ธนสักก์ เจนมานะ เรื่อง
หลังรายงานความเหลื่อมล้ำ Global Wealth Report 2018 ของ Credit Suisse ได้ออกมาเผยข้อมูลว่า ประเทศไทยติดอันดับหนึ่งของโลกด้านความเหลื่อมล้ำของทรัพย์สิน โดยคนไทยที่รวยที่สุด 1% ถือครอง 66.9% ของทรัพย์สินทั้งประเทศ ประเด็นเรื่องความเหลื่อมล้ำของไทยจึงกลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง
ดราม่าที่เกิดขึ้นได้สร้างความสับสนพอสมควร ฝ่ายที่ไม่พอใจรายงานฉบับดังกล่าวต่างดาหน้าออกมาวิจารณ์ว่า Credit Suisse ใช้ข้อมูลเก่าตั้งแต่ปี 2549 ในการวิเคราะห์ พร้อมกันนั้นรัฐบาลและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ได้ออกมาอธิบายกับสังคมโดยใช้สถิติความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ (ซึ่งเป็นตัวชี้วัดคนละประเภทกับความเหลื่อมล้ำของทรัพย์สิน) ยืนยันว่า ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจของไทยไม่ได้แย่มากอย่างที่รายงานบอกไว้ แถมยังดีขึ้นเรื่อยๆ อีกต่างหาก
คำถามที่ตามมาโดยปริยายคือ ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำมากที่สุดในโลกจริงหรือไม่ และความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นตามที่สภาพัฒน์อธิบายไว้จริงหรือ ทั้งนี้กุญแจสำคัญที่จะตอบคำถามดังกล่าวได้คือ การได้มาซึ่งตัวชี้วัดที่สามารถสะท้อนความเหลื่อมล้ำที่ใกล้เคียงความเป็นจริงที่สุด
ในหนังสือ Capital in the Twenty-First Century อันโด่งดัง โธมา พิเก็ตตี้ (Thomas Piketty) และทีมวิจัยได้สร้างระเบียบวิจัยที่สามารถผลิตสถิติความเหลื่อมล้ำที่มีความแม่นยำ และได้รับการยอมรับอย่างสูงในวงวิชาการขึ้นมา โดยสถิติเหล่านี้ มีพื้นฐานอยู่บนบัญชีประชาชาติ ซึ่งมีความครอบคลุมทั้งรายได้และทรัพย์สิน
ในบทความนี้ ผู้เขียนจะสำรวจความเหลื่อมล้ำไทย โดยใช้ข้อมูลภาษีเงินได้และบัญชีประชาชาติตามระเบียบวิจัยของพิเก็ตตี้ เพื่อชี้ให้เห็นว่า สถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจของไทยนั้นยังอยู่ในระดับที่สูงมาก และไม่ได้ดีขึ้นในอัตราที่น่าพึงพอใจ และหากเปรียบเทียบทั้งในมุมมองรายได้กับทรัพย์สินกับประเทศอื่นๆ แล้ว ประเทศไทยน่าจะมีปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจรุนแรงเป็นอันดับต้นๆ ของโลกจริง
1. ปัญหาของสถิติความเหลื่อมล้ำของไทยที่ผ่านมา
ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อกระบวนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม สถิติความเหลื่อมล้ำไม่เพียงแต่เป็นตัวชี้วัดสุขภาพทางเศรษฐกิจในภาพรวมได้ดีเท่านั้น แต่การศึกษาพลวัตความเหลื่อมล้ำในระยะยาว ยังสามารถสะท้อนระบบเศรษฐกิจการเมือง โดยเฉพาะในแง่ความสัมพันธ์ระหว่างทุนและรัฐได้อย่างแหลมคมด้วย นอกจากนี้ ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจยังมาพร้อมกับความเหลื่อมล้ำทางสังคมด้านอื่นๆ เสมอ เช่น ด้านสุขภาพหรือด้านการศึกษา
ที่ผ่านมา ปัญหาหลักของงานวิจัยในประเด็นเรื่องความเหลื่อมล้ำทางรายได้และทรัพย์สิน คือความครอบคลุมของข้อมูลสำรวจครัวเรือนทางด้านสังคมและเศรษฐกิจ (สำนักงานสถิติแห่งชาติเป็นผู้จัดเก็บ) โดยเฉพาะความครอบคลุมครัวเรือนที่รวยที่สุดในประเทศ มักไม่เพียงพอที่จะสะท้อนระดับเงินได้หรือมูลค่าทรัพย์สินที่แท้จริงของคนกลุ่มนี้ ดังนั้น ตัวเลขความเหลื่อมล้ำที่คำนวณขึ้นมาจากข้อมูลสำรวจครัวเรือนฯ มักจะต่ำกว่าความเป็นจริง ซึ่งจะมากหรือน้อยนั้น ขึ้นอยู่กับว่า (1) การจัดเก็บข้อมูลครอบคลุมครัวเรือนที่มีรายได้สูงได้มากน้อยเพียงใด (2) การรายงานเงินได้ของครัวเรือนที่รวยที่สุดในการสำรวจครัวเรือน ตรงกับความเป็นจริงเพียงใด และ (3) ความเหลื่อมล้ำจริงในสังคมมากหรือน้อยเพียงใด
ประเด็นสุดท้ายนี้สำคัญมาก เพราะหากความเหลื่อมล้ำจริงในสังคมมีมาก ความคลาดเคลื่อนที่เกิดจากข้อ (1) และ (2) ย่อมมากตามไปด้วย สมมติว่าข้อมูลสำรวจครัวเรือนของจีน ไทย และฝรั่งเศส ไม่สามารถสอบถามครัวเรือนที่มีรายได้มากที่สุด 1% ในประเทศนั้นๆ สถิติความเหลื่อมล้ำที่คำนวณจากข้อมูลประเทศฝรั่งเศส จะใกล้ภาพความเป็นจริงมากกว่าสถิติของจีนหรือไทย เป็นต้น
ดังนั้น สถิติความเหลื่อมล้ำที่คำนวณขึ้นมาจากข้อมูลสำรวจครัวเรือน เช่น สถิติของสภาพัฒน์ หรือธนาคารโลก ซึ่งอาศัยข้อมูลสำรวจครัวเรือนของไทยเพียงอย่างเดียว มักจะต่ำกว่าความเป็นจริงเสมอ และภาพสถานการณ์ระยะยาวจะเชื่อถือไม่ได้
ภาพที่ 1: อัตราส่วนเงินได้เฉลี่ยตาม percentile จากข้อมูลภาษีและข้อมูลสำรวจครัวเรือนทางด้านสังคมและเศรษฐกิจ (SES)

ด้วยเหตุผลนี้จึงเกิดกระแส ‘รื้อ’ สถิติความเหลื่อมล้ำทางรายได้และสินทรัพย์ในวงการวิชาการระดับนานาชาติ งานวิจัยเหล่านี้ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตั้งแต่ปี 2556 หลังจากที่ โธมา พิเก็ตตี้ (Thomas Piketty) นักเศรษฐศาสตร์ประวัติศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ได้ตีพิมพ์หนังสือ Capital in the Twenty-First Century งานวิจัยที่พิเก็ตตี้และทีมวิจัยทำได้รับความสนใจเป็นพิเศษ เพราะระเบียบวิจัยที่สามารถผลิตสถิติความเหลื่อมล้ำที่มีความแม่นยำและน่าเชื่อถือมากขึ้น (นอกจากนี้ข้อมูลที่ตีพิมพ์ ยังย้อนกลับไปถึงร้อยปีสำหรับประเทศฝรั่งเศสและสหรัฐอเมริกา) และสถิติเหล่านี้ มีพื้นฐานอยู่บนบัญชีประชาชาติ ทำให้สามารถนำสถิติเหล่านี้มาเปรียบเทียบระหว่างประเทศได้
สำหรับความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ในกรณีของไทย กรมสรรพากรมีรายงานข้อมูลภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นรายบรรทัดตั้งแต่ปี 2544 ซึ่งสามารถนำมาใช้ร่วมกับข้อมูลสำรวจครัวเรือนที่มีข้อจำกัดที่กล่าวไว้ได้ พอนำข้อมูลสองชนิดนี้มาเปรียบเทียบกัน เราสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนถึงข้อจำกัดในความครอบคลุมคนรวย ในข้อมูลสำรวจครัวเรือน โดยภาพที่ 1 แสดงอัตราส่วนระหว่างเงินได้เฉลี่ยของกลุ่มที่รวยที่สุด 10% จากข้อมูลภาษีและข้อมูลสำรวจครัวเรือน เห็นได้ชัดเจนว่า รายได้เฉลี่ยที่คำนวณจากข้อมูลครัวเรือนต่ำกว่าความเป็นจริงถึงสองเท่าสำหรับกลุ่มที่รวยที่สุด 1%
ภาพที่ 2: ค่าสัมประสิทธ์จีนี 2544-2559

เมื่อนำข้อมูลทั้งสองมาคำนวณร่วมกันแล้ว สังเกตได้ว่าความเหลื่อมล้ำด้านรายได้สูงกว่าเดิมมาก (ดูภาพที่ 2)[1] นอกจากนี้ เมื่อรวม ‘รายได้ที่มองไม่เห็น’ ของครัวเรือน เช่น ส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจของครัวเรือน มูลค่าเช่าบ้านที่ตนเองเป็นเจ้าของ รายได้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในรูปแบบกองทุนประกันสังคม และรายได้จากสินทรัพย์อื่นๆ ที่ไม่ต้องเสียภาษี ท้ายสุดแล้วเราจะได้การกระจาย ‘รายได้ประชาชาติ’ และสรุปได้ว่าความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจในด้านรายได้นั้น ไม่ได้ปรับตัวดีขึ้นอย่างที่รัฐบาลและสภาพัฒน์ได้ประกาศ
ข้อมูลการกระจายรายได้ประชาชาติ ให้ภาพความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ที่ชัดเจนที่สุด เพราะว่าครอบคลุมรายได้ที่ ‘มองไม่เห็น’ นอกเหนือจากรายได้ที่เห็นได้ชัดเจน เช่น เงินเดือน และรายได้จากสินทรัพย์ที่ต้องเสียภาษี ประเด็นนี้สำคัญมาก เนื่องจากรายได้ที่ว่านี้สะท้อนพฤติกรรมครัวเรือนที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างภาษี และแรงจูงใจจากนโยบายลดหย่อนภาษี นอกจากนี้ สถิติความเหลื่อมล้ำที่คำนวณขึ้นมาโดยอ้างอิงกับบัญชีประชาชาติ จะทำให้สามารถเปรียบเทียบความเหลื่อมล้ำระหว่างประเทศได้ถูกต้องมากขึ้น[2]
2. ความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ของไทย 2544-2559
ก่อนที่เราจะพูดถึงความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ของไทยว่าเป็นอย่างไร ต้องพูดก่อนว่าค่าสัมประสิทธิ์จีนี (gini) ไม่สามารถให้ภาพความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจที่ชัดเจนที่สุด การสรุปภาพความเหลื่อมล้ำออกมาเป็นตัวเลขเดียว ไม่สามารถแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนแต่ละกลุ่มในสังคม หรือระหว่างชนิดของรายได้ได้
ตัวเลขที่ให้ภาพความเหลื่อมล้ำได้ชัดเจนกว่า คือส่วนแบ่งรายได้ของกลุ่มประชากร เช่น กลุ่มที่รวยที่สุด 1% 10% หรือจนที่สุด 50% นอกจากจะสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงตามกลุ่มรายได้ ซึ่งมีประโยชน์ต่อการวิเคราะห์แบบเศรษฐศาสตร์การเมืองมากกว่า ยังสามารถแบ่งชนิดรายได้ตามกลุ่มประชากรอีกด้วย
สำหรับภาพรวมปี 2559 จากประชากรวัยทำงาน 52 ล้านคน กลุ่มที่รวยที่สุด 10% มีส่วนแบ่งรายได้ประชาชาติถึง 53% (เฉลี่ย 99,072 บาทต่อเดือน) และคนรวยที่สุด 1% ถือรายได้อยู่ 20.23% (เฉลี่ย 377,426 บาทต่อเดือน) ในขณะเดียวกัน คนที่จนที่สุดครึ่งประเทศ (bottom 50%) มีส่วนแบ่งเพียง 13% (เฉลี่ย 4,941 บาทต่อเดือน) กลุ่มชนชั้นกลาง 40% (middle 40%) มีส่วนแบ่ง 34% (เฉลี่ย 15,707 บาทต่อเดือน)[3] กล่าวคือ คนที่มีรายได้น้อยทีสุด 50% ต้องทำงานหนึ่งเดือนถึงจะได้รายได้ในหนึ่งวันของคนที่รวยที่สุด 10% (ภาพที่ 3)
คำถามต่อมาคือ แล้วความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ปรับตัวดีขึ้นหรือไม่ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 21? กล่าวได้ว่าดีขึ้นแต่เพียงเล็กน้อย โดยกลุ่มคนที่จนที่สุด 50% ได้ส่วนแบ่งเพิ่มจาก 9% ในปี 2544 เป็น 13% ในปี 2559 ในขณะเดียวกัน ส่วนแบ่งรายได้ของคนชนชั้นกลาง 40% ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลย
อีกมุมมองของความเหลื่อมล้ำ คือการกระจาย ‘ผลการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ’ ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 21 คนที่จนที่สุด 50% ยังได้ผลประโยชน์จากการเจริญเติบโตของรายได้ประชาชาติน้อยที่สุด สมมติว่าระหว่างปี 2544 – 2559 เศรษฐกิจโตเพิ่มขึ้น 100 บาท คนรวยที่สุด 10% ได้ไป 36 บาท คนชนชั้นกลางได้ 38 บาท ส่วนคนจนที่สุด 50% ได้ไป 26 บาท
สรุปคือ ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจในมุมมองรายได้ของไทย ไม่ได้ปรับตัวดีขึ้นในระดับที่น่าพอใจนัก และสูงกว่าที่รัฐบาลได้ประกาศไว้มาก ประเทศไทยยังมีปัญหาความเหลื่อมล้ำในระดับที่สูงมาก เปรียบเทียบได้กับประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำมากที่สุดในโลก เช่น บราซิล แอฟริกา อินเดีย ประเทศตะวันออกกลาง และสูงกว่ารัสเซียและจีน (ภาพที่ 4) นอกจากนี้ ศตวรรษที่ 21 อาจเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทยที่คนจนที่สุด 50% เติบโตในอัตราโดยรวมเร็วกว่าคนชนชั้นกลาง[4] ซึ่งอาจเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สามารถอธิบายความสัมพันธ์ระหว่าง party politics การขับเคลื่อนทางการเมืองของชนชั้น และ ความไม่พอใจของชนชั้นกลางต่อระบอบประชาธิปไตยหลังรัฐธรรมนูญปี 2540 ได้
ภาพที่ 3. ส่วนแบ่งรายได้ประชาชาติของแต่ละกลุ่มรายได้ในไทย

ภาพที่ 4. ส่วนแบ่งรายได้ของกลุ่มที่รวยที่สุด 10% ไทยและเทศ

3. ความเหลื่อมล้ำด้านทรัพย์สิน สูงที่สุดในโลกจริงหรือไม่
ประเด็นต่อมาคือ ความเหลื่อมล้ำด้านทรัพย์สิน ประเทศไทยเหลื่อมล้ำที่สุดในโลกจริงหรือไม่ ด้วยข้อมูลที่มีในปัจจุบันเรายังบอกเป็นภาพที่ชัดเจนไม่ได้ แต่ที่แน่นอนคือ ความเหลื่อมล้ำด้านทรัพย์สินสูงกว่าความเหลื่อมล้ำด้านรายได้เสมอ
เหตุผลหลักๆ คือ รายได้คือ ‘flow’ หรือการหมุนเวียนของเงิน เช่น จากแรงงานหรือจากผลตอบแทนของการถือครองทรัพย์สิน ส่วนทรัพย์สินคือ ‘stock’ หรือคลังทรัพย์ รายได้จากทรัพย์สินเป็นผลตอบแทน ซึ่งหากเปรียบเทียบจากมูลค่าของทรัพย์สินนั้น ถือเป็นเพียงส่วนเล็กน้อยเท่านั้น (เช่น อัตราตอบแทนของกองทุนรวม หรือของหุ้น มักจะไม่ถึง 10% ของมูลค่าทั้งหมดต่อปี) นอกจากนี้ การถือครองทรัพย์สินอาจจะไม่ผลิตรายได้สม่ำเสมอทุกปี โดยเฉพาะการลงทุนซื้อที่ดินเพื่อรอราคาสูงขึ้น หากเปรียบเทียบง่ายๆ ก็คือ ความเหลื่อมล้ำด้านรายได้จากทรัพย์สินเป็นเพียง ‘ยอดของภูเขาน้ำแข็ง’ โดยที่ ‘ภูเขาน้ำแข็ง’ คือความเหลื่อมล้ำด้านทรัพย์สิน
หากเราดูส่วนประกอบของรายได้ของแต่ละกลุ่มรายได้แล้ว จะเห็นลักษณะที่ชัดเจนสำคัญสองประการคือ 1) การกระจายรายได้จากทรัพย์สินเหลื่อมล้ำมากกว่ารายได้จากแรงงาน และรายได้โดยรวม 2) องค์ประกอบรายได้โดยรวมของกลุ่มที่รวยที่สุด 1% มาจากรายได้จากทรัพย์สินเสียส่วนใหญ่ โดยในภาพที่ 5 แสดงการจำแนกรายได้ทั้งหมด ซึ่งเป็นรายได้จากแรงงานและจากทรัพย์สิน (เช่น จากเงินปันผล ดอกเบี้ย และกำไรจากการซื้อขายทุน)
ทั้งนี้เมื่อพิจารณาโดยละเอียดจะพบข้อสังเกต 2 ประการหลัก คือ ประการแรก ความสำคัญของรายได้จากทรัพย์สินมากขึ้นเมื่อคนรวยขึ้น กล่าวคือ สำหรับกลุ่มคนที่รวยที่สุด 1% (ประมาณ 5.2 แสนคนจากประชากรวัยทำงาน) รายได้จากทรัพย์สินสูงกว่ารายได้จากการทำงาน และสำหรับกลุ่มที่รวยที่สุด 0.001% สัดส่วนรายได้จากการจ้างงานต่ำกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น ความเหลื่อมล้ำด้านทรัพย์สินจึงสูงกว่าความเหลื่อมล้ำทางรายได้อย่างแน่นอน แต่จะอยู่ในระดับใดก็ขึ้นอยู่กับอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยของสินทรัพย์แต่ละประเภท
ประการที่สอง รายได้จากทรัพย์สินมีความสำคัญมากขึ้นในกลุ่มคนที่รวยที่สุดตั้งแต่ปี 2544 ส่วนแบ่งของรายได้จากแรงงานถือเป็น 52% ของรายได้ทั้งหมดของกลุ่ม top 1% ในปี 2544 และลดลงเป็น 46% ในปี 2559 นั่นหมายความว่า ความเหลื่อมล้ำด้านทรัพย์สินน่าจะมีระดับแย่ลงตั้งแต่ปี 2544 ถ้าอัตราผลตอบแทนของทุนไม่เปลี่ยนแปลงมาก ปรากฏการณ์ข้อหลังนี้สะท้อนตัวเลขการจัดอันดับมหาเศรษฐีของ Forbes ที่ว่า มูลค่าทรัพย์สินของเศรษฐีไทยได้เพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงมากตลอดหลายปีที่ผ่านมา โดยระหว่างปี 2556 และ 2560 ทรัพย์สินของเศรษฐีและเศรษฐีนีที่รวยที่สุด 10 คนโตถึง 30% โดยเฉลี่ย (Forbes rich list, 2017)
ภาพที่ 5. ส่วนแบ่งรายได้จากแรงงานจากรายได้ทั้งหมดของแต่ละกลุ่มรายได้

4. ถ้าอยากได้สถิติความเหลื่อมล้ำทางทรัพย์สินที่แม่นยำ ต้องทำอย่างไร
สาเหตุสำคัญที่เราไม่สามารถตอบได้ว่า ความเหลื่อมล้ำด้านทรัพย์สินไทยสูงที่สุดในโลกจริงหรือไม่ เนื่องจากข้อมูลทรัพย์สินของครัวเรือนของไทยมีความจำกัดมาก และมักจะเข้าถึงไม่ได้ เช่น การถือครองที่ดิน เป็นต้น
อันที่จริง วิธีการที่ Credit Suisse ใช้วิเคราะห์ความเหลื่อมล้ำใน Global Wealth Report ซึ่งเรียกว่า income-capitalisation approach (การคำนวณการกระจายทรัพย์สินแต่ละประเภทตามการกระจายรายได้จากทรัพย์สินนั้นๆ) ถือเป็นวิธีหนึ่งที่ให้ภาพความเหลื่่อมล้ำที่ชัดเจนที่สุดสำหรับกรณีของไทยที่ขาดข้อมูลทรัพย์สินระดับครัวเรือน แต่ปัญหาของรายงานที่ว่าคือข้อมูลเก่า อย่างที่สภาพัฒน์ได้แถลงไว้
แต่กระนั้น ไม่ได้หมายความว่าตัวเลขความเหลื่อมล้ำด้านทรัพย์สินของ Credit Suisse เชื่อถือไม่ได้เสียทีเดียว เอาเข้าจริงแล้ว ตัวเลขของ Credit Suisse อาจจะให้ภาพความเหลื่อมล้ำด้านทรัพย์สินที่ที่ดีเกินไปด้วยซ้ำ เนื่องจากรายงานที่ว่าใช้ข้อมูลการกระจายรายได้จากข้อมูลสำรวจครัวเรือน และไม่ได้ใช้ข้อมูลภาษีเงินได้เพื่อที่จะแก้ปัญหาเรื่องการครอบคลุมตัวอย่างคนรวยในการสำรวจอย่างที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น
ถ้าหากสภาพัฒน์และรัฐบาลอยากได้ข้อมูลความเหลื่อมล้ำทางทรัพย์สินที่แม่นยำมากกว่านี้ หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องก็ต้องให้บริการข้อมูลที่ปัจจุบันนักวิจัย (รวมถึงผู้เขียน) ยังเข้าถึงไม่ได้ เช่น ข้อมูลภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแบบละเอียดตามประเภทรายได้ ระดับหน่วยภาษี (แบบปิดบังข้อมูลส่วนตัวของผู้เสียภาษี) หรือข้อมูลสต็อกทุนของไทย ตามหน่วยเศรษฐกิจ (ครัวเรือน ภาคธุรกิจ และรัฐบาล) ปัจจุบันงานวิจัยชิ้นเดียวที่สามารถเข้าถึงข้อมูลภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแบบละเอียดได้ คืองานของอาจารย์ ผาสุก พงษ์ไพจิตร และคณะ (2560)
ดราม่าในช่วงที่ผ่านมาช่วยกระตุกให้สังคมไทยหันมาสนใจความเหลื่อมล้ำมากขึ้น ประเด็นที่สำคัญตอนนี้ ไม่ใช่ว่าเราอยู่อันดับที่เท่าไหร่ในโลก แต่คือคำถามที่ว่าเราจะทำอย่างไรกับสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจที่น่าเป็นห่วงในปัจจุบัน
เพราะทั้งตัวชี้วัดตามระเบียบวิธีวิจัยเชิงวิชาการ และความรู้สึกของผู้คนต่างบอกตรงกันว่า ประเทศไทยเป็นผู้ป่วยโรค ‘รวยกระจุก จนกระจาย’ ระดับสาหัสของโลกจริง
เอกสารอ้างอิง
- Alvaredo, F., Chancel, L., Piketty, T., Saez, E., Zucman, G., eds. World Inequality Report (2018)
- Credit Suisse. (2018). Global wealth databook (Tech. Rep.). Credit Suisse Research Institute.
- Jenmana, T. (2018), Democratisation and the Emergence of Class Conflicts: Income Inequality in Thailand 2001-2016. world working paper No.2018/15
- ผาสุก พงษ์ไพจิตร และคณะ (ธันวาคม 2560), รายงานฉบับสมบูรณ์ โครงการวิจัยเรื่อง “แนวทางการปฏิรูปภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและวิเคราะห์การกระจายรายได้ของผู้มีเงินได้พึงประเมิน”. สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)
[1] ค่าสัมประสิทธิ gini มีค่าจาก 0 (หมายถึงทุกคนในสังคมมีรายได้เท่ากัน) ถึง 1 (คนที่รวยที่สุดมีรายได้ทั้งหมด)
[2] ดู world inequality database ที่ wid.world
[3] รายได้ประชาชาติเฉลี่ยต่อประชากรวัยทำงาน เท่ากับ 18,660 ต่อเดือน
[4] หลังจากปรับด้วยอัตราเงินเฟ้อแล้ว ระหว่างปี 2544-2559 รายได้เฉลี่ยของคนจนที่สุด 50% โต 135% ในขณะที่คนชนชั้นกลางโต 49%