ในห้วงยามที่เสียงวิจารณ์นโยบายฝีมือการบริหารและธรรมาภิบาลของรัฐบาลพลังประชารัฐดังขึ้นเรื่อยๆ ‘ประชาธิปัตย์’ ย่อมไม่สามารถหลีกเลี่ยงคำถามได้ เพราะไม่เพียงแต่คุมกระทรวงสำคัญเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวแปรสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาลตั้งแต่ต้น
รวมถึงคำถามใหญ่ๆ อย่างเช่น ก้าวต่อไปประชาธิปัตย์จะเป็นอย่างไร และมรสุมเศรษฐกิจการเมืองไทยจะคลี่คลายไปแบบไหน
ต่อไปนี้เป็นทัศนะบางส่วนจาก ‘กรณ์ จาติกวณิช’ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้เคยเป็นประธานนโยบายพรรคฯ และเคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ให้สัมภาษณ์ไว้ผ่านรายการ 101 One-On-One EP.90
:: ประชาธิปัตย์หลังเลือกตั้ง ::
การตัดสินร่วมรัฐบาลส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ภายในพรรค ตลอดช่วงเวลา 15 ปีที่ผ่านมาของผมในการเป็น ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ มีการถกกันอย่างเข้มข้นประมาณ 2 ครั้ง ในอดีตก็คือการคว่ำบาตรไม่ส่งสมาชิกลงเลือกตั้ง และครั้งนี้คือการเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ
ในช่วงก่อนเลือกตั้ง เราจับกระแสได้ว่ากระแสพรรคเราไม่ค่อยดี แต่จริงๆ แทบไม่มีพรรคไหนเลยมีกระแสดี นอกจากพรรคอนาคตใหม่ ปัญหาของเราคือเกิดจากการเมืองที่มันแบ่งขั้วอยู่ และ 5 ปีที่รัฐประหาร แทนที่จะมีการสลายขั้ว ผมกลับเห็นว่ายิ่งมีความห่างของขั้วการเมืองมากขึ้น
เดิมที การเลือกตั้งที่ผ่านมา เราคิดว่าประชาชนน่าจะสนใจปัญหาปากท้องมากที่สุด เพราะเป็นช่วง 5 ปีที่ราคาพืชผลตกต่ำมาก เราจึงให้ความสำคัญกับนโยบายที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจ แก้ปัญหาหนี้สิน ปรากฏว่าเวลาผ่านไปกลายเป็นการเลือกข้าง และเราก็ติดอยู่ตรงกลาง ถ้าใช้ภาษาฝรั่งคือ no man’s land และจะเห็นได้ว่าคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคในขณะนั้นต้องรับคำถามว่าจะร่วมหรือไม่ร่วมกับคนนั้นคนนี้ เลยไม่ค่อยมีโอกาสได้พูดสิ่งที่อยากพูด หรือถ้าอยากพูดก็ไม่มีคนสนใจ พอช่วงโค้งสุดท้ายคุณอภิสิทธิ์ก็ต้องตัดสินใจเลือกไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์
ปรากฏว่าแฟนคลับของเราช็อก เพราะว่าเขามีสมมติฐานมาตลอดว่าการที่เขาจะเลือกพรรคประชาธิปัตย์ก็เพราะเขาคิดว่าประชาธิปัตย์จะไปร่วมรัฐบาลกับ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะฉะนั้นก็มีข้อสรุปว่าเขาเลือก พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้เลือกคุณอภิสิทธิ์
หลังคุณอภิสิทธิ์ลาออกจากหัวหน้าพรรค ตอนนั้นทุกคนที่ลงชิงหัวหน้าพรรคพยายามหลีกเลี่ยงที่จะไม่พูดให้ชัดว่าถ้าเราได้เป็นหัวหน้าพรรคแล้วจะร่วมหรือไม่ร่วมกับพลังประชารัฐ แต่ผมคิดว่าคนที่พูดชัดที่สุดคือผม เพราะผมเห็นต่างจากคุณอภิสิทธิ์ ผมคิดว่าสุดท้ายแล้วประชาชนเลือกตั้งเพราะต้องการรัฐบาล ถ้าเกิดเรารักษาสถานะความเป็นฝ่ายค้านอิสระ ผมคิดว่ารัฐบาลจัดตั้งไม่ได้ รัฐบาลเสียงข้างน้อย ใครๆ ก็รู้ว่ามันไปต่อไม่ได้
:: 3 เดือนรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ น่าผิดหวัง ::

ถามว่าประเมินการทำงานของรัฐบาลอย่างไร ผมตอบว่าผมผิดหวัง เป็นเรื่องแปลกที่เราเป็นรัฐบาลแรกที่มีแผนยุทธศาสตร์ชาติที่ชัดเจนที่สุด แต่กลับรู้สึกว่าการบริหารเป็นไปแบบวันต่อวัน ไม่มีทิศทางที่ชัดเจน ถ้าถามประชาชนเรื่องนี้ว่ารัฐบาลมีทิศทางที่ชัดเจนไหม ผมว่าคนตอบยาก
สมมติย้อนเวลาไป 30 ปีที่แล้ว ผมคิดว่าทุกคนตอบได้ว่าเรากำลังจะเปลี่ยนประเทศเกษตรกรรมให้เป็นประเทศอุตสาหกรรม แต่วันนี้เรายังขาดทิศทางที่ชัดเจน ผมผิดหวังในเชิงการนำและการเสนอแนวทางที่มีความชัดเจนให้ประชาชนสนับสนุน หรือเดินไปด้วยกันได้ แล้วผมมีความรู้สึกว่าแต่ละพรรค แต่ละรัฐมนตรีก็ทำงานในส่วนของตัวเอง ไม่ได้มีแนวทางร่วมกัน ไม่มีการประสานงานกันอย่างชัดเจน
อย่างกรณีสารพิษ (พาราควอต) ทั้ง 3 กระทรวงก็ไปคนละทิศคนละทาง การเสนอข่าวก็ยังมีการโทษกันไปโทษกันมาด้วยซ้ำ ระหว่างภาคอุตสาหกรรมการเกษตรกับสาธารณสุข ในขณะที่ไม่มีการฟันธงชัดเจนของนายกรัฐมนตรี สำหรับผมจึงเป็นเรื่องแปลก เพราะจริงๆ ความเป็นผู้นำของ พล.อ.ประยุทธ์ สูงมาก แต่เราไม่เห็นบทบาทการเป็นผู้นำเท่ากับสมัยที่แล้วที่มีอำนาจเด็ดขาด
:: เปรียบเทียบนโยบายรัฐบาล ::
การเปรียบเทียบนโยบายระหว่างรัฐบาล ใช้ได้ระดับหนึ่ง แต่ใช้ไม่ได้ทั้งหมด เพราะสภาพแวดล้อมมันเปลี่ยนเสมอ อย่างเช่น นโยบาย ‘ชิม ช้อป ใช้’ ถ้าจะเปรียบเทียบนโยบายเมื่อ 10 ปีที่แล้วที่ผมเคยใช้คือ ‘เช็คช่วยชาติ’ หลักคิดของเราสมัยนั้นคือมันมีวิกฤตเศรษฐกิจโลก แล้ว GDP ก็ติดลบอยู่ 7 % มีแรงงานไทยที่ถูกปลดออกจากงานเฉลี่ยเดือนละ 5 หมื่นคน กำลังซื้อภายนอกหายไปหมด ก็ต้องพึ่งกำลังซื้อภายในประเทศอย่างเดียว นั่นคือที่มาของ ‘เช็คช่วยชาติ’ หรือโครงการไทยเข้มแข็ง
สมัยนั้นมีผู้สื่อข่าวถามผมว่า หลังจากแจกไปแล้ว จะมีแจกอีกไหม ผมให้สัมภาษณ์ชัดเจนเลยว่าไม่มี นโยบายแบบนี้ต้องใช้ครั้งเดียว ถ้าใช้บ่อยๆ คนจะดื้อยา หลังจากนั้นเศรษฐกิจก็ฟื้นตัว แต่พอมาครั้งนี้ก็มีการแจกเงินต่อเนื่องกันมาตั้งแต่รัฐบาลที่แล้วตั้งแต่บัตรคนจน เบี้ย อสม. และอีกหลายประเภท ซึ่งถ้าถามผม ผมคิดว่าเสี่ยงที่จะดื้อยา แต่ถามว่าผมชอบวิธีการไหม ผมชอบ ประชาชนได้คุ้นเคยกับร้านค้าทั้งเล็กทั้งใหญ่ คุ้นเคยกับการใช้เงินอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งในโลกของ FinTech ผมสนับสนุนอยู่แล้ว แต่เราหวังผลมากต่อระบบเศรษฐกิจไม่ได้
เราต้องมองประเด็นปัญหาว่าคืออะไร ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาคนพูดกันเยอะว่าคนที่ได้ประโยชน์จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจนั้น เป็นคนกลุ่มน้อยมากแค่ 1 % นโยบายเอื้อให้กับผู้ประกอบการขนาดใหญ่มากกว่าประชาชนผู้ประกอบการขนาดเล็ก นี่จึงเป็นสาเหตุให้ประชาชนทั่วไปรู้สึกว่าเศรษฐกิจไม่ได้ดีขึ้น รัฐบาลบอก GDP ดีขึ้น แต่ต้องดูว่ามันขึ้นให้กับใคร ส่วนใหญ่มาจากอุตสาหกรรมส่งออก แล้วถามว่ามีใครส่งออกบ้างในประเทศไทย มีสักกี่คน หรืออย่างโครงการขนาดใหญ่ EEC แน่นอนว่าคนได้ประโยชน์คือผู้ประกอบการขนาดยักษ์เท่านั้น
:: ถึงเวลาประชาธิปัตย์ปรับตัว ::
แนวทางของพรรคขึ้นอยู่กับเป้าหมายของพรรคด้วย อยากจะเป็นพรรคใหญ่ หรือเป็นพรรคขนาดกลางที่ได้ร่วมรัฐบาลทุกครั้ง ขึ้นอยู่กับความทะเยอทะยานของผู้บริหารพรรคด้วย ถ้าต้องการเป็นพรรคใหญ่ ผมมองว่าแนวทางปัจจุบันไม่ได้ตอบโจทย์นั้น แต่ถ้าอยู่ในโหมดรักษาสถานภาพ ประคองตัว แนวทางที่เป็นอยู่ก็ไปได้
ถ้าเราพอใจที่จะเป็นพรรคขนาดกลาง มี ส.ส. จากภาคใต้ก็เพียงพอแล้วที่จะเป็นพรรคขนาดกลาง แต่ถ้าเราต้องการเป็นแกนนำในการเปลี่ยนประเทศ แค่นั้นมันไม่พอ แต่ในโลกยุคสมัยปัจจุบัน ผมมองว่าการหยุดอยู่กับที่ก็มีความเสี่ยงจะถูกแซงและถอยหลังมากกว่า ยุทธศาสตร์แบบนี้ประสบความสำเร็จยาก
จริงๆ แล้วพรรคประชาธิปัตย์ ควรจะเป็นพรรคที่คนแบบ ‘ไอติม’ พริษฐ์ วัชรสินธุ อยู่ได้ ผมเองก็เสียดาย เช่น แนวคิดเรื่องสิทธิ LGBT ต้องยอมรับว่าถ้าไม่มีกลุ่มนิวเด็มเป็นผู้เสนอผลักดัน มันอาจจะเป็นเรื่องที่คนรุ่นผมไม่ได้ให้ความสำคัญเท่าที่ควร การปฏิรูประบบการเกณฑ์ทหาร ถ้าปล่อยให้คนรุ่นผมทำ ผมอาจจะไม่คิดเรื่องนี้ เพราะมันไม่ใช่ปัญหาของเราแล้ว
แต่ตอนนิวเด็มเสนอเป็นนโยบาย ประชาธิปัตย์ก็รับ เพราะมันมีเหตุผล น่าจะทำให้กองทัพเข้มแข็งและมีเกียรติมากกว่าเดิมด้วยซ้ำไป แต่ปัจจุบันช่องทางการนำเสนอแนวคิดของคนรุ่นใหม่ประเภทนี้มีน้อยมาก ซึ่งพรรคก็รู้ว่าเป็นปัญหา ต้องยอมรับว่าที่พรรคประชาธิปัตย์อยู่มาได้ 70 กว่าปี เพราะเราเป็นพรรคที่เปิดรับคนรุ่นใหม่มากที่สุด ไม่งั้นเราอยู่ไม่ได้ มันต้องมีเลือดใหม่เข้ามาสมทบตลอดเวลา แต่ปัญหาตอนนี้คือมันขาดช่วง
:: การยอมรับในรัฐบาลทหาร ::
ผมขอย้อนไปปี 2557 ในจังหวะที่ พล.อ.ประยุทธ์ ยึดอำนาจ ผมมองด้วยความเศร้าว่าเราไม่มีทางเลือกอื่นเลย เวลานั้นผมคิดแบบนั้น เพราะว่าในจังหวะนั้นนักการเมืองเสียอีกที่เป็นปัญหาที่สร้างเงื่อนไขสร้างอุปสรรคขึ้นมาให้สังคมไปสู่ทางตัน หรือมองอีกมุมก็คือเป็นการเปิดโอกาสให้ทหารสามารถเข้ามาได้ แต่ผมไม่ชอบพูดแบบนี้ เพราะผมไม่เชื่อว่าทหารจะตั้งใจเข้ามาตั้งแต่แรก ผมคิดว่าวันนั้น ถ้ามีโพลล์สอบถามประชาชนว่าคิดอย่างไรที่มีการยึดอำนาจเพื่อสลายการชุมนุม ยุติความขัดแย้งที่ปรากฏบนท้องถนน ผมคิดว่า 80 % รับได้ในวันนั้น
ถามต่อว่าที่วิจารณ์รัฐบาลทักษิณ แต่ทำไมยอมรับรัฐบาลทหารได้ ผมก็ต้องบอกว่าผมไม่ได้ยอมรับ และต้องบอกว่าตอนนี้เรามีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง จะหาว่าผมเล่นคำยังไงก็แล้วแต่ เราปฏิเสธข้อเท็จจริงไม่ได้ว่าพรรคพลังประชารัฐได้คะแนนเสียงเหนือความคาดหมายของทุกคน เหนือความคาดหมายของประชาธิปัตย์ เรายังช็อกเลยที่มีประชาชนไปกาให้เขาจริง เราปฏิเสธความชอบธรรมของเขาไม่ได้ แล้วจะเรียกว่าเขาเป็นรัฐบาลทหารต่อเนื่อง ก็ไม่แฟร์กับเขาทีเดียว