนนสุเหร่าคลองหนึ่ง แต่ละคันอัดแน่นไปด้วยกลุ่มคนงานที่เพิ่งได้ขยับตัวออกจากพื้นที่หน้าซอยกีบหมู หลังยืนรอร่วมสามชั่วโมงหรืออาจจะนานกว่านั้น บางคนเพิ่งได้ขึ้นรถ หอบเอาข้าวของ เครื่องใช้ทำมาหากินติดตัวไปด้วย

แดดออกสว่างไสวแต่ชวนอึมครึมในหัวใจ บอกไม่ถูกว่าเพราะบางแววตาของใครไหม หรือเพราะรอยช้ำใต้เบ้าตา หรืออาจเพราะความเศร้าที่เจือจางอยู่ในเรื่องเล่าของผู้คนเหล่านี้ แต่เหนืออื่นใด ทุกคนล้วนพยายามตะเกียกตะกายมีชีวิตอยู่ วาดฝันถึงชีวิตที่ดีกว่า -ไม่ได้ดีเลิศเลอ- เอาแค่ดีกว่าตอนนี้ ตอนที่ต้องตื่นแต่เช้ามืดเพื่อมารอลุ้นงานและเงินในแต่ละวัน

รุ่งอรุณมาเยือนย่านกีบหมู และได้แต่หวังว่าสักวันรุ่งอรุณจะมาเยือนในชีวิตของผู้คนอย่างถ้วนหน้าและเท่าเทียมกันบ้าง อย่างน้อยที่สุดก็ในอนาคตอันใกล้นี้

MOST READ

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

Social Issues

21 Nov 2018

เมื่อโรคซึมเศร้าทำให้อยากจากไป

เรื่องราวการรับมือกับความคิด ‘อยากตาย’ ผ่านประสบการณ์ของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า คนเคียงข้าง และบทความจากจิตแพทย์

ศุภาวรรณ คงสุวรรณ์

21 Nov 2018

Social Issues

22 Oct 2018

มิตรภาพยืนยาว แค้นคิดสั้น

จากชาวแก๊งค์สู่คู่อาฆาต ก่อนความแค้นมลายหายกลายเป็นมิตรภาพ คนหนุ่มเลือดร้อนผ่านอดีตระทมมาแบบไหน ‘บ้านกาญจนาฯ’ เปลี่ยนประตูที่เข้าใกล้ความตายให้เป็นประตูสู่ชีวิตที่ดีกว่าได้อย่างไร

ธิติ มีแต้ม

22 Oct 2018

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save