โสภณ ศุภมั่งมี เรื่อง
ปทิตตา วาสนาส่งชูสกุล ภาพประกอบ
ในเวลานี้ หลายคนยังคงสงสัยข่าวการหายตัวไปจากสื่อของแจ็ค หม่า อยู่ ถึงแม้ว่าจะเริ่มมีความกระจ่างมากขึ้นแล้วจากการรายงานของ Business Insider โดยมีการคาดการณ์ว่าเขาไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่กำลังเก็บตัวเงียบๆ หลังจากที่รัฐบาลจีนเข้ามาสอดส่องและตรวจสอบความโปร่งใสของอาณาจักรอาลีบาบาของเขาในช่วงปลายปีที่ผ่านมา
จากคุณครูภาษาอังกฤษกลายมาเป็นนักธุรกิจที่เป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ เขาสร้าง Alibaba ที่เรียกได้ว่าเป็นคู่แข่งใกล้เคียงกับยักษ์ใหญ่ Amazon มากที่สุดแล้ว แจ็ค หม่าเป็นคนแรกๆ ที่เราคิดถึงเมื่อพูดถึงนักธุรกิจระดับโลกในเวลานี้ ขนาดที่ว่าตอนที่โดนัล ทรัมป์ ขึ้นเป็นประธานาธิบดีในปี 2016 นั้น แจ็ค หม่าคือชาวจีนคนแรกๆ ที่เขานัดเจอเลยทีเดียว
ความสำเร็จมากมายทำให้ฉายา ‘Daddy Ma’ ติดปากคนบนโลกออนไลน์ นอกเหนือจากงานที่บริษัทแล้ว เขายังถูกรับเชิญไปเป็นนักพูดในเวทีระดับโลกอยู่เป็นประจำ
แต่ช่วงหลัง ภาพลักษณ์ของเขากลับเปลี่ยนไป จาก ‘Daddy Ma’ ที่ใครๆ ต่างก็เชิดชูในความสามารถและเฉลียวฉลาด กลายเป็นคนที่รัฐบาลและชาวจีนหลายต่อหลายคนเรียกว่าเป็น ‘ตัวร้าย’ (Villain) และ ‘นายทุนผู้ชั่วร้าย’ (Evil Capitalist) หรือเลวร้ายถึงขั้นเรียกเป็น ‘ผีดูดเลือด’ เลยทีเดียว
สำนักงานกำกับดูแลตลาดแห่งชาติจีน หรือ State Administration for Market Regulation (SAMR) ระบุจากการสอบสวน Alibaba ทำให้พบพฤติกรรมผูกขาดบางอย่าง โดยกำหนดให้ร้านค้าหรือผู้ขาย ต้องลงนามความร่วมมือพิเศษ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ขายนำสินค้าไปขายบนแพลตฟอร์มของคู่แข่ง ในขณะเดียวกันก็มีการตรวจสอบ Ant Group บริษัท FinTech เจ้าของ Alipay ที่แยกออกมาจาก Alibaba เพิ่งถูกรัฐบาลจีนระงับการเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น โดยสาเหตุคาดว่าน่าจะมาจากการที่แจ็ค หม่า ตำหนิการทำงานของหน่วยงานกำกับดูแลและระบบธนาคารว่าทำงานเหมือนกับ “pawnshops” หรือโรงรับจำนำที่ให้ยืมเฉพาะคนที่สามารถหาหลักค้ำประกันมาให้ได้เท่านั้น
ถ้ามองเพียงพื้นผิวแล้ว นี่อาจจะดูเหมือนเป็นปัญหาแลกหมัดระหว่างรัฐบาลกับแจ็ค หม่า และอาณาจักร Alibaba ที่เขาสร้างขึ้นมา แต่ถ้ามองลึกลงไปอีกหน่อย มีเทรนด์บางอย่างดูไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่สำหรับทั้งรัฐบาลจีนและผู้ประกอบการหลายคนๆ (แจ็ค หม่ารวมอยู่ในนั้น) เพราะชาวจีนหลายคนเริ่มรู้สึกว่าโอกาสเหมือนอย่างที่แจ็ค หม่า เคยมีกำลังหายไปแล้ว (แม้จะมีการคาดการณ์ถึงอนาคตว่าผู้บริโภคสินค้าฟุ่มเฟือยในจีนจะเติบโตขึ้นกว่า 50% จากปี 2019 ก็ตามที) นักศึกษาจบใหม่แม้จะมาจากต่างประเทศก็ได้รับเงินเดือนไม่สูงมากและอาชีพการงานไม่ค่อยดีนัก ค่าครองชีพและค่าใช้จ่ายในเมืองใหญ่ๆ ก็เริ่มแพงเกินไป ราคาบ้านก็สูงเกินกว่าจะเอื้อมถึงสำหรับพนักงานที่เริ่มทำงาน ปัญหาเรื่องภาระหนี้สินก็ตามมาด้วยจากการใช้จ่ายที่สูงมากขึ้น (Ant Group เองก็เป็นช่องทางหนึ่งที่คนรุ่นใหม่ใช้เพื่อกู้เงินมาใช้ด้วย)
ภายใต้ความสำเร็จทางธุรกิจของประเทศจีน ความเหลื่อมล้ำและความรู้สึกอิจฉาโกรธเกลียดคนรวยที่เรียกกันว่า ‘Wealthy-Hating Complex’ หรือ ‘Chou Fu’ นั้นก่อตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง แต่ครั้งนี้ในกรณีของแจ็ค หม่า นั้นดูเหมือนว่าจะรุนแรงกว่าทุกที มีโพสต์อันหนึ่งที่เขียนถึงแจ็ค หม่า อย่างค่อนข้างรุนแรงว่าคนอย่างเขาจะต้องถูกแขวนคอที่เสาไฟตามท้องถนน (อ้างอิงถึง À La Lanterne ใน French Revolution ซึ่งเป็นวิธีการประหารชนชั้นสูงของกลุ่มผู้ประท้วง หรือ ชาวบ้านนั่นเอง เป็นวิธีบ้านๆ โดยการเเขวนคอคนกับเสาไฟตามถนน) ซึ่งบทความนี้ถูกกดไลก์ไปกว่า 122,000 ครั้งบน Weibo (ทำงานคล้ายกับ Twitter แต่เป็นสัญชาติจีน) และถูกอ่านไปกว่า 1 แสนครั้งบนแอปพลิเคชัน WeChat
นี่เป็นสัญญาณบางอย่างที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่สำหรับผู้ประกอบการและธุรกิจภายใต้การนำของสี จิ้นผิง ผู้ที่ให้ความสำคัญกับความจงรักภักดีและการกุมอำนาจของพรรคให้มั่นคงขึ้น ซึ่งหมายถึงการกำจัดอิทธิพลอื่นนอกระบอบพรรค นั่นคืออิทธิพลภาคธุรกิจ หลักการ ‘รัฐเป็นเจ้าของทุกสิ่งทุกอย่างนั้นไม่อาจสั่นคลอนได้’ ยิ่งเด่นชัดมากขึ้นในการประชุมงานด้านเศรษฐกิจส่วนกลาง (Central Economic Work Conference) สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 18 ธันวาคมที่ผ่านมา มีส่วนหนึ่งที่พูดเกี่ยวกับกฎข้อบังคับทางธุรกิจในอนาคตว่าจะมีการตรวจสอบที่เข้มงวดมากขึ้นและ ‘เสริมสร้างการปราบปรามการผูกขาดและการป้องกันการขยายตัวอย่างไร้ระเบียบของเงินทุน’ ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อมีคำแถลงแบบนี้ออกมายิ่งทำให้นักธุรกิจหลายคนเริ่มสงสัยแล้วว่าทิศทางที่รัฐบาลจีนกำลังจะเดินหน้าต่อไปนั้นจะเป็นอย่างไร สื่อหนังสือพิมพ์อย่าง Nikkei หรือ New York Times ก็มีการพูดถึงประเด็นนี้เช่นเดียวกันว่าการงัดข้อกันระหว่าง Ant Group และ รัฐบาลจีนเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดข้อสงสัยในเรื่องอนาคตที่จะมาถึง
Fred Hu ผู้ก่อตั้งบริษัทลงทุน Primavera Capital Group ในฮ่องกง (ซึ่งก็ถือหุ้นใน Ant Group ด้วย) กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า “คุณต้องเลือกระหว่างมีอำนาจควบคุมทุกอย่างหรือคุณจะมีระบบเศรษฐกิจที่สร้างสรรค์และเต็มไปด้วยนวัตกรรม แต่มันดูเป็นไปไม่ได้เลยว่าคุณจะมีได้ทั้งสองอย่าง”
สี จิ้นผิง แสดงเจตนารมณ์ที่ค่อนข้างชัดว่าบุคคลแบบอย่างที่เขาชื่นชอบต้องเป็นแบบไหน หลังจากที่รัฐบาลจีนเข้าแทรกแซงการเข้าตลาดหุ้นของ Ant Group ได้ไม่กี่วัน สี จิ้นผิง ไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ที่สร้างขึ้นเพื่อแสดงผลของนักอุตสาหกรรมชื่อ Zhang Jian ผู้โด่งดังเมื่อร้อยกว่าปีก่อน สร้างโรงเรียนหลายร้อยโรงเรียน โดยสี จิ้นผิง เคยพูดถึง Zhang ไว้หลายครั้งว่าเป็นแบบอย่างของบุคคลที่น่านับถือและบอกทุกคนว่า “ความจงรักภักดีต่อชาติ” เป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่สุด (แม้ว่าสี จิ้นผิงจะไม่เคยบอกว่าตอนที่ Zhang เสียชีวิตนั้นเขาเป็นบุคคลล้มละลายก็ตาม)
แม้ว่าแจ็ค หม่า จะมีโครงการการกุศลหลายโครงการ ทั้งโครงการด้านการศึกษาในชนบท และให้โอกาสผู้ประกอบการที่มีความสามารถในแอฟริกา แต่เขาเองก็แตกต่างจาก Zhang อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะด้วยนิสัยของเขาเองที่กล้าได้กล้าเสีย พูดจาอย่างแข็งกร้าว และในหลายๆ ครั้งก็ท้าทายอำนาจของรัฐบาล ดูอย่างตอนที่เขาสร้าง Alipay ในปี 2003 ที่ทำให้ธุรกิจของเขากลายเป็นเป้าความสนใจของรัฐบาลเพราะเกี่ยวโยงกับเรื่องเงินของคนในประเทศโดยตรง เขาบอกว่า “ถ้าจะมีคนต้องติดคุกเพราะ Alipay ขอให้เป็นผมเอง” หรืออย่างเช่น “ถ้ารัฐบาลต้องการ เดี๋ยวผมเอาให้เลย” ซึ่งหลายๆ คนก็คิดว่าเขาน่าจะแค่หยอกเล่น แต่ในมุมของรัฐบาลอาจจะไม่ได้คิดในทำนองเดียวกัน
แต่ใครจะรู้, ถึงเวลานี้คำกล่าวเหล่านั้นอาจจะกลายเป็นความจริงขึ้นมาก็ได้
วันนี้ที่ Alibaba และคู่แข่งอย่าง Tencent ถือข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าจำนวนมหาศาลไว้ในมือ เทคโนโลยีเหล่านี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนจีนอย่างที่ Google หรือ Facebook เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนทั้งโลก แต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือบริษัทเหล่านี้อยู่ในประเทศจีนที่รัฐบาลเข้าไปแทรกแซงเมื่อไหร่ก็ได้ที่รู้สึกว่าบริษัทเหล่านี้เริ่มมีอำนาจในมือมากเกินไปหรือเริ่มแข็งกร้าว หลายคนอาจจะลืมไปว่าบริษัทที่ผูกขาดและสร้างรายได้มหาศาลในประเทศจีนเป็นของรัฐทั้งนั้น เช่น China Mobile, Bank of China, ระบบไฟฟ้า, การสื่อสาร และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการใช้ชีวิตประจำวัน
เพราะฉะนั้นวันหนึ่งถ้ารัฐบอกให้แจ็ค หม่า ยื่น Alibaba หรือ Ant Group ให้รัฐไปดูแลจริงๆ ก็อาจจะไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่นัก
อ้างอิง