ปิติ ศรีแสงนาม เรื่อง
ปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ระดับโลกเหตุการณ์หนึ่งที่เราต้องจับตามอง คือการเยือนประเทศจีนอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี Shinzo Abe แห่งประเทศญี่ปุ่น โดยมีกำหนดพบปะหารือทั้งกับประธานาธิบดี Xi Jinping และนายกรัฐมนตรี Li Keqiang แห่งประเทศจีน ในระหว่างวันที่ 25-27 ตุลาคม 2018 ซึ่งนับเป็นการเยือนจีนของผู้นำญี่ปุ่นครั้งแรกในรอบ 7 ปี หลังจากความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ ตกต่ำที่สุดจากกรณีข้อพิพาทหมู่เกาะ Senkaku/Diaoyu ในปี 2012
ในความเป็นจริง รอยร้าวระหว่างประเทศจีนกับญี่ปุ่นไม่ใช่พึ่งเกิดขึ้นในปี 2012 เพราะตั้งแต่อดีต จีนมองว่าญี่ปุ่นคือตัวแทนของมหาอำนาจตะวันตกในมหาสมุทรแปซิฟิค ในขณะที่ญี่ปุ่นเอง เมื่อถูกแซงหน้าและเสียตำแหน่งเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับที่ 2 ของโลกให้กับจีนไปในปี 2010 การขยายอิทธิพลของจีนในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นพื้นที่อิทธิพลของญี่ปุ่น ก็นับเป็นความท้าทายในการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศญี่ปุ่นเป็นอย่างยิ่ง (ดูตารางที่ 1: ประวัติศาสตร์แห่งความขัดแย้ง จีน-ญี่ปุ่น –ท้ายบทความ)
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อจีนริเริ่มโครงการระเบียงเศรษฐกิจ ที่จะเชื่อมโยงเส้นทางสายไหมแห่งศตวรรษที่ 21 ทั้งทางบกและทางทะเล ภายใต้โครงการ Belt and Road Initiative (BRI) นั่นทำให้หลายๆ ประเทศออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่า โครงการนี้เป็นการขยายอิทธิพลของจีนไปทั่วโลกในภูมิภาค Indo-Pacific ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของโลก
นั่นจึงทำให้ในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน +6 ในปี 2017 ณ ประเทศฟิลิปปินส์ นายกรัฐมนตรี Malcolm Turnbull แห่งออสเตรเลีย, นายกรัฐมนตรี Shinzo Abe แห่งญี่ปุ่น, นายกรัฐมนตรี Narendra Modi แห่งอินเดีย และ Rex Tillerson ตัวแทนประธานาธิบดี Donald Trump แห่งสหรัฐอเมริกา (วันนั้น Trump เดินทางมาถึงที่ประชุมแล้ว และขอไม่เข้าร่วมการประชุม ก่อนเดินทางกลับสหรัฐฯ ทำให้การประชุมล่าช้าไป 2 ชั่วโมง) ผู้นำทั้ง 4 ประเทศตกลงสร้างความร่วมมือระหว่างกันขึ้นมาใหม่ ต่อเนื่องจากเวทีการเจรจาเดิมที่เคยมีอยู่แล้วแต่ร้างลาไปนานหลายปี
ความร่วมมือนี้ถูกเรียกว่า ‘The Quad’ ตามชื่อความร่วมมือทางด้านความมั่นคงที่เคยก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2007 ในนาม Quadrilateral Security Dialogue หรือ QSD (QSD 2007 เกิดขึ้นเนื่องจากการเสนอแนะของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ต่อรองกับ Dick Cheney ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในขณะนั้น, นาย John Howard นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย และ นายกรัฐมนตรีอินเดีย Manmohan Singh)
นั่นยิ่งเป็นการผลักดันให้อาเซียนกลายเป็นพื้นที่ที่ทุกคนต้องการเข้ามามีปฏิสัมพันธ์ด้วย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายจีนที่ต้องการเชื่อมโยงเส้นทางการค้า และฝ่าย The Quad ที่ต้องการมีปฏิสัมพันธ์ในลักษณะเดียวกับจีน และในขณะเดียวกันก็ต้องการปิดล้อมจีน (Engage and Contain) ทั้งนี้เนื่องจากอาเซียนตั้งอยู่ในตำแหน่งศูนย์กลางของยุทธศาสตร์ Indo-Pacific ซึ่งแน่นอนว่าการเสนอให้สร้างความร่วมมือในลักษณะนี้ของ The Quad ก็ยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับญี่ปุ่นที่มีรอยร้าวอยู่แล้ว ยิ่งแตกร้าวมากยิ่งขึ้น
การเดินทางเยือนจีนอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นในคราวนี้ จึงถือเป็นเหตุการณ์สำคัญยิ่ง เพราะเป็นการยืนยันว่าความสัมพันธ์ระหว่างจีนและญี่ปุ่น จะกลับเข้าสู่ระดับปกติอย่างเป็นทางการ คำถามที่สำคัญคือ เพราะอะไรการกลับมาสานสัมพันธ์ในครั้งนี้จึงเกิดขึ้น
คำตอบคือ ทั้ง 2 ประเทศ ในนาทีนี้กำลังวิตกกังวลในเรื่องเดียวกัน นั่นคือ วิตกกังวลในเรื่องของแนวคิดแบบชาตินิยม (Nationalism) , แนวคิดนิยมความรุนแรง (Radicalism) , ความเกลียดกลัวชาวต่างชาติ (Xenophobia) และ ความนิยมการค้าแบบคุ้มกัน (Protectionism) ของผู้นำจากอีกซีกโลก ที่ทำให้เกิดภาวะสงครามการค้า โดยผลกระทบจากสงครามการค้าทำให้ทั้ง 2 ประเทศ คือจีนและญี่ปุ่น กำลังตกที่นั่งลำบาก เพราะการหดตัวของมูลค่าการค้า และการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
ในช่วงเวลาเดียวกันกับการเยือนจีนอย่างเป็นทางการของ Abe ตัวผู้เขียนมีโอกาสเดินทางไปร่วมประชุมวิชาการ East Asian Summit and East Asian Cooperation International Forum 2018 ซึ่งจัดขึ้นในช่วงเวลาเพียง 2 วันก่อนนายกฯ ญี่ปุ่นเยือนจีน และงานนี้ก็เกิดขึ้นจากความร่วมมือของสถาบันคลังสมอง (Think Tank) ของจีน คือ Chinese Academy of Social Sciences (CASS) และสถาบันวิจัยของอาเซียนที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่น คือ Economic Research Institute for ASEAN and East Asia (ERIA)
ตลอดการประชุม นักวิชาการจาก ASEAN+6 จำนวน 16 ประเทศ ต่างกังวลกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากสงครามการค้า และทุกฝ่ายสนับสนุนการสร้างความร่วมมือระหว่างกันในรูปแบบที่สร้างสรรค์และรับผิดชอบ
หนึ่งในงานวิจัยที่น่าสนใจ นำเสนอโดย Professor Lin Guijun แห่ง Academy of China Open Economy Studies มหาวิทยาลัย University of International Business and Economics ประเทศจีน นำเสนอผลกระทบจากสงครามการค้าต่อ 15 ประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด และผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานในระดับโลกของเอเชีย (Global Value Chains: GVCs) ที่จะเสียหายในมูลค่ามหาศาล หากสงครามการค้ายังคงดำเนินต่อไป
นี่คือผลที่เป็นรูปธรรมที่แสดงให้เห็นว่า สงครามการค้าทำให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด กลายเป็นจีน (มูลค่ากว่า 4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) และรองลงมาคือคนที่ได้รับผลกระทบทางอ้อม อย่างญี่ปุ่น ที่มูลค่าความเสียหายมากกว่า 1.68 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ต้องอย่าลืมว่าญี่ปุ่นเสียหายหนัก เพราะญี่ปุ่นคือผู้ที่คุมห่วงโซ่มูลค่าการผลิตในภูมิภาคเอเซียตะวันออก และเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ โดยในห่วงโซ่ GVCs ที่ควบคุมโดยญี่ปุ่น ญี่ปุ่นพึ่งพาวัตถุดิบขั้นกลางจากจีนถึงร้อยละ 29 และพึ่งพาอาเซียนถึงร้อยละ 59 (ข้อมูล ณ ปี 2015 โดย UIBE)
ด้วยเหตุนี้ เมื่อมีคู่กรณีเดียวกันคือ สหรัฐฯ ริเริ่มสงครามการค้าภายใต้นโยบาย ‘America First’ ที่ต้องการสร้างกำแพงภาษีเพื่อดึงเงินลงทุนและการย้ายฐานการผลิตกลับไปตั้งในสหรัฐฯ (Reshoring Investment) สถานการณ์ระหว่างจีนกับญี่ปุ่นจึงไม่แตกต่างกับ ศึกเซ็กเพ็ก (Battle of Chibi) หรือยุทธการผาแดง ในวรรณคดีเรื่อง ‘สามก๊ก’ ที่ทั้งเล่าปี่ แห่งจ๊กก๊ก และซุนกวน แห่งง่อก๊ก ที่ต่างก็ต้องแย่งชิงอำนาจซึ่งกันและกัน แต่คราวนี้ต่างก็มีศัตรูคนเดียวกัน นั่นคือ โจโฉ แห่งวุยก๊ก ที่กำลังจะยกทัพเรือที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์จีนมาบุกแคว้นกันตั๋งของซุนกวน
ไม่ต่างจากสงครามการค้าในครั้งนี้ ที่ทำให้ทั้งจีนและญี่ปุ่นมีความสูญเสียรวมกันไม่ต่ำกว่า 5.7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เล่าปี่จึงต้องส่งสุดยอดกุนซืออย่างขงเบ้ง ให้ไปช่วยซุนกวนจัดทัพรับศึกโจโฉที่ผาแดง จนสามารถต้านทานและได้รับชัยชนะต่อกองทัพเรือที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์จีนได้
ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะเห็น ประธานาธิบดี Xi Jinping ส่งนายกรัฐมนตรี Li Keqiang ไปเยือนโตเกียวเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และหลังจากนั้นนายกรัฐมนตรี Abe ก็เดินทางเยือนจีนในช่วงปลายเดือนตุลาคม และการเปรียบเทียบกับสามก๊กก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะสำหรับผู้นำในเอเซียตะวันออก และในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้แล้ว ยุทธพิชัยสงครามสามก๊ก คือสิ่งที่ผู้นำของประเทศในภูมิภาคนี้อ่านและเรียนรู้ รวมทั้งนำมาปรับใช้กันอยู่แล้วตลอดทั้งห้วงเวลาประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา
จะเห็นได้ว่า ถึงเวลาแล้วที่จีนและญี่ปุ่นต้องยอมระงับความขัดแย้งและร่วมมือกันอีกครั้ง เพื่อรักษาการค้าแบบเสรีและห่วงโซ่อุปทานการผลิตในเอเชียให้เดินหน้าต่อไป แต่สิ่งที่สำคัญก็คือ ญี่ปุ่นกับจีนจะมีปฏิสัมพันธ์ในรูปแบบใดที่ทำให้ทั้ง 2 ฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกัน และในขณะเดียวกัน ก็ไม่เกิดแรงต่อต้านจากทั้งภายในและภายนอกประเทศ
แรงต้านภายในก็คือจากคนจีนและคนญี่ปุ่น ซึ่งมีประวัติศาสตร์ที่ขัดแย่งกันมาโดยตลอด และทำให้หลายๆ ครั้งยังไม่สามารถวางใจระหว่างกันได้อย่างสนิทใจนัก ส่วนแรงต้านภายนอกคือการคำนึงถึงความสัมพันธ์ของทั้งจีน และญี่ปุ่น ซึ่งต่างก็มีพันธมิตรอื่นๆ ในเวทีอื่นๆ อีกด้วย
แน่นอนว่า การเปิดตัวของนายกฯ ญี่ปุ่นในจีนจะต้องยิ่งใหญ่ ไม่ต่างจากที่ขงเบ้งต้องปราบการท้าทายฝีมือโดยเหล่ากุนซือของซุนกวน เมื่อคราวยอมนำตนเข้าไปช่วยศึกที่ผาแดง ดังนั้นการเดินทางไปเยือนจีนของนายกฯ ญี่ปุ่น จึงไปพร้อมกับกองทัพนักธุรกิจญี่ปุ่นจำนวนหลายร้อยคน และแน่นอนว่าทางจีนก็ต้องต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่
นั่นทำให้เราได้เห็นภาพการเจรจาธุรกิจของนักธุรกิจจีน ร่วมกับนักธุรกิจญี่ปุ่น จำนวนมากกว่า 1,400 คน ก่อนจะประกาศความสำเร็จในการปิดการเจรจาทางธุรกิจไปได้มากกว่า 500 ดีล ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในภาคอุตสาหกรรมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน อุตสาหกรรมพลังงาน และอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างก็งัดเทคโนโลยีของตนมาประชันกันเต็มที่
นอกจากนี้ ความร่วมมือในรูปแบบของ Bilateral Swap Arragement มูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่ทั้ง 2 ประเทศตกลงกันว่า หากใครคนใดคนหนึ่งเพลี่ยงพล้ำ ต้องเผชิญกับภาวะวิกฤตทางการเงิน อีกประเทศจะส่งเงินทุนสำรองไปเพิ่มให้ในรูปแบบของการ Swap เงินตราระหว่างกัน
แต่สิ่งที่ทั้งโลกจับตามองมากกว่านั้นก็คือ เราไม่เห็นการประกาศของรัฐบาลญี่ปุ่นในการเข้าไปทำโครงการในประเทศจีน และในทางตรงกันข้ามเราก็ไม่เห็นการประกาศของรัฐบาลจีนที่เข้าไปทำโครงการในประเทศญี่ปุ่นเช่นเดียวกัน ทว่าทางออกอันชาญฉลาดของจีนและญี่ปุ่น คือการสร้างเวทีใหม่ โดยไปร่วมกันลงทุนและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในประเทศที่ 3
เมื่อตกลงกันว่าจะไปลงทุนในประเทศที่ 3 แล้ว ผลประโยชน์ที่ทั้งสองฝ่ายจะได้ คือการผลิตสินค้าที่เกิดขึ้นจากการลงทุนดังกล่าว ซึ่งจะไม่ใช่สินค้า Made in China ทั้งจีนและญี่ปุ่นจะได้แหล่งกำเนิดสินค้าที่ไม่ถูกกีดกันจากสงครามการค้า ขณะเดียวกันทั้งสองประเทศยังสามารถร่วมกันขยายอิทธิพลในระดับภูมิภาคได้ต่อไป โดยเฉพาะในภูมิภาค Indo-Pacific
จากวิธีการที่ว่ามา จีนจะได้ประโยชน์อย่างน้อยใน 2 มิติ มิติแรกคือเป้าหมายของจีนในการเชื่อมโยง Belt and Road Initiative ซึ่งจะไม่มีวันต่อชิ้นส่วนครบหากไม่มีญี่ปุ่น ที่มีทั้งเงินทุน เทคโนโลยี เครือข่ายกับประเทศต่างๆ และประสบการณ์การสร้างระเบียงเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในอาเซียน และมิติที่สอง คือการเข้ามาของญี่ปุ่นในโครงการที่จะไปพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในประเทศที่ 3 จะทำให้ภาพพจน์ด้านลบซึ่งมีมาแต่เดิมของ BRI ที่มักจะถูกหลายๆ ประเทศในโลกตะวันตกวิพากษ์วิจารณ์เบาบางลง เพราะเที่ยวนี้จะมีญี่ปุ่นซึ่งมีมาตรฐานสูง และมีความเชี่ยวชาญอย่างยิ่งในการบริหารจัดการเพื่อแก้ปัญหา Trust Crisis เข้ามาเป็นส่วนร่วมด้วย (อย่าลืมว่าในทศวรรษ 1970 นิสิตนักศึกษาไทยเดินขบวนต่อต้านการใช้สินค้าญี่ปุ่น แต่ในทศวรรษ 2010 นิสิตนักศึกษาไทยเดินขบวนเข้าร้านอาหารญี่ปุ่นและไปเที่ยวญี่ปุ่น)
ส่วนญี่ปุ่นเองก็ได้ประโยชน์เช่นกัน เพราะเป็นรูปแบบการมีปฏิสัมพันธ์กับจีนที่ไม่ใช่เข้าไปในจีนโดยตรง แต่ร่วมกันไปพัฒนาประเทศที่ 3 ซึ่งไม่มากจนเกินไป จนเสียความสัมพันธ์กับโลกตะวันตก ขณะเดียวกันก็ทำให้ฝ่ายจีนพอใจ โดยที่ญี่ปุ่นเองก็ได้เครื่องมือใหม่ที่สามารถลดหรือสร้างดุลกับการขยายอิทธิพลของจีนในเวทีอาเซียน (อย่างที่กล่าวไปตอนต้นว่า เมื่อไม่สามารถปิดล้อมได้ ก็ดำเนินนโยบายในทิศทางเดียวกันแทนในรูปแบบ Engage and Contain) ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของ Indo-Pacific ได้ด้วย ที่สำคัญกว่านั้นคือ ญี่ปุ่นเองก็ได้ความสัมพันธ์กับจีนไปใช้เป็นแต้มต่อ (Leverage) ในการไปเจรจาต่อรองกับประเทศในโลกตะวันตกได้อีกด้วย
ความร่วมมือในเวทีใหม่ (New Stage Cooperation) ของจีนและญี่ปุ่น ทำให้ทั้งคู่ได้ประโยชน์ร่วมกัน หรือ Win-Win ด้วยกันทั้งคู่ แต่ก็มีคนที่อยู่เงียบๆ แต่กินเรียบหมด นั่นคือประเทศที่ 3 ที่ทั้งจีนและญี่ปุ่นเลือกที่จะไปลงทุน ซึ่งจากการพบกันในการประชุมครั้งนี้ ทั้ง 2 ประเทศมีความเห็นตรงกันว่า โครงการแรกที่จะร่วมมือกันเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในประเทศที่ 3 คือ การพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ที่จังหวัดชลบุรี ของประเทศไทย โดยจะเป็นเงินลงทุนที่มาจาก Japan Bank for International Cooperation (JBIC) ร่วมกับ China Development Bank
คำถามที่สำคัญที่สุดต่อจากนี้คือ เมื่อส้มกำลังจะมาหล่นที่ประเทศไทย แล้วประเทศไทยเตรียมความพร้อมในการรับส้มหล่นลูกนี้ดีพอรึยัง อย่าให้ส้มต้องหล่นและกลิ้งไปจากไทยนะครับ เสียของแย่เลย
ตารางที่ 1: ประวัติศาสตร์แห่งความขัดแย้ง จีน-ญี่ปุ่น
1894-1895 | สงครามจีน-ญี่ปุ่น ครั้งที่ 1 (the First Sino-Japanese War) จีนเป็นฝ่ายแพ้และเสียดินแดน คาบสมุทร Liaodong, คาบสมุทรเกาหลี, เกาะไต้หวัน และเกาะ Penghu ให้กับญี่ปุ่น |
1931 | Manchuria Incident ที่กองทัพญี่ปุ่นวางระเบิดทางรถไฟของตนเองในประเทศจีน เพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการส่งกองกำลังเข้าไปในเขตแมนจูเรียซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน |
1937-1945 | สงครามจีน-ญี่ปุ่น ครั้งที่ 2 (the Second Sino-Japanese War) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสงครามโลกครั้งที่ 2 และสงครามมหาเอเชียบูรพา โดยการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่นานกิง (Nanjing Massacre) ที่กองทัพญี่ปุ่นใช้เวลา 6 สัปดาห์ตั้งแต่ 13 ธันวาคม 1937 ถึงมกราคม 1938 สังหารชาวจีนไปมากกว่า 3 แสนคน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่โหดร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ |
ทศวรรษ 1950 และ 1960 | ความสัมพันธ์ย่ำแย่เนื่องจากจีนและญี่ปุ่น (ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแล และความสัมพันธ์ทางการทหารอย่างใกล้ชิดกับสหรัฐ) อยู่คนละค่ายในสถานการณ์สงครามเย็น โดยความสัมพันธ์ยิ่งตกต่ำลงอย่างยิ่งในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรมของจีน ที่ฝ่ายจีนมองว่าญี่ปุ่นเป็นตัวแทนของตะวันตกในภูมิภาค |
1968 | สำรวจพบแหล่งน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติในบริเวณเกาะ Senkaku Islands (เรียกโดยญี่ปุ่น) หรือเกาะ Diaoyu Islands (เรียกโดยจีน) หรือ เกาะ Diaoyutai Islands (เรียกโดยไต้หวัน) และในบริเวณเกาะ Pinnacle Islands |
1971-1972 | สหรัฐอเมริกาคืนเอกราชให้กับหมู่เกาะ Okinawa ให้กับรัฐบาลญี่ปุ่น ซึ่งทำให้เกิดข้อพิพาทในบริเวณหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิค (ซึ่งแน่นอนว่ารวมเอาหมู่เกาะ Senkaku/Diaoyu ซึ่งพบแหล่งทรัพยากร) ว่าใครเป็นผู้ครอบครอง จีน หรือ ญี่ปุ่น |
23 ตุลาคม 1978 | ผู้นำสูงสุดของจีน Deng Xiaoping ผู้นำการปฏิรูปเศรษฐกิจของจีน ซึ่งมองเห็นความสำคัญของญี่ปุ่นในฐานะนักลงทุนและนักการค้าระหว่างประเทศ เดินทางเยือนญี่ปุ่น และร่วมกับนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น Fukuda Takeo ลงนาม The Treaty of Peace and Friendship between Japan and the People's Republic of China ในวันที่ 12 สิงหาคม 1978 และมีผลบังคับใข้ และเป็นการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการระหว่าง 2 ประเทศในวันที่ 23 ตุลาคม 1978 |
25 ธันวาคม 2011 | นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น Yoshihiko Noda เยือนจีนอย่างเป็นทางการ และได้พบกับประธานาธิบดี Hu Jintao และนายกรัฐมนตรี Wen Jiabao |
มีนาคม 2012 | การเจรจา 3 ฝ่ายเพื่อนำไปสู่เขตการค้าเสรีจีน – ญี่ปุ่น – เกาหลีใต้ (CJK-FTA) |
เมษายน 2012 | กลุ่มชาตินิยมญี่ปุ่นเริ่มต้นการระดมทุนเพื่อซื้อที่ดินบนเกาะ Senkaku/Diaoyu เพื่อให้เกาะดังกล่าวเป็นของคนญี่ปุ่น |
11 กันยายน 2012 | Anti-Japanese Demonstration ประชาชนจีนเดินขบวนประท้วงนโยบายของรัฐบาลญี่ปุ่นทั่วทั้งประเทศจีน เป็นระยะเวลายาวนานมากกว่า 50 วัน นับเป็นการเคลื่อนไหวประท้วงครั้งใหญ่ที่สุดในประเทศจีนนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 |
กันยายน 2012 | กองทัพสาธารณรัฐประชาชนจีนเริ่มการลาดตระเวนโดยเครื่องบิน เรือรบ และเรือตรวจการณ์ชายฝั่งในบริเวณเกาะ Senkaku/Diaoyu |
11 พฤศจิกายน 2012 | คณะรัฐมนตรีของญี่ปุ่น โดยนายกรัฐมนตรี Yoshihiko Noda ประกาศ Nationalise หมู่เกาะต่างๆ ในทะเลจีนตะวันออก |
29 ธันวาคม 2012 | Shinzo Abe เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีประเทศญี่ปุ่น |
30 มกราคม 2013 | East China Sea Confrontation ญี่ปุ่นส่งเรือพิฆาต (Destroyer) และเรือ Frigate เข้าพื้นที่ เพราะตรวจจับได้ว่าเรือรบของกองทัพประชาชนจีน Lock the weapon-targeting radar มาที่กองเรือรบของกองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่น |
14 มีนาคม 2013 | Xi Jinping เข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของประเทศจีน |
23 พฤศจิกายน 2013 | จีนประกาศเขต Air Defense Identification Zone (ADIZ) เหนือทะเลจีนตะวันออก ซึ่งพื้นที่ทับซ้อนกับเขต ADIZ ของญี่ปุ่น ทำให้ People’s Liberation Army Air Force (PLAAF) และ Japanese Air Self-Defense Force (JASDF) ลาดตระเวนในพื้นที่เดียวกัน |
26 พฤศจิกายน 2013 | นายกรัฐมนตรี Shinzo Abe เข้าคารวะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ณ ศาลเจ้า Yasukuni Shrine ซึ่งเป็นศาลเจ้าบูชาดวงวิญญาณของกองทัพญี่ปุ่นในช่วงจักรวรรดิ์ญี่ปุ่นที่เข้าไปทำให้เกิดเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่นานกิง ทางการจีนถือเป็นการยั่วยุ และระงับความสัมพันธ์ทางการทูตกับญี่ปุ่น |
10 พฤศจิกายน 2014 | นายกรัฐมนตรี Shinzo Abe และประธานาธิบดี Xi Jinping พบกันในงานประชุมสุดยอดผู้นำ APEC ณ กรุงปักกิ่ง ถือเป็นก้าวแรกของการประสานความสัมพันธ์อีกครั้ง |
3 กันยายน 2015 | ทางการจีนจัด 2015 China Victory Day parade เพื่อแสดงแสนยานุภาพของกองทัพประชาชนจีน โดยเลือกวันเฉลิมฉลองการแพ้สงคราม the Second Sino-Japanese War ของฝ่ายจักรวรรดิญี่ปุ่นเป็นวันจัดงาน |
1 พฤศจิกายน 2015 | การประชุมสุดยอดผู้นำ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี (CJK Summit) ณ กรุงโซล หลังจากที่ไม่ได้มีการประชุมมาตลอด 3 ปีตั้งแต่ 2012 |
17 มิถุนายน 2016 | เครื่องบินรบ F-15 ของ JASDF ญี่ปุ่น เกือบชนและปะทะกับเครื่องบิน SU-30 ของ PLAAF จีน ในบริเวณทะเลจีนตะวันออก |
9 พฤษภาคม 2018 | นายกรัฐมนตรี Li Keqiang เยือนประเทศญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ |
12 สิงหาคม 2018 | นายกรัฐมนตรี Li Keqiang และนายกรัฐมนตรี Shinzo Abe แสดงความยินดีกับวาระครบรอบ 40 ปีการสถาปนาทางการทูตอย่างเป็นทางการของทั้ง 2 ประเทศ |
25-27 ตุลาคม 2018 | นายกรัฐมนตรี Shinzo Abe เยือนประเทศจีนอย่างเป็นทางการ และเข้าพบ ประธานาธิบดี Xi Jinping และนายกรัฐมนตรี Li Keqiang |
Ilustrated by ภาพิมล หล่อตระกูล