เข้าปี 2023 อย่างเป็นทางการ ปีนี้ถือเป็นปีที่หลายชาติกลับมาเดินเครื่องเศรษฐกิจอย่างเต็มสูบอีกครั้ง ภายหลังจากต้องวิ่งวุ่นอยู่กับการแก้ไขปัญหาการระบาดของโควิด-19 นับตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา รวมไปถึงการแก้ไขวิกฤตราคาอาหารและพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นนับแต่ต้นปี 2022 หลังจากเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน อินเดียเองก็เป็นหนึ่งในประเทศเหล่านั้นที่ต้องสาละวนอยู่กับการแก้ไขวิกฤตเฉพาะหน้าทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม นับแต่ช่วงปลายปี 2022 เป็นต้นมา มีสัญญาณบวกหลายอย่างที่ชี้ชัดให้เห็นว่าปี 2023 จะมีปัจจัยเกื้อหนุนหลายอย่างที่ทำให้อินเดียเติบโตอย่างสดใสอีกครั้ง นอกจากนี้ในปี 2023 อินเดียยังรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับนานาชาติอย่าง G20 ด้วย ในทางการเมืองเองปี 2023 เรียกได้ว่ามีความสำคัญอย่างมากเพราะทุกพรรคการเมืองจะเริ่มอุ่นเครื่องและลั่นกลองรบสำหรับการเลือกตั้งระดับประเทศที่จะมาถึงในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ปี 2024 อีกด้วย
ในปี 2023 นี้จึงมีหลากหลายประเด็นที่เราจำเป็นต้องจับตามองอินเดีย ทั้งในมิติทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และการต่างประเทศ
อุ่นเครื่องการเมือง ลั่นกลองรบรับเลือกตั้ง 2024
หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ต้องจับตามองในปี 2023 นี้คงหนีไม่พ้นการเมืองและการเลือกตั้งของอินเดีย แม้ว่าปีนี้จะไม่ใช่ปีที่อินเดียจะจัดการเลือกตั้งทั่วไป แต่สำหรับคอการเมืองอินเดียแล้ว เป็นที่ทราบกันดีว่าปีนี้บรรดาพรรคการเมืองต่างๆ ของอินเดียจะเริ่มเคลื่อนไหวเพื่อช่วงชิงคะแนนเสียงจากประชาชนในพื้นที่ต่างๆ กันแล้ว เพราะเวลา 1 ปีสำหรับการเมืองอินเดียนั้นเร็วมากๆ ฉะนั้นปีนี้จะเป็นปีที่บรรดาผู้นำทางการเมืองของหลากหลายพรรค รวมถึงตัวนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดีเองจะลงพื้นที่มากขึ้น ยิ่งโดยเฉพาะในเขตที่ตัวเองยังไม่ได้รับการสนับสนุนมากนัก
จริงๆ แล้วความเคลื่อนไหวทางการเมืองเหล่านี้เริ่มขึ้นแล้วนับตั้งแต่ปลายปี 2022 ยกตัวอย่างเช่น การเดินรวมอินเดียเป็นหนึ่ง หรือ Bharat Jodo Yatra ของพรรคคองเกรส ที่เริ่มตั้งแต่ช่วงเดือนกันยายนปี 2022 จนกระทั่งถึงปัจจุบันยังไม่แล้วเสร็จ แม้แนวคิดและเป้าหมายของการเดินขบวนในครั้งนี้ของพรรคคองเกรสต้องการสื่อสารถึงความเป็นสังคมพหุวัฒนธรรมที่อยู่ร่วมกันอย่างหลากหลายของอินเดีย แต่นักวิเคราะห์ทางการเมืองของอินเดียต่างลงความเห็นในทางเดียวกันว่า นี่คือความพยายามในการเช็กกระแสของพรรคคองเกรส นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของพรรคที่ทุกวันนี้ถดถอยอย่างมากจากปัญหาการบริหารภายในพรรคที่ส่งผลให้มีนักการเมืองคนสำคัญหลายคนตัดสินใจย้ายพรรค
ในขณะที่พรรครัฐบาลอย่างบีเจพี แม้ช่วงนี้ไม่มีอีเวนท์อย่างพรรคคองเกรส แต่เป็นที่ทราบกันดีว่าพรรคกำลังเตรียมตัวในศึกเลือกตั้งระดับรัฐที่ในปีนี้จะมีการชิงชัยกันในหลายรัฐ โดยเฉพาะในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ มี 3 รัฐสำคัญในเขตพื้นที่ภาคอีสานของอินเดียอย่างตรีปุระ เมฆาลายา และนากาแลนด์ที่จะจัดการเลือกตั้ง ซึ่งทั้ง 3 รัฐต่างเป็นรัฐที่พรรคบีเจพีเป็นรัฐบาลหรือแนวร่วมอยู่ทั้งสิ้น จึงต้องจับตามองกันว่าพรรคบีเจพีจะยังคงสามารถรักษาคะแนนนิยมในพื้นที่เหล่านี้ได้หรือไม่ หรือจะสามารถผลักดันให้ตัวเองขึ้นเป็นรัฐบาลโดยไม่ได้เป็นเพียงแค่แนวร่วมเท่านั้นได้หรือไม่
เมื่อพูดถึงการเลือกตั้งระดับรัฐ ก็ต้องบอกว่าปีนี้อินเดียมีการจัดเลือกตั้งในหลายรัฐเกือบตลอดทั้งปี ถือเป็นการชิมลางก่อนเลือกตั้งใหญ่ โดยจะมีการเลือกตั้งในหลายรัฐสำคัญไม่ว่าจะเป็น การ์นาตากา ฉัตตีสคาห์ มัธยประเทศ มิโซรัม ราชาสถาน เตรังกานา รวมถึงจัมมูร์และแคชเมียร์ด้วย ซึ่งบรรดารัฐเหล่านี้ล้วนมีความสำคัญต่อการเมืองระดับชาติทั้งสิ้น การเลือกตั้งในระดับรัฐของปีนี้จึงมีความเข้มข้นไม่แตกต่างไปจากการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมาถึงในปี 2024 เพราะทุกพรรคต่างต้องการสร้างภาพลักษณ์และต้องการเก็บชัยชนะเพื่อเป็นแต้มต่อของตัวเองสำหรับการเลือกตั้งใหญ่ทั้งสิ้น
แน่นอนว่ายิ่งใกล้เลือกตั้งเท่าไหร่ สิ่งสำคัญสำหรับพรรครัฐบาลคงหนีไม่พ้นการเดินเกมนโยบายและการเงินให้ต่อ โดยเฉพาะการผลักดันเงินงบประมาณเพื่อเพิ่มแรงสนับสนุนให้กับตัวเอง ซึ่งคาดว่าปีงบประมาณในรอบเดือนเมษายน 2023 (ปีงบประมาณของอินเดียจะเริ่มในวันที่ 1 เมษายน จนถึง 31 มีนาคมของปีถัดไป) จะเป็นปีงบประมาณสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งปี 2024 อย่างแน่นอน จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าแผนงบประมาณในครั้งนี้จะมีการอัดฉีดเงินจำนวนมากเพื่อเพิ่มคะแนนนิยมให้กับพรรคบีเจพีอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งปัจจัยดังกล่าวนี้จะส่งผลโดยตรงต่อภาพรวมระบบเศรษฐกิจของอินเดียในปีนี้ด้วยเช่นกัน
อัดฉีดเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ-ผลักดันให้อินเดียเป็นฐานการผลิตแทนที่จีน
ในเมื่อปี 2023 จะเป็นงบประมาณสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งใหญ่ในปี 2024 ฉะนั้นการออกแบบงบประมาณของรัฐบาลบีเจพีจึงมีแนวโน้มมุ่งเน้นอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ โดยเฉพาะให้ถึงมือคนระดับฐานรากซึ่งถือเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคบีเจพี นอกจากนี้ยังเป็นไปได้ว่ารัฐบาลอาจผลักดันนโยบายใหม่ๆ ทางด้านภาษีเพื่อช่วยเหลือชนชั้นกลางที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 รวมถึงราคาพลังงานและอาหารที่ปรับเพิ่มขึ้นในช่วงปีก่อน อาจเรียกได้ว่าปีนี้ทั้งปี นโยบายเศรษฐกิจของอินเดียอาจมุ่งเน้นไปในแนวทางประชานิยมที่เข้มข้นมากยิ่งขึ้น
เป้าหมายของการดำเนินนโยบายในลักษณะดังกล่าวอาจแยกได้เป็น 2 ประการสำคัญคือ ประการแรก กระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศหลังฟื้นตัวจากโควิด-19 ต้องยอมรับว่ารัฐบาลอินเดียมีผลงานที่ค่อนข้างดีในปีที่ผ่านมา เพราะนอกจากการเติบโตทางเศรษฐกิจจะสูงแล้ว ระดับเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับกลางเท่านั้นอีกด้วย ฉะนั้นเพื่อรักษาระดับการเติบโตทางเศรษฐกิจ รัฐบาลจำเป็นต้องกระตุ้นการบริโภคและลงทุนเพิ่มเติม
ประการที่สองคือ รัฐบาลต้องการใช้นโยบายประชานิยมเพื่อประโยชน์ทางการเมืองในการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้น โดยมีรายงานบางฉบับออกมาว่า งบประมาณของอินเดียที่จะเข้ารัฐสภาในช่วงเดือนกุมภาพันธ์นี้ รัฐบาลตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มการลงทุนให้มากกว่าปีงบประมาณก่อนหน้าถึงกว่าร้อยละ 25 แน่นอนว่านั่นส่งให้รัฐบาลอินเดียต้องขาดดุลมากถึงร้อยละ 6.4 เมื่อเทียบกับ GDP ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์จำนวนหนึ่งคาดว่าอินเดียอาจจำเป็นต้องกู้ยืมเงินมากถึง 16 ล้านล้านรูปีเพื่องบประมาณในครั้งนี้
นอกจากการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบแล้ว อีกหนึ่งนโยบายเศรษฐกิจของอินเดียที่จำเป็นต้องจับตามองในปีนี้คือการปรับเปลี่ยนกฎระเบียบด้านการลงทุนจากภายนอก เพราะหลังวิกฤตโควิด-19 อินเดียตั้งเป้าอย่างแน่วแน่ที่จะมุ่งสู่การเป็นโรงงานของโลกแทนที่จีน และเป็นทางเลือกในการกระจายความเสี่ยงภายใต้สงครามการค้าที่เข้มข้นระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้อินเดียมีความได้เปรียบจีนมากขึ้น หลังจีนต้องเผชิญปัญหาสังคมผู้สูงอายุและอัตราการเกิดลดลงอย่างต่อเนื่อง สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้อินเดียสามารถจูงใจนักลงทุนจากต่างประเทศที่ต้องการกระจายความเสี่ยงได้มากขึ้น
ในปีนี้ไฮไลท์สำคัญของนโยบายเศรษฐกิจที่หลายฝ่ายกำลังจับตามองจึงเป็นการผ่อนคลายมาตรการด้านการส่งเสริมการลงทุน ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้การเข้าไปผลิตสินค้าหรือจัดทำบริการใหม่ๆ ในอินเดียไม่เผชิญปัญหาอุปสรรคหรือกฏเกณฑ์มากมายดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ ที่ผ่านมา มีสัญญาณเชิงบวกหลายระลอกที่สะท้อนว่ารัฐบาลอินเดียกำลังวางแผนยกเครื่องแผนส่งเสริมการลงทุนอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการทาบทามบริษัทเทคยักษ์ใหญ่ให้เข้ามาลงทุนในอินเดีย หรือการอำนวยความสะดวกด้านการลงทุนเพิ่มเติมของ Foxconn ที่กำลังขยายฐานการผลิตในอินเดีย ยิ่งไปกว่านั้น ในปีนี้อินเดียยังเป็นเจ้าภาพ G20 ซึ่งถือเป็นกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ด้วย จึงเป็นโอกาสอันดีที่อินเดียจะเปิดการเจรจาเพื่อจูงใจบรรดานักลงทุนจากประเทศเหล่านี้ให้เข้ามาลงทุนในอินเดีย
G20 กับการแสดงศักยภาพด้านการต่างประเทศของอินเดียในเวทีโลก
สำหรับประเด็นสุดท้ายที่จำเป็นต้องจับตามองอินเดียในปีนี้คือ การเป็นเจ้าภาพจัดประชุม G20 ซึ่งเป็นการรวมตัวของบรรดาประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของโลกเข้าไว้ด้วยกัน เพราะแค่ 20 ประเทศนี้ก็เท่ากับมากกว่าร้อยละ 80 ของ GDP โลกแล้ว นั่นทำให้การประชุมและพูดคุยกันของผู้นำในกลุ่มนี้มีความสำคัญอย่างมากต่อโลก โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศ หลังจากการประชุม G20 ที่อินโดนีเซียเป็นเจ้าภาพสิ้นสุดไป นับแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2022 อินเดียก็รับไม้ต่อเป็นเจ้าภาพของกลุ่มดังกล่าว โอกาสสำคัญนี้เป็นสิ่งที่อินเดียรอเวลามาอย่างนานเพราะมันจะเปิดโอกาสให้อินเดียแสดงศักยภาพของตัวเองต่อสายตาชาวโลก ทั้งยังสามารถประกาศศักยภาพแห่งการพัฒนาประเทศต่อนานาชาติได้อีกด้วย
นอกจากนี้ การประชุมนี้อาจกลายเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผู้นำจีนและอินเดียจะมีโอกาสได้พบกันอย่างเป็นทางการ หลังจากอินเดียและจีนประสบปัญหาด้านพรมแดนระหว่างกันในปี 2020 จนส่งผลให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศตกต่ำอย่างมากและไม่มีการเยือนกันอย่างเป็นทางการของผู้นำทั้งสองชาติตลอดช่วงที่ผ่านมา ปฏิเสธไม่ได้ว่าอินเดียและจีนจะมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้ภูมิภาคเอเชียกลับมาผงาดอีกครั้ง เวที G20 ในรอบนี้ที่ต้องจับตามองจึงเป็นสิ่งที่ผู้นำทั้งสองชาติจะพูดคุยกัน
อีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือบทบาทของอินเดียในฐานะประธาน G20 ต่อประเด็นสงครามรัสเซีย–ยูเครน ที่วันนี้ยังหาจุดสิ้นสุดไม่ได้ ความคาดหวังของหลายชาติต่อบทบาทของอินเดียในประเด็นนี้มีมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ฉะนั้นในปีนี้ท่าทีของอินเดียจึงสำคัญอย่างมากไม่แตกต่างไปจากปีก่อน จึงต้องติดตามดูว่าอินเดียจะใช้สถานะใหม่นี้ของตัวเองอย่างไรเพื่อพูดคุยกับรัสเซียต่อประเด็นปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น หากอินเดียประสบความสำเร็จในการเป็นตัวกลางก็จะช่วยให้บทบาทของอินเดียในระดับระหว่างประเทศพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก
ฉะนั้นสำหรับอินเดียแล้ว การเป็นเจ้าภาพจัดประชุม G20 จึงเป็นเปรียบเสมือนการแสดงศักยภาพทางด้านการต่างประเทศของตัวเองให้เป็นที่ประจักษ์ในสายตาชาวโลก ในวันนี้ อินเดียไม่ได้ต้องการเป็นเพียงมหาอำนาจในระดับภูมิภาคเท่านั้น แต่กำลังพยายามผลักดันให้ตนเองเป็นส่วนหนึ่งของมหาอำนาจโลก ตามแนวนโยบายต่างประเทศของอินเดียที่คาดหวังให้โลกมีหลายขั้วมากกว่าเพียงแค่สหรัฐอเมริกาหรือจีนเท่านั้น