สันติธาร เสถียรไทย เรื่อง
ภาพิมล หล่อตระกูล ภาพประกอบ
เราอยู่ในโลกที่คนอายุยืนขึ้นแต่ความรู้กลับอายุสั้นลง ไม่แปลกที่พอเรียนจบปริญญาตรี 4 ปี สิ่งที่เรียนมาในปีแรกๆ จะตกยุคไปเรียบร้อยแล้ว อย่าว่าแต่ปริญญาตรีเลย สมัยนี้ไม่แปลกที่เด็กเรียน MBA จะบ่นกลัวว่า 2 ปีที่ใช้ไปกับการเรียนปริญญาโทนั้นจะทำให้ตัวเองตามโลกไม่ทันและความรู้ใหม่ที่ได้มาจะ ‘ หมดอายุ’ ก่อนได้ใช้งานจริง นี่คือยุคแห่ง Exponential change ที่ ” โลกไม่เคยเปลี่ยนเร็วขนาดนี้และจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงช้าเช่นนี้อีก ”
เพื่อเข้าใจว่าคนรุ่นใหม่คิดอย่างไรกับอนาคตของงานและการเรียนรู้ ทางบริษัทซี (SEA) เจ้าของการีนา (Garena) ช้อปปี้ (Shopee) แอร์เพย์ (Airpay) จึงจับมือกับ World Economic Forum ทำแบบสำรวจคนรุ่นใหม่อายุ 15-35 ปี 56,000 คนทั่วอาเซียน ( คนไทยประมาณหมื่นคน ) ที่ถือได้ว่าเป็นแบบสำรวจเยาวชนอาเซียนที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง แบบสำรวจเจาะลึกคำถาม เช่น เยาวชนคิดว่าความรู้ที่เขาร่ำเรียน สะสมมานั้นจะยังช่วยเขาในหน้าที่อาชีพไปได้นานเท่าไร ทักษะอะไรบ้างที่สำคัญสำหรับอนาคต และเขาใช้วิธีอะไรบ้างในการเรียนรู้ทักษะต่างๆ
อายุขัยของความรู้
ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่าเยาวชนในอาเซียนโดยเฉลี่ยมองว่าทักษะที่ตนมีอยู่มี ‘ อายุขัย’ ประมาณ 9 ปี คือหลังจากช่วงเวลานี้จะต้องได้รับการพัฒนาทักษะใหม่ๆ เพื่อสามารถทำงานต่อไปได้
โดยคนรุ่นใหม่ส่วนน้อย 9% เท่านั้นที่คิดว่าความรู้และทักษะของตนหมดอายุขัยแล้ว ประมาณ 19% มองว่าความรู้ที่มีปัจจุบันพอเพียงที่จะอยู่ใช้ไปตลอดชีวิต แต่ที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นคือ คนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ หรือประมาณ 52% ตอบว่า “ ความรู้และทักษะของฉันจะต้องได้รับการเพิ่มเติมและพัฒนาใหม่อยู่เสมอ ” ซึ่งชี้ให้เห็นว่าเยาวชนส่วนใหญ่มีความตระหนักถึงความท้าทายในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้นและให้ความสำคัญกับ ‘ การเรียนรู้ตลอดชีวิต’ ทั้งยังอาจสะท้อนถึงการมีแนวคิดแบบ Growth Mindset หรือกรอบความคิดแบบเติบโตซึ่งมีความสำคัญอย่างมากในโลกที่เราต้องรู้ทันการเปลี่ยนแปลงและรู้จักปรับตัวตลอดเวลา
โดยเยาวชนแต่ละชาติคิดต่างกันอย่างค่อนข้างชัดเจน เยาวชนจากฟิลิปปินส์มีสัดส่วนคนที่ตอบว่าความรู้หมดอายุแล้วมากที่สุด คนเวียดนามมีสัดส่วนคนมีทัศนคติ G rowth Mindset สูงที่สุดถึง 69% สะท้อนถึงความกระตือรือร้นเรียนรู้ของเขา ในขณะที่เยาวชนไทยเราดูจะมีความมั่นใจสูงที่สุดเพราะ 31% ของคนรุ่นใหม่บอกว่าความรู้และทักษะที่มีวันนี้น่าจะใช้ไปได้ตลอดชีวิต สูงที่สุดในภูมิภาคแบบทิ้งห่างประเทศอื่นๆ อย่างชัดเจน หากแปลงออกมาเป็นจำนวนปี เยาวชนไทยมองว่าอายุขัยของทักษะที่มีอยู่ในปัจจุบันนั้นยาวถึง 14 ปี หรือสูงกว่าค่าเฉลี่ยภูมิภาคถึง 55%
คำถามคือเพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น หากมองในแง่ดีอาจเป็นเพราะคนรุ่นใหม่ไทยได้รับการศึกษาที่ดีกว่าที่อื่นทำให้รู้สึกว่าความรู้และทักษะที่มีสามารถใช้ได้นานกว่าเยาวชนชาติอื่นๆ แม้แต่สิงคโปร์ที่ขึ้นชื่อว่าโดดเด่นด้านการศึกษา หรือมองอีกมุมก็อาจเป็นไปได้ว่าเยาวชนเรายังไม่ตระหนักเต็มที่ถึงอายุขัยของความรู้ที่สั้นลง และยังไม่ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ตลอดชีวิตเท่าที่ควร โดยอีกตัวเลขหนึ่งที่ชี้ประเด็นนี้คือ สัดส่วนคนไทยที่ตอบแบบ G rowth Mindset นั้นต่ำที่สุดในภูมิภาค อยู่ที่ 43%
หากเป็นดังสมมติฐานที่สองจริงก็น่าเป็นห่วงและเป็นโจทย์สำคัญของประเทศว่า เราจะสร้างเสริมปลูกฝัง ความตื่นตัวและความกระตือรือร้นต่อการเรียนรู้ให้เยาวชนเราได้อย่างไร หรือมีอะไรในระบบที่ทำให้ความกระหายอยากเรียนของเราจืดจางไป
การเรียนรู้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในโรงเรียน
เยาวชนอาเซียนให้ความสำคัญต่อการเรียนรู้มากกว่าแค่ในห้องเรียน การสำรวจได้ถามทุกคนว่า เคยเปลี่ยนงานไหม หากเคยเปลี่ยนอะไรเป็นเหตุผลหลัก ค้นพบว่าเหตุผลอันดับหนึ่งที่ทำให้คนรุ่นใหม่เปลี่ยนงานไม่ใช่เพื่อให้ได้เงินเดือนสูงขึ้นและไม่ใช่เพื่อความยืดหยุ่นในเวลาทำงานอย่างที่หลายคนอาจคิดกัน แต่เป็นการเปลี่ยนเพื่อโอกาสในการเรียนรู้ที่ดีกว่า แปลว่าหากองค์กรต่างๆ ต้องการจะดึงดูดและรักษาคนมีความสามารถไว้จำเป็นต้องสร้างโอกาสในการเรียนรู้ให้มากที่สุด ไม่ใช่เพียงให้แพ็คเกจดีๆ เท่านั้น
แต่เมื่อลองถามว่าทักษะที่มีอยู่ปัจจุบันส่วนใหญ่ได้มาจากที่ไหน พบว่าในหมู่เยาวชนที่ทำงานแล้วมีเพียง 14% ที่ตอบว่าเรียนรู้มาจากที่ทำงาน ซึ่งค่อนข้างต่ำเทียบกับการเรียนรู้จากแหล่งอื่นๆ เช่น 36% จากโรงเรียนและมหาวิทยาลัย 20% จากแหล่งอื่นๆ นอกห้องเรียน นอกจากนี้ยังค้นพบว่าเยาวชนที่ทำงานในภาค SME และธุรกิจครอบครัวมักมีการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ จากที่ทำงานต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโดยรวมอย่างชัดเจน
ซึ่งนี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้สูงไม่ค่อยอยากทำงานในภาค SME และธุรกิจครอบครัวเท่าไรนัก เช่น ปัจจุบันร้อยละ 18% ของเยาวชนในแบบสำรวจทำงานอยู่ในภาค SME แต่มีเพียง 7% ที่ตอบว่าอยากทำงานในภาคนี้ในอนาคต ประเด็นเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าต่อไปประเด็นขาดแคลนแรงงานของ SME อาจทวีความรุนแรงขึ้น และโจทย์ทางนโยบายที่สำคัญข้อหนึ่งคือการสร้างโอกาสในการเรียนรู้พัฒนาทักษะฝีมือให้กับคนที่ทำงานใน SME ที่อาจไม่มีทรัพยากรในการพัฒนาบุคคลากรมากเท่ากับบริษัทขนาดใหญ่
ฝึกงาน การเรียนรู้แห่งอนาคต
นักปราชญ์จีนโบราณเคยได้กล่าวไว้ว่า “ ถ้าบอกฉัน ฉันก็ลืม ถ้าสอนฉัน ฉันอาจจะจำได้ แต่หากให้ฉันร่วมทำด้วย ฉันจะได้เรียนรู้ ” ในอนาคตที่โลกเปลี่ยนเร็วและการศึกษาเริ่มตามไม่ทัน การฝึกงานอาจยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นในการเป็นสะพานเชื่อมภาควิชาการและภาคปฏิบัติ
ผลการสำรวจเราพบว่า 81% ของคนรุ่นใหม่คิดว่าการฝึกงานนั้น ‘ สำคัญเทียบเท่าหรือยิ่งกว่า’ การเรียนในโรงเรียน ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงมาก อาจชี้ให้เห็นว่าระบบการศึกษาปัจจุบันอาจขาดการเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรม เน้นทฤษฎีและขาดการฝึกปฏิบัติจริงทำให้เด็กเรียนเก่งจำนวนไม่น้อยหางานดีลำบาก
ตรงนี้ก็อาจเป็นอีกส่วนที่นโยบายรัฐบาลสามารถช่วยส่งเสริมได้ เช่น ในสิงคโปร์มีหลายโครงการที่รัฐให้เงินสนับสนุนบริษัทเพื่อจ้างเด็กฝึกงาน เช่น โครงการ SME Talent Program ที่ทางรัฐจะชดเชยเงินค่าจ้างคนฝึกงานถึง 70% ของค่าใช้จ่ายหากมีการจัดโปรแกรมฝึกงานอย่างเหมาะสม
สมองไหล หรือ ลับสมอง
เกือบครึ่งหนึ่งของเยาวชนในอาเซียนบอกว่าสนใจจะลองทำงานในต่างประเทศภายใน 3 ปีข้างหน้าและปรากฎว่าสัดส่วนของเยาวชนที่อยากทำงานข้างนอกของประเทศไทยนั้นสูงที่สุดในอาเซียน อยู่ที่ประมาณ 52% ในมุมหนึ่งอาจจะดูเป็นข่าวร้ายว่ามีปัญหาสมองไหลและต้องพยายามดึงให้เยาวชนอยู่ในประเทศ
แต่หากมองจากอีกมุมหนึ่งการที่คนรุ่นใหม่ทำงานต่างประเทศอาจไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไป เพราะนอกจากจะเป็นโอกาสได้เรียนรู้ทักษะและความรู้ใหม่ๆ แล้ว ยังได้พัฒนาทักษะการใช้ชีวิตและทำงานในสภาพแวดล้อมที่ตัวเองไม่คุ้นเคย สร้างเสริมความสามารถในการปรับตัว (Adaptability) ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ในทางกลับกันสิ่งที่น่ากลัวกว่าสมองไหลคือการที่เยาวชนต้องทำงานในสิ่งแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการเรียนรู้และพัฒนาทำให้เกิดอาการ ‘ หมดไฟ’ ที่เป็นศัตรูตัวร้ายของ Growth Mindset และการเรียนรู้ตลอดชีวิต
การทำงานต่างประเทศจึงอาจไม่ใช่ ‘ สมองไหล’ เสมอไป แต่อาจเป็นการช่วย ‘ ลับสมอง’ เสริมทักษะและจุดประกายให้เยาวชนในอนาคตได้
สรุป ความรู้ฉันมีอายุเหลืออีกกี่ปี
5 ปี ที่เยาวชนเวียดนามตอบ 9 ปี ที่เป็นค่าเฉลี่ยของอาเซียน หรือ 14 ปี ที่เยาวชนไทยตอบ ?
คำตอบคือคงไม่มีใครรู้แน่ แต่สิ่งที่สำคัญแท้จริงไม่ใช่ว่าความรู้เรามีชีวิตเหลืออีกกี่ปีแต่เป็นคำถามที่ว่า เราพร้อมที่จะต่อชีวิตใหม่ให้ความรู้และทักษะของเราแค่ไหนในวันที่มันหมดอายุขัย และมีวิธีอะไรบ้างที่สามารถสร้างทักษะและการเรียนรู้ใหม่ๆ ได้ บทสำรวจนี้ชี้ให้เห็นว่าการเรียนรู้พัฒนาทักษะนอกห้องเรียนจะมีความสำคัญมากขึ้นสำหรับคนรุ่นใหม่ แต่วิธีเรียนรู้เหล่านี้อาจไม่ได้เกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ ต้องได้รับการสนับสนุนจากทั้งภาครัฐ เอกชนและสถาบันการศึกษา
มิเช่นนั้นไม่ใช่แค่ความรู้ที่จะหมดอายุขัย แต่องค์กรที่ไม่รู้จักพัฒนาคนจะหมดอายุขัยลงเช่นกัน
สันติธาร เสถียรไทย growth mindset การเรียนรู้ การพัฒนาทักษะการเรียนรู้
Group Chief Economist ของ Sea Limited ซึ่งมีกิจการในเครืออย่าง AirPay, Shopee และ Garena | อดีต Head of Emerging Asia Economics Research ของ Credit Suisse