ณัฐกานต์ อมาตยกุล เรื่อง
‘ตรวจสุขภาพคุณพ่อสุดหล่อ’[1]
ภาพโฆษณาแพ็กเกจในเว็บไซต์ปรากฏรูปหญิงสาววัยทำงานใช้สองมือโอบคอของชายชราด้วยความรักใคร่แบบคนครอบครัว ทำให้เราอดนึกถึงผู้สูงอายุที่บ้านตัวเองไม่ได้
เขาจะสบายดีไหม มีโรคภัยอะไรเติบโตอยู่ภายในร่างกาย มีความเจ็บปวดใดแอบซ่อนอยู่ใต้รอยยิ้มและท่าทางกระฉับกระเฉงหรือเปล่า
ความกลัวเริ่มคืบคลานทุกวันเกิดที่ผ่านไป โบรชัวร์ตามโรงพยาบาลแนะนำว่าคนอายุถึงเกณฑ์เท่าไหร่ควรไปตรวจสุขภาพ บางแพ็กเกจนำเสนอรายการตรวจละเอียดยิบเพื่อคนรักพ่อแม่ เราย่อมเป็นห่วงสุขภาพของคนที่รัก แต่ความเข้าใจผิดอย่างหนึ่งคือการคิดว่าความรักแสดงออกได้ด้วยการพาคนรักไปใกล้มือหมอ
แล้วเผลอทำร้ายผู้มีพระคุณโดยไม่รู้ตัว
ตะกร้าแพ็กเกจ
หากเราเข้าไปชมเว็บไซต์ของโรงพยาบาลต่างๆ จะพบว่าในปัจจุบันมีแพ็กเกจตรวจสุขภาพหลากหลายรูปแบบ (ข้อมูลจนถึงเดือนสิงหาคม 2560) จัดรายการตรวจออกมาให้ตอบสนองความต้องการที่ต่างกัน เช่น โปรแกรมตรวจสำหรับวัยทำงาน สำหรับคนออกกำลังกาย สำหรับตรวจเพื่อชะลอความชรา สำหรับคนจะแต่งงาน ฯลฯ
เมื่ออ่านรายละเอียดจะพบว่า มีรายการพื้นฐานที่ซ้ำซ้อนกันบ้าง แต่เพิ่มเติมบางรายการที่เหมาะกับความต้องการของผู้รับการตรวจ เช่น วัยทำงานซึ่งใช้ชีวิตในออฟฟิศ ก็อาจมีการตรวจฮอร์โมนความเครียด (Stress Hormone หรือ Cortisol) เพิ่มขึ้นมา ซึ่งดูจะเข้ากันดีกับไลฟ์สไตล์อันเคร่งเครียดของพวกเขา บางแห่งที่ให้บริการก็ไม่ใช่สถานพยาบาล แต่เรียกตัวเองว่าเป็น ‘ผู้ให้บริการด้านการสนับสนุนบริการทางการแพทย์และธุรกิจโรงพยาบาล’ ซึ่งใช้นักเทคนิคการแพทย์ตรวจและอ่านผล ค่าใช้จ่ายไม่รวมค่าบริการแพทย์ไปด้วย
อย่างไรก็ตาม แพ็กเกจเหล่านี้นอกจากจะดูสะดวก ไม่ต้องคิดเองแล้ว ยังทำให้เรารู้สึกว่าคุ้มค่า ทั้งค่าบริการและค่าเดินทางในการไปตรวจ ทำนองเดียวกับโปรโมชั่นร้านอาหารต่างๆ ที่จัดรายการมาในราคาเหมา แล้วบอกว่าลดแล้ว
แต่หากเราอยากเลือกรายการเองแบบไม่ง้อแพ็กเกจ ก็อาจต้องปวดหัวนิดหน่อย เมื่อพบกับชื่อวิธีการตรวจไม่คุ้นหู หรือถึงจะมีคำอธิบายประกอบ เราก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดีว่าสิ่งนี้จำเป็นสำหรับเราหรือไม่ โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งมีแบบสอบถามออนไลน์เพื่อจัด ‘โปรแกรมตรวจสุขภาพที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล’ ไว้คอยอำนวยความสะดวก
เพียงเรากรอกข้อมูลส่วนตัว เช่น อายุ เพศ ความสนใจ ประวัติโรคในครอบครัว ฯลฯ โปรแกรมก็จะลิสต์รายการตรวจที่เหมาะสมมาให้
แต่ไปๆ มาๆ ราคารายการทั้งหมดที่ได้นั้น ก็ไม่แน่ว่าจะออกมาแพงกว่าแพ็กเกจมาตรฐาน แล้วนำเรากลับมากุมขมับกับคำถามเดิม
เราจำเป็นต้องตรวจหรือไม่
และถ้าต้องตรวจ ก็มีตัวเลือกในด้านต่างๆ ที่ต้องจับมาผสมกันให้พอดี ทั้ง ผู้ให้บริการ x แพ็กเกจ x รายการตรวจเสริม (คล้าย add-on) x ราคา
ในฐานะผู้บริโภค ข้อมูลมหาศาลเหล่านี้ทำให้เราสับสน ไม่รู้ว่าอะไรสำคัญหรืออะไรตัดทิ้งได้ ส่วนหนึ่งอาจเพราะการให้ความรู้ทางการแพทย์เหล่านี้เป็นหน้าที่ของหมอแต่เพียงผู้เดียว
แต่สุดท้ายเราอาจได้ข้อสรุปในใจว่า ยิ่งตรวจเยอะยิ่งดี พร้อมควักกระเป๋าออกมานับเงินอย่างเสียไม่ได้
ความห่วงใยที่มีราคา
พอพูดว่า ‘การตรวจสุขภาพประจำปี’ วลี ‘ประจำปี’ เราอาจจะผ่อนคลายความเคร่งครัดในการใช้จ่ายลงไป ปลอบใจตัวเองว่าถึงจะเป็นเงินก้อนใหญ่ แต่ก็จ่ายเพียงปีละครั้ง แลกกับการลดความเสี่ยงทางสุขภาพในระยะยาว
แต่เงินจำนวนนี้เมื่อรวมกันทั้งประเทศก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ
ข้อมูลจากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติปี พ.ศ. 2552 แสดงให้เห็นว่าคนไทยใช้จ่ายเงินส่วนตัวในการตรวจคัดกรองสุขภาพรวมกันสูงถึง 2,200 ล้านบาท ซึ่งนี่ยังไม่รวมงบประมาณที่ใช้ในการตรวจคัดกรองสุขภาพของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (ระบบบัตรทอง) และระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลสำหรับข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ ซึ่งรวมทั้งประเทศไม่น่าจะออกมาต่ำกว่า 5 พันล้านบาทต่อปี[2]
หากเราขยับมาสำรวจราคาแพ็กเกจตรวจสุขภาพของแต่ละโรงพยาบาลในระยะใกล้ จะพบว่าอาจเริ่มจาก 999 บาทซึ่งมักเป็นการตรวจเลือด ไปจนถึง 37,000 บาท (สำรวจจากผู้ให้บริการตัวอย่าง 7 แห่ง) ขึ้นอยู่กับโปรโมชั่นและรายการที่ต้องตรวจ ซึ่งมักแปรผันตามอายุของผู้เข้ารับการตรวจ ทั้งนี้เป็นเพราะว่า ยิ่งแก่ ยิ่งต้องตรวจหลายรายการมากขึ้น (แต่ก็ไม่เสมอไป) และผู้หญิงมักมีค่าใช้จ่ายมากกว่าผู้ชาย เนื่องจากบางรายการเป็นการตรวจเฉพาะในเพศหญิงเท่านั้น เช่น ตรวจหามะเร็งเต้านมและมะเร็งปากมดลูก
จากงานวิจัยเรื่อง ‘การตรวจคัดกรองสุขภาพที่เหมาะสมสำหรับสังคมไทย’ พบว่า โปรแกรมตรวจคัดกรองที่ประชาชนควรตรวจ 12 รายการ ได้แก่ การตรวจเอชไอวี การตรวจโรคตับแข็ง มะเร็งตับ การตรวจโลหิตจาง ภาวะทุพโภชนาการ โรคเบาหวาน โรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็งปากมดลูก ปัญหาการดื่มสุรา และการตรวจสายตา จะมีค่าใช้จ่ายรวมกันเพียง 380-400 บาทต่อคนต่อปีเท่านั้น[3]
‘คัดกรอง’ คำที่ต้องทำความเข้าใจ
ย้อนกลับไปดูตารางแพ็กเกจตรวจสุขภาพและราคาที่ต้องจ่าย เราคงต้องทบทวนความเข้าใจของตัวเองอีกครั้งว่า คนเราตรวจสุขภาพไปเพื่ออะไร
ตรวจสุขภาพเป็นเรื่องดีที่ควรทำ แต่ไม่ใช่การตรวจร่างกายทุกอย่างจะมีปลายทางเป็นเรื่องราวดีๆ
เวลาเราพูดถึงการตรวจสุขภาพ แท้จริงแล้วเราจะหมายถึง ‘การตรวจคัดกรอง’ เพื่อค้นหา ‘ความเสี่ยง’ หรือ ‘โรค’ ของบุคคลซึ่งไม่ทราบมาก่อน ว่าตนเองมีความเสี่ยงหรือเป็นโรค เพื่อ ‘ป้องกัน’ ความเสี่ยงหรือ ‘ลด’ ภาวะแทรกซ้อนจากโรคต่อไป
เพราะฉะนั้นการตรวจคัดกรองจึงเป็นคนละเรื่องกับการตรวจวินิจฉัยของผู้ที่มีอาการของโรคออกมาแล้ว ซึ่งในบางครั้งการใช้อุปกรณ์การตรวจทั้งสองกรณีนี้จะแตกต่างกันตามจุดประสงค์การใช้งาน
แต่การคัดกรองไม่ได้หมายความว่า หากตรวจแล้วไม่พบอะไร จะออกจากโรงพยาบาลไปใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงได้ เพราะหากเป็นเช่นนั้น การตรวจสุขภาพน่าจะให้ผลร้ายมากกว่าผลดี ตรงกันข้าม การตรวจคัดกรองมีจุดประสงค์ที่จะทำให้เราปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหากมีความเสี่ยงจะเกิดโรคบางโรค
อย่างไรก็ตาม แม้แพทย์จะใช้อุปกรณ์และความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่แสนครบครัน ดูแล้วไม่งมงาย แต่เราไม่อาจไว้ใจผลลัพธ์ที่ออกมาได้เสมอไป โดยเฉพาะเมื่อเราไม่ได้มีฐานะเป็นเพียงแค่ ‘ผู้รับการตรวจ’ แต่ยังเป็น ‘ผู้บริโภค’ ซึ่งทุกขั้นตอนพ่วงมาด้วยค่าใช้จ่าย
ศัพท์ 2 คำที่ควรรู้ในการตรวจคัดกรอง คือ ความไวของการตรวจ (sensitivity) และ ความจำเพาะของการตรวจ (specificity) แม้มันจะฟังดูน่าเกาหัวสักแค่ไหน
ความไวของการตรวจ หมายถึง ค่าร้อยละที่แสดงสัดส่วนของผู้ที่มีความเสี่ยงหรือป่วยที่ตรวจแล้วให้ผลบวก เช่น ความไวร้อยละ 90 หมายความว่าในจำนวนคนที่มีความเสี่ยงหรือป่วยทั้งหมด 100 คน จะมีการตรวจพบ 90 คนเท่านั้น (ส่วนอีก 10 คนที่ควรตรวจพบ ก็กลับหลุดรอดไป)
ความจำเพาะของการตรวจ หมายถึง ค่าร้อยละที่แสดงสัดส่วนของผู้ที่ไม่มีความเสี่ยงหรือไม่เป็นโรคแล้วให้ผลออกมาเป็นลบ เมื่อเทียบกับจำนวนผู้ไม่มีความเสี่ยงทั้งหมด เช่น ความจำเพาะร้อยละ 95 หมายความว่าในจำนวน 100 คน จะมี 5 คนที่ถูกระบุว่าเสี่ยงหรือป่วย ทั้งที่ความจริงแล้วไม่ได้มีความเสี่ยงหรือป่วยเลย
ถ้าความไวของการตรวจมาก โอกาสที่คนป่วยจริงๆ จะถูกพบ ก็จะสูงตาม
ถ้าความจำเพาะของการตรวจมาก โอกาสที่คนที่ไม่ป่วยจะถูกระบุว่าป่วย ก็จะน้อยลง ไม่ต้องไปรับการตรวจยืนยันที่อาจอันตรายกับสุขภาพมากยิ่งขึ้น หรือไปรับการรักษาจนเกิดผลข้างเคียง ทั้งๆ ที่ตัวเองอาจจะไม่ได้เป็นอะไรเลยตั้งแต่แรก
แต่ข้อเสียก็คือ การตรวจที่มีค่าความจำเพาะสูงเช่นนี้ก็อาจทำให้มีค่าความไวต่ำ ส่งผลให้ตรวจไม่เจอคนที่ป่วยหรือมีความเสี่ยงจริงๆ
พูดง่ายๆ ก็คือได้อย่างก็เสียอย่าง ไม่มีวิธีการตรวจใดที่เราจะมั่นใจได้เต็มร้อย ไม่ว่าผลจะออกมาว่าเราป่วยหรือร่างกายปกติ
และบางครั้งการตรวจมากก็ไม่ได้ทำให้อัตราเสี่ยงเป็นโรคต่างๆ ลดน้อยลง
เพราะฉะนั้นทางที่ดี เราก็ตรวจกันเฉพาะเท่าที่จำเป็นก็พอ
อะไรบ้างที่ควรตรวจ และตรวจช่วงเวลาไหน
โครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (Health Intervention and Technology Assessment Program : HITAP) ได้รวบรวมข้อคิดเห็นทางวิชาการจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาที่เกี่ยวข้องกว่า 60 ท่าน แนะนำรายการที่คนทั่วไปควรตรวจคัดกรองจริงๆ แต่อาจจะไม่จำเป็นต้องตรวจทุกปี
- ตรวจเบาหวาน สำหรับคนที่มีอายุมากกว่า 30 ปีขึ้นไป ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดโดยการเจาะเลือดหลังการงดอาหาร 8 ชั่วโมง ตรวจทุกๆ 5 ปี
- วัดดัชนีมวลกาย (BMI) และเส้นรอบเอว สำหรับทุกเพศทุกวัย การวัดดัชนีมวลกายเป็นการคำนวณจากน้ำหนักตัว (กิโลกรัม) หารด้วยส่วนสูง (เมตรยกกำลังสอง) ดัชนีมวลกายปกติอยู่ระหว่าง 18.5-22.9 กิโลกรัม/ตารางเมตร ส่วนการวัดเส้นรอบเอวเพื่อพิจารณาภาวะอ้วนลงพุง ซึ่งสามารถประเมินได้จากเส้นรอบเอว โดยผู้หญิงไม่ควรเกิน 80 เซนติเมตร (32 นิ้ว) และผู้ชายไม่ควรเกิน 90 เซนติเมตร (36 นิ้ว)
- โรคหัวใจขาดเลือดและโรคหลอดเลือดสมอง เนื่องจากเป็นสาเหตุการเสียชีวิตลำดับต้นๆ ของคนไทย ปัจจุบันยังไม่มีการตรวจคัดกรองโดยตรง แต่เป็นการคัดกรองโดยค้นหาปัจจัยเสี่ยง แนะนำให้ตรวจสำหรับผู้ที่อายุมากกว่า 35 ปี และควรตรวจทุก 5 ปี หากอายุมากกว่า 65 ปี ควรตรวจคัดกรองโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิด Atrial Fibrillation ด้วยการตรวจวัดชีพจรด้วย
- ภาวะโลหิตจาง แนะนำให้พาบุตรหลานอายุ 9-12 เดือน ไปตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete blood count : CBC) หรือตรวจปริมาตรเม็ดเลือดแดงอัดแน่น (Hematocrit : Hct)
- ไวรัสตับอักเสบบี ตรวจหาการติดเชื้อเมื่ออายุตั้งแต่ 31-40 ปี ก่อนจะพัฒนาไปเป็นมะเร็งตับ ตับวาย หรือตับแข็ง
- ตรวจหาเชื้อเอชไอวี ตรวจฟรีในโรงพยาบาลรัฐทุกแห่ง ไม่ว่าจะอยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือไม่
- ตรวจมะเร็งปากมดลูก สตรีอายุ 30-60 ปี ตรวจฟรี และแนะนำให้ตรวจทุก 5 ปี
- ตรวจมะเร็งเต้านม ตรวจด้วยเครื่องแมมโมแกรม ตั้งแต่อายุ 40-70 ปี ตรวจทุก 3 ปี
- มะเร็งลำไส้ ตรวจตั้งแต่ 60-70 ปี โดยการตรวจหาเลือดในอุจจาระทุก 1-2 ปี
หากต้องการตรวจสอบว่าตัวเองควรตรวจคัดกรองอะไรบ้าง สามารถเข้าไปใช้โปรแกรมออนไลน์ บอกรายการที่ควรตรวจออกมา ที่เว็บไซต์ HITAP
ตรวจฟรีแต่ไม่มีใครรู้
สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า เรื่องเกี่ยวกับบริการทางการแพทย์ที่มักมีคนโทรมาหามูลนิธิฯ จำนวน 50.47 เปอร์เซ็นต์เป็นการสอบถามเรื่องสิทธิประโยชน์ต่างๆ รองลงมาคือการได้รับความเสียหายจากการรักษาพยาบาล ตามด้วยการร้องเรียนเรื่องมาตรฐานบริการสาธารณสุข
“เขามักโทรมาสอบถามเรื่องสิทธิ ยกตัวอย่างเช่น ไม่รู้ว่าผู้หญิงอายุ 35 ปีจะได้รับบริการตรวจมะเร็งปากมดลูกฟรีทุกคน”
เช่นเดียวกับหลายคนที่โทรเข้ามา เราหลายคนก็คงไม่เคยได้ยินสิทธิที่ว่านี้มาก่อน
ข้อมูลจากเอกสาร 10 เรื่องควรรู้ สิทธิหลักประกันสุขภาพ ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)[4] ระบุว่า สปสช. ได้ดำเนินการร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขเพื่อจัดให้คนไทยทุกกลุ่มวัยได้เข้าถึงบริการเพื่อการเสริมสร้างพฤติกรรมสุขภาพที่ถูกต้อง ป้องกันการเจ็บป่วย และลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่เกิดจากการรักษาพยาบาลได้ ซึ่งในรายการดังกล่าวประกอบไปด้วย บริการสำหรับแม่และเด็ก บริการสำหรับเด็กแรกเกิดถึง 5 ปี เด็ก 6-12 ปีและวัยรุ่น วัยทำงาน ผู้สูงอายุ ไปจนถึงประชากรกลุ่มเสี่ยง รายละเอียดตามตารางข้างล่าง

หากใช้สิทธิตามที่ระบุไว้ นอกจากจะเป็นการตรวจที่เหมาะสมกับช่วงวัยแล้ว ยังทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่าการตรวจตามแพ็กเกจของโรงพยาบาลทั่วไป
“แต่บางทีพอเราไปตรวจ เขาก็ไม่ตรวจให้หรอก หรือบางทีเราบอกว่าเราน้ำหนักเกิน อายุ 50 ปีแล้ว ควรจะได้ตรวจเบาหวาน ตรวจน้ำตาล แต่มันกลับไม่ง่ายอย่างนั้น” สารีกล่าว
“ทั้งๆ ที่เรามีสิทธิประโยชน์อยู่ สิทธิที่จะส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค แต่ในทางปฏิบัติจริง การใช้สิทธิเหล่านี้ไม่ได้ง่าย ยกเว้นเวลาคุณป่วยถึงจะใช่ได้ เพราะบริการด้านการส่งเสริมสุขภาพนั้น ยังเป็นเรื่องที่เขาให้ความสำคัญน้อย”
บางสิ่งที่ไม่ควรตรวจ
เรามักคิดในแง่ดีว่าการตรวจสุขภาพจะช่วยสกัดความเสี่ยงในการเผชิญโรคร้าย และต่ออายุเราและคนที่เรารักไปอีกนานๆ
แต่ด้านมืดของการตรวจสุขภาพก็มีอยู่ และมักไม่มีใครพูดถึง
ด้านที่ว่ามันอาจนำชีวิตเราไปสู่จุดจบก่อนวัยอันควร
การตรวจร่างกายละเอียดยิบย่อยและฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็น ไม่เพียงทำให้เราเสียเงินทองเปล่า แต่อาจเปลืองตัว เพราะความจริงก็คือ มิใช่ผู้ป่วยทุกรายที่ ‘มี’ ความผิดปกติทางพยาธิวิทยา (มีความผิดปกติของเซลล์หรือการทำงานของอวัยวะ) จะต้อง ‘เจ็บป่วย’ จากความผิดปกตินั้น เช่น มะเร็งในบางคนก็ไม่ลุกลามจนเกิดโรค หากปล่อยไว้เฉยๆ ก็ไม่ส่งผลเสียหายอะไรด้วยซ้ำ
แต่ถ้าดันตรวจพบ แล้วตัดสินใจไปรักษา ก็กลายเป็นว่าผู้ป่วยจะพบกับความเสี่ยงที่มากขึ้น บางคนอาจรุนแรงถึงชีวิต กลายเป็นโศกนาฏกรรมจากการตรวจสุขภาพ
ไม่เพียงแต่ความทุกข์จากการเปิดกล่องแพนดอราออกมา การตรวจบางอย่างไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง แถมในกระบวนการตรวจก็ส่งผลเสียต่อร่างกายด้วย ยกตัวอย่างเช่น
- การตรวจคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมากด้วย PSA มะเร็งต่อมลูกหมากเป็นมะเร็งที่ไม่รุนแรง และคนไข้หลายรายไม่เสียชีวิต การรักษาจึงไม่ได้ประโยชน์อะไร แต่กลับเกิดโทษหากมีการวินิจฉัยเพิ่มเติมและรักษา เช่น การตรวจชิ้นเนื้ออาจนำไปสู่การหย่อนสมรรถภาพทางเพศ กลั้นปัสสาวะและอุจจาระไม่ได้ หรือบางรายถึงขั้นเสียชีวิตจากโรคแทรกซ้อน นอกจากนี้ PSA ไม่มีความจำเพาะต่อมะเร็งต่อมลูกหมาก เพราะระดับ PSA อาจสูงขึ้นจากสาเหตุอื่นๆ ก็ได้
- เอ็กซ์เรย์ปอด การเอ็กซ์เรย์ปอดเพื่อหาวัณโรคในคนที่ไม่มีอาการนั้น โอกาสตรวจพบวัณโรคน้อยมาก ในทางตรงข้าม รังสีเอ็กซ์เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็ง และยังให้ผลบวกลวง (คือผู้ตรวจไม่ได้เป็นอะไร แต่ผลกลับแสดงว่าเป็น) ทำให้ต้องวินิจฉัยเพิ่มขึ้น เช่น ต้องส่องกล้องเข้าไปในระบบทางเดินหายใจ ผ่าตัดทรวงอก ซึ่งขั้นตอนเหล่านี้บางครั้งทำให้เกิดการบาดเจ็บ
และยังมีการตรวจที่แม้จะไม่เป็นอันตราย แต่ก็เป็นการเสียเงินไปเปล่า เช่น
- ตรวจเลือดเพื่อดูการทำงานของอวัยวะ ถือเป็นการตรวจแบบเหวี่ยงแห ตรวจการทำงานของตับ หรือตรวจการทำงานของไตในผู้ไม่มีอาการหรือประวัติความเสี่ยง จากการวัดระดับยูเรียไนโตรเจน (BUN) และครีอะตินีน (Creatinine) เนื่องจากสองอย่างนี้ไม่มีความจำเพาะ อาจเกิดจากการขาดน้ำ เสียเหงื่อ กินยาหรือเนื้อสัตว์บางชนิด อีกทั้งการตรวจแบบนี้จะให้ผลผิดปกติต่อเมื่อโรคลุกลามไปมากแล้ว ซึ่งถึงตอนนั้นก็สายเกินแก้เสียแล้ว
- อัลตราซาวด์ช่องท้องบางส่วน ไม่มีหลักฐานสนับสนุนว่ามีประโยชน์ แต่เมื่อตรวจแล้วกลับสร้างความกังวลใจทั้งที่อาจยังไม่ต้องรักษา แต่สำหรับเพศชายอายุมากกว่า 65 ปี แนะนำให้มีการตรวจอัลตราซาวด์ช่องท้องทั้งหมด เพื่อวินิจฉัยภาวะเส้นเลือดแดงใหญ่ในช่องท้องโป่งพองก่อนที่จะแตก
- ค้นหาโรคไตอักเสบ นิ่วในไต ควรตรวจเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจและหลอดเลือด
จากรายการที่ไม่ควรตรวจของ HITAP พบว่าแพ็กเกจของบางโรงพยาบาลและสถานบริการยังคงบรรจุรายการเหล่านี้อยู่ เนื่องจากความนิยม ทั้งๆ ที่บางอย่างหลายประเทศประกาศห้ามใช้แล้ว
บทสรุป
การตรวจสุขภาพหรือการตรวจคัดกรองเป็นหนึ่งในวิธีการสนับสนุนสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค แต่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เราเท่าทันและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม มากกว่าที่จะให้ชะล่าใจที่สุขภาพดี หรือวิตกกังวลต่อสิ่งที่ตรวจพบ (แต่อาจไม่มีผลอะไรเลย)
นอกจากนี้ ในฐานะประชาชนพลเมืองไทย เรายังมีสิทธิในการตรวจคัดกรองโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอายุและคุณสมบัติต่างๆ ของผู้รับการตรวจด้วย สามารถสอบถามได้ที่สายด่วน สปสช. โทร.1330
ก่อนไปตรวจสุขภาพ ควรศึกษาว่าในช่วงวัยและพฤติกรรมของเราจำเป็นต้องตรวจสุขภาพในด้านใดบ้าง ตามข้อมูลของ HITAP และหลีกเลี่ยงการตรวจสุขภาพในรายการที่ไม่จำเป็นหรือไม่มีหลักฐานเพียงพอว่าจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรค และยังเป็นอันตรายต่อร่างกายอีกด้วย
อ้างอิง
บทความเรื่อง ตรวจขี้ตา ตรวจขี้หู แล้วดูโรค จาก เว็บไซต์ นิตยสารออนไลน์ฉลาดซื้อ
เว็บไซต์ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)
ข่าวเรื่อง ตรวจสุขภาพอย่างไรไม่เปลืองเงิน จาก TCIJ
เชิงอรรถ
[1] ดัดแปลงจากชื่อแพ็กเกจจริงของสถานบริการทางการแพทย์แห่งหนึ่ง
[2] เอกสาร เช็คระยะสุขภาพ ตรวจดีได้ ตรวจร้ายเสีย โครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
[3] บทความเรื่อง ชี้คนไทยแห่ตรวจสุขภาพเสี่ยงรับผลกระทบไม่รู้ตัว จาก HITAP
[4] เอกสาร 10 เรื่องควรรู้ สิทธิหลักประกันสุขภาพ 2556 และ 2560 ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)