fbpx

มองย้อนเด็กไทย 2022: จงเติบโตอย่างแข็งแรง แม้โลกเต็มไปด้วยอุปสรรค

หลังจากใช้คำว่า ‘ปีหลังโควิด-19’ มาหลายครั้ง ที่ผ่านมามักจะจบลงที่การระบาดระลอกใหม่ แต่ปีนี้ทุกคนคงกล่าวได้ว่า ปี 2022 เป็นปีหลังโควิด-19 ได้อย่างเต็มปาก จากที่ประเทศไทยกลับมาเปิดประเทศอีกครั้ง และผู้คนเริ่มเดินทางท่องเที่ยว เชื่อว่าชีวิตทุกคนคงกลับสู่สภาวะ ‘ความปกติใหม่’ เสียที

คงเป็นอีกหนึ่งปีที่ไม่ง่ายสำหรับเด็กไทย – ปี 2022 เป็นปีที่เด็กไทยหลายๆ คนกลับเข้าสู่สถาบันการศึกษานอกจออีกครั้ง มาเรียนและใช้ชีวิตปกติ ทิ้งบาดแผลความเจ็บปวดจากการเรียนรู้ที่ด้อยประสิทธิภาพบนโลกออนไลน์ ความเปราะบางอันเกิดจากเยาวชนเข้าสู่โลกออนไลน์ก่อนวัยอันควรไว้เบื้องหลัง และทำราวกับสองปีที่ผ่านมาไม่มีจริง

ปี 2022 เป็นปีที่เด็กไทยเจอความุรนแรง ทั้งความรุนแรงทางกายภาพจากเหตุการณ์กราดยิงในศูนย์เด็กเล็ก พื้นที่ที่ควรจะปลอดภัยที่สุดกลับกลายเป็นพื้นที่อันตราย และความรุนแรงเชิงโครงสร้างอันสืบเนื่องจากนิติสงครามของรัฐ เพียงเพราะพวกเขาออกมาส่งเสียง เพื่อหวังว่าสังคมจะดีขึ้นและเป็นสังคมที่พร้อมส่งต่อสู่เด็กรุ่นหลังพวกเขาต่อไป

นอกจากนี้ สังคมไทยยังมีโจทย์ใหม่เมื่อรัฐบาลตัดสินใจ ‘ปลดล็อกกัญชา’ ซึ่งกำหนดให้ ‘ทุกส่วนของกัญชา’ ไม่ถือว่าเป็นยาเสพติด นโยบายดังกล่าวอาจเป็นเรื่องที่ดีสำหรับเศรษฐกิจและสาธารณสุขไทย แต่ขณะเดียวกันก็ได้มีภาพเยาวชนเสพกัญชาตามท้องถนนปรากฏออกมา ถึงแม้กัญชาจะไม่ใช่ยาเสพติดแล้ว แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ากัญชามีส่งผลต่อพัฒนาการทางสมองของเยาวชน เนื่องจากสมองในช่วงอายุนี้ยังอยู่ระหว่างการพัฒนา หากใช้กัญชาในปริมาณมากและต่อเนื่อง ฤทธิ์ของกัญชาจะรบกวนการทำงานของเซลล์สมอง และที่ผ่านมาร่างกฎหมายกลับไม่ได้ปกป้องพวกเขาอย่างที่ควรจะเป็น

พวกเขาเปราะบางมาก – เด็กเหล่านี้กำลังอยู่ในสังคมแบบไหน หรือนี่จะเป็นสังคมบน ‘ความปกติใหม่’ ที่พวกเขาต้องเผชิญหลังจากนี้ ทั้งความรุนแรงจากสถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา และสถาบันการเมือง หากเด็กไทยเป็นต้นไม้ที่กำลังเจริญเติบโต ต้องการแสงที่ดี ปุ๋ยที่ดี การดูแลที่ดี ในวันนี้สังคมกลับมีบรรยากาศไม่เอื้อสำหรับการเติบโตของพวกเขาเท่าไหร่นัก

ศูนย์ความรู้นโยบายเด็กและครอบครัว (คิด for คิดส์) ได้รายงานสถานการณ์เด็กและครอบครัวปี 2022 ที่สะท้อนให้เห็นถึง 7  แนวโน้มสำคัญของสถานการณ์เด็กและเยาวชนต้องเผชิญ ประกอบด้วย

(1) เด็กและเยาวชนเผชิญกับภาวการณ์เรียนรู้ถดถอย (2) เด็กและครอบครัวเข้าถึงบริการของรัฐได้ยากขึ้น (3) เด็กและเยาวชนถูกผลักเข้าสู่โลกออนไลน์โดยขาดฐานที่จำเป็น (4) เด็กและเยาวชนเครียดและมีปัญหาสุขภาพจิตมากขึ้น (5) เด็กและเยาวชนมีส่วนร่วมทางการเมือง แต่ภาครัฐสกัดกั้นด้วยความรุนแรงมากขึ้น (6) ครอบครัวมีขนาดเล็กและเปราะบางยิ่งขึ้น (7) ความไม่ลงรอยระหว่างรุ่นรุนแรงขึ้น บั่นทอนความสัมพันธ์ภายในครอบครัว

เมื่อโควิด-19 จางหายไป แต่แผลเป็นจากการศึกษายังคงอยู่

องค์การกองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF) ประเมินว่า เด็กและเยาวชนกว่า 1.6 พันล้านคนทั่วโลก เผชิญกับสภาวะ ‘การเรียนรู้ถดถอย (Learning Loss)’ โดยเฉพาะการศึกษาไทยในปีที่ผ่านมา เมื่อเด็กไทยต้องเรียนออนไลน์ พัฒนาการในการเรียนรู้ของเด็กกลับถดถอยลงหากเทียบกับสิ่งที่เยาวชนควรจะได้รับ สภาวะดังกล่าวได้รับการยืนยันจากงานวิจัย โครงการสำรวจและประเมินความพร้อมเด็กปฐมวัยเข้าสู่ระบบการศึกษา (School Readiness) ของ รศ.ดร.วีระชาติ กิเลนทอง และคณะ โดยช่วงวัยที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ ‘ปฐมวัย’ ทั้งนี้ ช่วง ‘ปฐมวัย’ เป็นช่วงสำคัญในการเรียนรู้และฝึกกล้ามเนื้อจากการศึกษา กลับเป็นช่วงที่เด็กไม่ได้รับการศึกษาและดูแลอย่างมีประสิทธิภาพ

จากการสำรวจสถานะความพร้อมในการเข้าสู่ระบบการศึกษาของเด็กปฐมวัย (Thailand School Readiness Survey: TSRS) โดยสถาบันวิจัยเพื่อการประเมินและออกแบบนโยบาย (RIPED) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ร่วมกับ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ศึกษาสถานการณ์การปิดโรงเรียนในช่วงสถานการณ์การระบาดส่งผลต่อภาวะการถดถอยโดยเฉพาะช่วงปฐมวัยอย่างไร — ในบทความ เด็กเล็กไทยสูญเสียการเรียนรู้แค่ไหนจากโควิด-19? สรุปว่าช่วงปี 2563 ถึงเดือนมีนาคม 2565 สถานศึกษาทุกพื้นที่ถูกปิดทั้งหมด 16 สัปดาห์ และบางพื้นที่ถูกปิดยาวนานถึง 53 สัปดาห์ การหยุดเรียนแต่ละวันส่งผลให้เกิดภาวะถดถอยด้านวิชาการประมาณร้อยละ 99 ด้านความจำใช้งานประมาณร้อยละ 98

ถึงแม้วันนี้สถานการณ์โควิด-19 จะเบาบางลง แต่สภาวะการเรียนรู้ถดถอยยังคงอยู่กับเด็กไทยยุคออนไลน์ ซึ่งหากไม่ได้รับการแก้ไขปัญหานี้ เด็กกลุ่มนี้เมื่อโตขึ้นจะกลายเป็น ‘lost generation’ ในที่สุด

สำหรับทางออกนั้น สถาบันวิจัยเพื่อการประเมินและออกแบบนโยบาย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเสนอว่าสังคมต้องช่วยกันออกแบบนโยบายทั้งระยะสั้นและระยะยาว ระยะสั้น คือ การเปิดเรียนให้นานและปิดให้น้อย ทั้งนี้มองว่า ควรจะเปิดเรียนในช่วงเวลาปิดภาคเรียนเพื่อชดเชยเวลาที่ขาดหายไป ส่วนนโยบายระยะยาวต้องเร่งฟื้นฟูทักษะให้กับเด็กปฐมวัย คือการพัฒนาทักษะให้ผู้ปกครองสามารถจัดกิจกรรมคุณภาพกับบุตรหลานของตน และยกระดับคุณภาพการเรียนการสอนให้ดียิ่งขึ้นโดยเฉพาะช่วงปฐมวัย

สุกรี นาคแย้ม อาจารย์ประจำสาขารัฐประศาสนศาสตร์ วิทยาลัยการปกครอง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เคยให้สัมภาษณ์กับ 101 ถึงโครงสร้างระบบการจัดการบริหารระบบการศึกษาที่มีปัญหา สุกรีมองว่าโควิด-19 เป็นเพียงตัวกระตุ้นให้ปัญหาระบบการศึกษาใต้พรมอันเน่าเฟะนั้นถูกเปิดเผยขึ้น เพราะสภาวะที่การเรียนการสอนที่ผ่านมา ตัวครูเดิมมีปัญหาทำได้ไม่เต็มที่หรือสอนไม่ทันด้วยเหตุที่ต้องไปทำงานเอกสาร หรือไปประชุมอบรมบ่อยๆ ดังนั้น ภาวะการเรียนรู้ถดถอยเกิดภายใต้ระบบการศึกษาขั้นพื้นฐานของไทยมานานแล้ว หากเรายังไม่ ‘คืนครูสู่ห้องเรียน’ และคืน ‘อำนาจที่ถูกพรากไปจากโรงเรียน’ เราจะไม่มีทางแก้ไขวิกฤตการเรียนรู้ครั้งนี้ได้เลย

นอกจากปัญหาการศึกษาจากสภาวะการเรียนรู้ถดถอยนั้น ช่วงที่โรงเรียนปิด เด็กไทยต้องใช้ชีวิตส่วนใหญ่ภายในบ้าน จึงมีแนวโน้มที่จะมีเพื่อนยากขึ้นและตัวเลขการสำรวจที่ผ่านมาแหล่งเรียนรู้นอกห้องเรียน เยาวชนไทยอายุ 15 ถึง 25 ปี จำนวน 19,694 คน พบว่าเยาวชนไทยจำนวนมากไม่เคยไปแหล่งเรียนรู้ เกือบครึ่งของผู้ตอบทั้งหมด (47.2%) มองว่าปัจจัยที่ทำให้ตนไม่ไปแหล่งเรียนรู้เพราะไม่ได้อยู่ใกล้บ้าน ทำให้การเข้าถึงแหล่งเรียนรู้เป็นไปได้ยาก อีกทั้งยังกระจุกตัวตามหัวเมืองเท่านั้น

ปัจจัยโรงเรียนปิดและไม่มีพื้นที่แหล่งเรียนรู้นอกห้องเรียนเพียงพอ ทำให้เด็กไทยจึงถูกผลักให้เข้าสู่โลกออนไลน์ไวขึ้นกว่าที่ควรจะเป็นในช่วงการระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมา ในบทความ ‘มหันตภัยร้ายต่อเด็กในบ้านที่มากับชาเลนจ์เสี่ยงตายบน TikTok’ โดยโสภณ ศุภมั่งมี ยกกรณีศึกษาที่เกิดขึ้นในรัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา คือการที่เยาวชน ทำตามคำท้าทายสุดแผลงบน TikTok ชื่อ ‘Blackout Challenge’ ที่กำลังเป็นกระแส ชาเลนจ์ดังกล่าวท้าให้คนบีบคอตัวเองจนขาดอากาศหายใจเป็นลมหน้ากล้อง จนกระทั่งมีเยาวชนคนหนึ่งเสียชีวิต เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นอุทาหรณ์เกี่ยวกับความเปราะบางของเยาวชนในการใช้สื่อออนไลน์

เด็กไทยถูกรัฐโบยตีจาก ‘นิติสงคราม’ กับ ‘ราคาที่ต้องจ่าย’

หากนิยามสถานการณ์เมื่อปี 2564 คือ ปีแห่งนิติสงคราม ปีนี้คงเป็น ‘นิติสงคราม ภาค2’ เพราะเยาวชนก็ยังถูกรัฐดำเนินคดีเพื่อลิดรอนสิทธิเสรีภาพการแสดงออก การตั้งคำถามใหม่ๆ ในสังคม และเสียงของพวกเขาก็ยังคงถูกมองข้ามเหมือนเคย

ปีนี้เป็นอีกปีที่รัฐไทยคงยังไม่เข้าใจคำว่า ‘สิทธิ’ และ ‘เสรีภาพ’ เป็นปีเดียวกันที่เยาวชนได้รับสิทธิการประกันตัวจากเรือนจำ แต่พวกเขาต้องแลกกับเงื่อนไขว่าจะไม่กระด้างกระเดื่องต่อสถาบันกษัตริย์ และต้องสวมกำไลอีเอ็ม โดยอ้างว่าเป็นการคืน ‘เสรีภาพ’ ให้กับพวกเขา แต่กำไลอีเอ็มนั้นแทบไม่ต่างอะไรกับตรวนเหล็กแห่งศตวรรษที่ 21 ที่ล่ามข้อเท้า ล่ามเสรีภาพของพวกเขา ทั้งที่พวกเขายังเป็นผู้บริสุทธิ์

“ผมสมัครงานไม่ได้เลย แต่ละที่ปฏิเสธหรือไม่ก็หายไปเงียบๆ ทั้งที่เรายังไม่ได้บอกว่าเราต้องสวมกำไลติดตามตัวเพราะอะไร เราอยากบอกเขาว่าเราต้องติดมันที่ข้อเท้าเพราะคดีทางการเมืองนะ แต่ส่วนใหญ่เขาก็หายไป ไม่ติดต่อกลับมาอีกเลย” เรื่องที่เกิดขึ้นกับ บีม-ณัฐกรณ์ ชูเสนาะ เยาวชนผู้ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 จากการเข้าร่วมกิจกรรม ‘ใคร ๆ ก็ใส่ครอปท็อป ไปเดินสยามพารากอน’ ทำให้เยาวชนคนหนึ่งกับความฝันในการทำกาแฟ ต้องถูกดึงรั้งด้วยตรวนเหล็กที่ข้อเท้า จนบีมถูกปฎิเสธงานบ่อยครั้ง

บีมไม่ใช่คนแรกและไม่ใช่คนเดียว – ยังมีเยาวชนอีกหลายคนที่ถึงแม้วันนี้เขายังไม่ถูกจับใส่กำไลอีเอ็ม แต่พวกเขาถูกคุกคามจากเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งแบบเปิดเผยตัวตนและไม่เปิดเผยตัวตน สถิติจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนเปิดเผยว่า ขณะที่ปี 2565 ข้อมูลวันที่ 1 มกราคม – 15 กันยายน พบว่ามีเยาวชนถูกคุกคามอย่างน้อย 35 คน กันต์-กันตพัฒน์ มาตรบรรเทา คือหนึ่งในนั้น

“ส่วนใหญ่ผมเจอต่อหน้าเลยครับ วันไหนอยู่บ้านพร้อมหน้ากับครอบครัว เขาก็เดินเข้ามาเลย ไม่ได้มีหมายเรียกหรือหมายค้นอะไรเลย จำนวนคนแล้วแต่ระดับการเคลื่อนไหวของเรา บางทีก็มา 5-6 คน บางทีก็มา 2-3 คน 20 คนก็เคยเจอ เขาพยายามกดดันให้เราหยุดทำกิจกรรม ห้ามไม่ให้เราแชร์ ไม่ให้แสดงความคิดเห็นเรื่องการเมือง” กันต์เล่า

นอกจากการคุกคามจะเกิดขึ้นกับเยาวชนแล้ว ยังมีบ้างครั้งที่การคุกคามจากเจ้าหน้าที่รัฐเกิดขึ้นกับคนในครอบครัว อย่างที่ เมลิญณ์ – สุพิชฌาย์ ชัยลอม ประสบพบเจอ

ชื่อเดิมของเธอคือ ‘เมนู – สุพิชฌาย์ ชัยลอม’ นักกิจกรรมที่เริ่มต้นเส้นทางจากการเคลื่อนไหวด้านการศึกษา สู่การเคลื่อนไหวเพื่อปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ผ่านกลุ่ม ‘ทะลุวัง’ การเคลื่อนไหวของเธอทำให้ต้องพบกับชะตากรรมอย่างที่เยาวชนหลายคนเจอ คือ การถูกดำเนินคดีและการสวมกำไลอีเอ็มเพื่อแลกกับอิสรภาพนอกเรือนจำ

ทว่าเส้นทางของเธอต่างออกไป – เธอและเพื่อนตัดสินใจทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง และก้าวออกจากแผ่นดินเกิดเพื่ออิสรภาพของพวกเธอในดินแดนใหม่

“การที่เราโดนใส่กำไลอีเอ็ม หรือการมีเงื่อนไขในการห้ามออกจากบ้าน สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เรายังรับไหว แต่จุดที่ทำให้เราตัดสินใจออกมาทันทีเลย คือเจ้าหน้าที่รัฐมาคุกคามพ่อแม่ มีวันหนึ่งเขามาเชิญตัวพ่อกับแม่ของเราไปและริบโทรศัพท์ไม่ให้ถือหรือบันทึกข้อความอะไรทั้งนั้น อีกทั้งพาไปที่ไหนก็ไม่มีใครรู้ได้ ก่อนที่จะพยายามรีดข้อมูลเกี่ยวกับเรา ว่าเราเรียนอะไร เราชอบอะไร ทำไมถึงออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง มีใครอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า จากนั้นเขาก็ข่มขู่พ่อและแม่ว่าให้จับตามองเราดีๆ ช่วงนั้นพอดีกับเจ้าหน้าที่ทหารส่งข้อความมาข่มขู่เราว่า พวกเขาจะไม่จัดการเราด้วยกฎหมายแล้ว จากที่เรากับพ่อแม่ไม่ได้สื่อสารกันมานานแล้ว เพราะว่าเขาไม่เห็นด้วยที่เราออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง พอมารู้ว่าเขาโดนข่มขู่แบบนี้พร้อมกับข้อความที่เจ้าหน้าที่รัฐฝากมาบอกเราว่า เดี๋ยวเราจะเป็นอันตราย เขาจะทำให้เราหายไปนะ เราก็เลยรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว ออกมาดีกว่า” เมลิญณ์เล่า

จากเรื่องราวของบีม, กันต์ และเมลิญณ์ นั้น ทุกคนต้องไม่ลืมว่าพวกเขาเป็นเพียงเยาวชน ที่วันนี้พวกเขาเพียงแค่ต้องการออกมาส่งเสียงว่าเขาอยากเห็นสังคมแบบไหน – สังคมแบบนี้เองหรือ ที่ทำให้เยาวชนต้องออกมาสู้กับการใช้อำนาจผ่านกฎหมายและนอกกฎหมาย เช่น การจำกัดเสรีภาพผ่านกำไลอีเอ็ม และคุกคามชีวิตประจำวันของพวกเขาผ่านการรักษาความสงบ

เรามักจะเรียกพวกเขาว่าอนาคต แต่ผู้ใหญ่ต่างไม่สนใจและไม่รับฟังเสียงของพวกเขา มองว่าสิ่งที่พวกเขาคิด พูด เป็น นั้นอันตรายต่อสังคม ‘อันดีงาม’ ภายใต้ระบอบต่อท้ายอย่าง ‘อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข’ – ทุกวันนี้พวกเขาเป็นอนาคตที่ผู้ใหญ่โบยตี

เพนกวิน – พริษฐ์ ชิวารักษ์ แกนนำขบวนการเคลื่อนไหวทางการเมืองคนรุ่นใหม่เมื่อปี 2563 ชวนมองนัยยะของประโยค ‘เด็กคืออนาคตของชาติ’ ว่าเด็กต้องแบกความคาดหวังของสังคม ต้องเป็นอนาคตของอะไรสักอย่าง แต่ผู้ใหญ่มักมองว่าเป็นอนาคตที่ ‘รอได้’ แปลว่าหากเยาวชนพูดตอนนี้ยังไม่ต้องฟังได้ เพราะเสียงเยาวชนคือเสียงที่ต้องรอให้วันเวลาอันเหมาะสมมาถึงเสียก่อน ทั้งนี้เด็กไม่ได้เป็นเพียงเสียงของอนาคตที่ต้องรอให้มาถึงแล้วจึงฟังพวกเขา แต่เด็กเป็นเสียงแห่งปัจจุบันด้วย ดังนั้นการรับฟังเสียงของเยาวชนจึงเป็นประเด็นที่ผู้ใหญ่ในสังคมไทยควรสนใจ  

ให้เสียงเยาวชนมีความหมาย

คิด for คิดส์ โดยความร่วมมือระหว่าง 101 PUB กับ สสส. ได้เสนอแนวทางเพื่อขยายช่องทางการมีส่วนร่วมของเยาวชนผ่านนโยบาย ‘สามเสาหลัก’ เพื่อให้เสียงของพวกเขามีควาหมายอีกครั้ง ได้แก่ ลดอายุขั้นต่ำและขยายช่องทางการมีส่วนร่วมทางการเมือง ปฏิรูปสภาเยาวชนให้เป็นกระบอกเสียงเชิงนโยบายที่อิสระ และให้นักเรียน-นักศึกษามีส่วนร่วมในนโยบายของระบบการศึกษา

เสาหลักแรก ลดอายุขั้นต่ำและขยายช่องทางการมีส่วนร่วมทางการเมือง ทางศูนย์เสนอให้ลดอายุผู้มีสิทธิเลือกตั้งจาก 18 ปี เหลือ ‘15 ปี’ ครอบคลุมสิทธิเลือกตั้ง ส.ส. สมาชิกสภาท้องถิ่น และผู้บริหารท้องถิ่น สิทธิออกเสียงประชามติ ตลอดจนสิทธิในการมีส่วนร่วมทางการเมืองทางตรง เช่น การเข้าชื่อต่อรัฐสภาและสภาท้องถิ่น การลดอายุเช่นนี้จะส่งผลให้เยาวชนกลายเป็นหนึ่งใน ‘ฐานเสียง’ ที่ฝ่ายการเมืองจะรับฟังอย่าง ‘เสมอภาค’ และการกำหนดตัวเลขที่ 15 ปีนั้น เนื่องจากเยาวชนอายุ 15 ปีขึ้นไปถูกศาลสั่งลงโทษอาญาได้แล้ว จึงควรมีสิทธิในการร่วมออกแบบกฎหมาย โดยเปิดโอกาสให้เยาวชนเป็นผู้กำหนดนโยบายได้โดยตรง

เสาหลักที่สอง ปฏิรูปสภาเยาวชนให้เป็นกระบอกเสียงเชิงนโยบายที่อิสระ โดยสภาเยาวชนถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ทำให้เสียงของเยาวชนถูกรับฟังมากขึ้น ที่ผ่านมา ประเทศไทยได้จัดตั้งสภาเด็กและเยาวชนในระดับตำบล อำเภอ จังหวัด และประเทศรวม 8,781 แห่งมาตั้งแต่ปี 2008 แต่มีปัญหามากมายทั้งขาดความเป็นตัวแทนที่ดี ขาดความเป็นอิสระ ขาดบทบาทเชิงนโยบาย และขาดงบประมาณการสนับสนุน ทั้งนี้ คิด for คิดส์ เสนอหลากหลายนโยบายเพื่อปฎิรูปทั้งที่มาและบทบาทเพื่อให้เสียงของเยาวชนนั้นถูกรับฟังมากขึ้น หนึ่งในนโยบายสำคัญคือ ให้มีสภาเยาวชนแห่งชาติ สภาเยาวชนจังหวัด และสภาเยาวชนท้องถิ่น ซึ่งสมาชิกมาจากการเลือกตั้งและการสุ่ม เพื่อให้สมาชิกเป็นตัวแทนของเด็กและเยาวชนในวงกว้างที่หลากหลายและชอบธรรม

เสาหลักที่สาม ให้นักเรียน-นักศึกษามีส่วนร่วมในนโยบายของระบบการศึกษา ปัจจุบันเยาวชนยังคงใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในแต่ละวันภายในสถานศึกษา แต่นักเรียน-นักศึกษากลับมีส่วนร่วมในการออกแบบนโยบายได้จำกัดมาก โดยจากผลสำรวจของ คิด for คิดส์ เยาวชนอายุ 15-25 ปีถึง 47.8% รายงานว่าเคยประสบปัญหาที่ผู้บริหารสถานศึกษาไม่ตอบสนองความต้องการของพวกเขา ดังนั้นจึงควรมีการปฎิรูปสถานศึกษาให้นักเรียนและนักศึกษามีส่วนร่วมในการออกแบบนโยบายของระบบการศึกษาที่พวกเขาอยู่ได้มากขึ้น

นี่คือหนึ่งในหนทางที่ทุกคนยังดำเนินการทัน เพื่อไม่ให้สังคมไทยเสียต้นทุนทางสังคมอย่างกลุ่มเยาวชน พวกเขามีแรงเยอะพอ และมีความหวังมากพอ ที่จะเปลี่ยนสังคมนี้ให้ดียิ่งขึ้น ที่ผ่านมาพวกเขารับผิดชอบกับ ‘ราคาที่ต้องจ่าย’ เพื่อให้สังคมที่พวกเขาอยู่ดีขึ้น – คำถามที่พวกเราต้องถามดังๆ คือ เยาวชนและคนรุ่นใหม่ต้องจ่ายอีกมากเท่าไหร่ และนานแค่ไหนที่ผู้มีอำนาจจะรับฟังเขาอย่างที่พวกเขาเป็นพลเมืองคนหนึ่ง

หวังว่าปีนี้จะเป็นภาพยนตร์ม้วนสุดท้ายของ ‘นิติสงคราม’ และเยาวชนจะได้ใช้ชีวิตอย่างที่ไม่ต้องคำนึงถึง ‘ราคาที่ต้องจ่าย’ ท่ามกลางสังคมการเมืองที่ลุ่มๆ ดอนๆ นี้

เด็กไทยแข็งแกร่งมากที่เอาชีวิตรอดในปีที่ผ่านมาได้ – ท่ามกลางอุปสรรคขวากหนามนี้ พวกเขาไม่มีทางเลือกและไม่มีทางไป นอกจากจะต้องเข้มแข็งใน ‘สังคมไทยปกติใหม่’ นี้

MOST READ

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

Social Issues

21 Nov 2018

เมื่อโรคซึมเศร้าทำให้อยากจากไป

เรื่องราวการรับมือกับความคิด ‘อยากตาย’ ผ่านประสบการณ์ของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า คนเคียงข้าง และบทความจากจิตแพทย์

ศุภาวรรณ คงสุวรรณ์

21 Nov 2018

Social Issues

22 Oct 2018

มิตรภาพยืนยาว แค้นคิดสั้น

จากชาวแก๊งค์สู่คู่อาฆาต ก่อนความแค้นมลายหายกลายเป็นมิตรภาพ คนหนุ่มเลือดร้อนผ่านอดีตระทมมาแบบไหน ‘บ้านกาญจนาฯ’ เปลี่ยนประตูที่เข้าใกล้ความตายให้เป็นประตูสู่ชีวิตที่ดีกว่าได้อย่างไร

ธิติ มีแต้ม

22 Oct 2018

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save