ผมใคร่ขอเริ่มต้นด้วยการเห็นร่วมว่า ในระเบียบเสรีนิยมประชาธิปไตยของห้องเครื่องทุนนิยมยุคศตวรรษที่ 21 ที่ทำงานด้วยระบบตัวแทนในรัฐสภา อันมีคุณค่าทางชนชั้นของกระฎุมพีในระดับโลกเป็นโครงสร้างส่วนบนยึดโยง ทั้งกำหนดอยู่บนระเบียบกฎหมายระหว่างประเทศอันเป็นผลพวงส่วนหนึ่งของยุคจักรวรรดินิยมยุโรป การทำสงครามทางตรงเป็นสิ่งที่ส่งผลเสียต่อระเบียบเช่นนี้เป็นอย่างยิ่ง รวมทั้งความสูญเสียจากการตาย การเกิดคลื่นผู้อพยพ ฯลฯ นอกจากทางด้านที่เรียกกันว่ามนุษยธรรมแล้ว ทั้งหมดนี้คือแรงงาน ซึ่งประสิทธิภาพการผลิตถูกขัดขวางหรือทำให้หยุดลงอันเป็นผลของสงครามทางตรงนี้
เนื่องด้วยคงจะมีผู้วิเคราะห์เหตุการณ์ปัจจุบันระหว่างรัสเซียและยูเครนอยู่มากแล้ว ผมคงขอใช้พื้นที่นี้ในการเล่าเท้าความในลักษณะประวัติศาสตร์ช่วงยาว ถึงความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับบริเวณของโลกที่เรียกว่าสแกนดิเนเวียปัจจุบันแทน
มีนักวิชาการผู้สังเกตการณ์การคลี่คลายของประวัติศาสตร์ในยุคสหภาพโซเวียต และเสนอว่าหากจะดูปฐมกำเนิดอารยธรรมรัสเซีย ต้องพิจารณาที่ภูมิภาคสแกนดิเนเวียในส่วนที่เป็นเยอรมนิคด้วยอย่างขาดไม่ได้ และย้อนไปได้จนถึงยุคกลางโน่นทีเดียว
วิธีการมองด้วยสังคมวิทยาประวัติศาสตร์
ผู้ศึกษาประวัติศาสตร์ในระยะใกล้ จะมีข้อเสนอไปในทางที่ว่า เส้นทางการเข้าสู่สมัยใหม่ของรัสเซียนั้นเป็นไปอย่างก้าวกระโดด ใช้เวลาสั้น ในรูปแบบของรัฐอำนาจเบ็ดเสร็จ ไม่ว่าจะอยู่ภายใต้จักรวรรดิของซาร์ต่างๆ หรือจะอยู่ในรูปแบบสหภาพโซเวียตก็ตาม
ข้อเสนอเหล่านี้จะย้อนไประบุว่า ความสำเร็จของรัสเซียในการเริ่มต้นการก้าวกระโดดนั้นมีฐานมาสักสองสามทศวรรษก่อนการปฏิวัติรัสเซียในปี 1917 นักประวัติศาสตร์เศรษฐกิจแสดงตัวชี้วัดตรงที่ปริมาณการผลิตเหล็ก การสร้างทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรีย และอัตราการลงทุนที่สูงขึ้น แต่ปัญหาของข้อเสนอเหล่านี้ก็อยู่ตรงที่ว่า ความก้าวหน้าเหล่านี้มันมีขนาดนิดเดียวเมื่อเปรียบเทียบกับขนาดเศรษฐกิจและประชากรอันมหาศาล ผู้ที่อยู่ในภาคอุตสาหกรรมนั้นมีจำนวนน้อยนิดหากเปรียบเทียบกับผู้ที่อยู่ในภาคเกษตร
จึงเป็นเรื่องที่น่าตั้งคำถามอยู่ครามครันว่า รูปแบบรัฐมาร์กซิสต์-เลนนินนิสต์นั้นจะเปลี่ยนเส้นทางประวัติศาสตร์ของรัสเซียไปทั้งมวลโดยไม่มีอะไรเป็นฐานที่พร้อมรองรับกับความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เลยหรือ
คำตอบคือมีแน่ และมีมาอย่างยาวนานด้วย แต่เราต้องไปดูที่ระดับสังคมวิทยา (หรือระดับโครงสร้างส่วนบนอันเป็นสิ่งที่มาร์กซิสต์ดั้งเดิมปฏิเสธ) และนี่เป็นที่มาของการพยายามทำความเข้าใจเส้นทางอันยาวนานนี้ก่อนอารยธรรมรัสเซียจะผงาดขึ้นมาเป็นจักรวรรดิ
วิธีการดูเส้นทางความก้าวหน้าของนักสังคมวิทยาประวัติศาสตร์จึงไปดูที่ตัวชี้วัดสองสามตัว ที่จะนำไปสู่การเริ่มต้นของความก้าวหน้าคืออัตรารู้หนังสือ อายุแต่งงานของสตรี (รวมทั้งรูปแบบโครงสร้างครอบครัวของบริเวณภูมิศาสตร์นี้ ซึ่งคงจะต้องขอละเอาไว้ก่อน)
อัตรารู้หนังสือ (literacy rate)
ชั่วขณะก่อนที่จะเกิดการปฏิวัติรัสเซีย แม้อุตสาหกรรมจะเพิ่งเริ่มต้น แต่อัตราการรู้หนังสือพุ่งสูงขึ้นมาสอดรับกันแล้ว เมื่อดูอัตราการรู้หนังสือที่ต้องใช้สำหรับการเกณฑ์ทหาร (ชาย) เข้าสู่กองทัพจักรวรรดิรัสเซีย จะพบว่า ก้าวกระโดดจากร้อยละ 20 ในปี 1874 ไปสู่ร้อยละ 70 ในปี 1913
หากลองดูเปรียบเทียบกับก่อนการปฏิวัติฝรั่งเศสก็ได้ ว่าสัดส่วนของเหล่าผู้ชายฝรั่งเศส ที่สามารถลงนามในทะเบียนสมรสได้ ก็มีถึงร้อยละ 70 เช่นกัน ที่ต่างกันคือ อัตรารู้หนังสือในรัสเซียนั้นเกิดขึ้นทีหลัง แต่เป็นไปอย่างรวดเร็วมาก กรณีบริเวณที่ราบลุ่มปารีสนั้น จากร้อยละ 30 ขึ้นไปถึง 70 ใช้เวลาเป็นร้อยปี แต่รัสเซียสมัยซาร์ใช้เวลาที่บีบสั้นลงเหลือเพียง 30 ปีในการขยายอัตรารู้หนังสือดังกล่าว
อัตรารู้หนังสือนี้มาจากที่ไหน คือมาจากโลกเยอรมนิก จากทะเลบอลติค จากโลกสแกนดิเนเวียนั่นเอง ประเด็นนี้จะชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อดูที่อายุแต่งงานของสตรี ซึ่งจะได้กล่าวต่อไป
ถึงตรงนี้อาจจะต้องกล่าวถึงที่มาของการแพร่กระจายของอัตรารู้หนังสือก่อนว่า หากพิจารณาพัฒนาการของประวัติศาสตร์ยุโรประยะยาวแล้ว ในช่วงปี 1500-1900 มีการ ‘ปฏิวัติ’ สามระลอกด้วยกัน ระลอกสุดท้ายเป็นการปฏิวัติที่เป็นที่รู้จักมากที่สุด คือการปฏิวัติอุตสาหกรรม ในที่นี้จะกล่าวถึงสองระลอกแรก
ระลอกแรกเป็นการพุ่งสูงขึ้นของอัตราการรู้หนังสือ (ซึ่งเริ่มต้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 11-13 โน่น) ซึ่งได้รับแรงผลักดันจากการพิมพ์ และนำไปสู่การแพร่หลายของอัตราการรู้หนังสือ ซึ่งพอถึงปี 1850 มีบริเวณที่เป็นแก่นของการพัฒนานี้ ที่มีอัตราการรู้หนังสือของประชากรเกินร้อยละ 70 คือสวิตเซอร์แลนด์ เยอรมนี สวีเดน นอร์เวย์ เดนมาร์ค ไอซ์แลนด์ ฟินแลนด์ ฮอลแลนด์ และสกอตแลนด์ (ไม่รวมอังกฤษ)
การปฏิวัติระลอกที่สองเป็นเรื่องประชากร การแพทย์ที่ก้าวหน้าขึ้นนำมาซึ่งอัตราการตายที่ต่ำลง ซึ่งมีการถกเถียงกันว่า อัตราการตายที่ต่ำลงเป็นผลมาจากเศรษฐกิจมากน้อยแค่ไหน เพราะในประเทศที่เป็นอุตสาหกรรมช้าสักหน่อย เช่น สวีเดน ซึ่งยังเป็นสังคมชาวนาส่วนใหญ่ (แต่เป็นชาวนาที่อ่านออกเขียนได้) กลับมีอัตราการตายที่ต่ำลงก่อนประเทศแถวหน้าของการพัฒนาอุตสาหกรรมอื่นๆ
อย่างไรก็ดี ผลของการเปลี่ยนแปลงนี้คือ อัตราการเกิดที่ต่ำลง เมื่อเราเริ่มเห็นความสัมพันธ์ระหว่างอัตราการรู้หนังสือและอัตราการเกิดที่ต่ำลงแล้ว เราก็จะเห็นการแพร่ขยายของสิ่งนี้ตามเส้นลำดับเวลาประวัติศาสตร์
อัตราการรู้หนังสือที่เป็นผลจากกระบวนการที่กล่าวมานี้ แพร่ขยายมาจากภูมิภาคบอลติค ซึ่งแรกนำโดยเส้นทางสันนิบาตฮันซา ต่อมาก็สวีเดน บริเวณดังกล่าวนี้เป็นบริเวณที่มีอัตรารู้หนังสือของสตรีอายุ 20-29 ปีมากกว่าร้อยละ 90 ซึ่งสูงที่สุดในโลก และรัสเซียทางฝั่งทะเลบอลติคนี้ก็ได้รับมรดกนี้มาด้วย
อายุแต่งงานของสตรี
ปัจจัยต่อมาคือในบริเวณที่มีอัตราการรู้หนังสือสูง อายุแต่งงานของสตรีก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย ถ้าดูตามเชิงภูมิศาสตร์ จะเห็นว่า รัสเซียที่อยู่ใกล้ทะเลบอลติค ก็จะมีค่าเฉลี่ยของอายุการแต่งงานสตรีสูงขึ้นตาม (โปรดดูแผนที่)
ประเด็นนี้สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างสแกนดิเนเวียฝั่งบอลติคและรัสเซียที่ย้อนไปได้ในระยะยาววว (หมายถึงยาวมาก) โดยเฉพาะเส้นทางการค้าวารันเจียน (Varangian Trade Route) ซึ่งเชื่อมชาวไวกิ้งสวีเดนเข้ากับกรีก ซึ่งบนเส้นทางดังกล่าวนี้ มีเคียฟเป็นชุมทางสำคัญ
ในแง่มุมเช่นนี้ ภาพระยะยาวที่ระบุว่าเคียฟเป็นปฐมกาลของอารยธรรมรัสเซียนั้น จะสามารถมีภาพที่ยาววว ขึ้นไปอีกว่าปฐมกำเนิดของอารยธรรมรุซ (Rus) ย่อมมาจากเส้นทางที่เหล่าชาววารันเจียนเข้าบุกและบุกเบิกลงทางแม่น้ำดนีเปอร์ในยุคกลางได้
อ้างอิง
– Emmanuel Todd, The Causes of Progress: Culture, Authority and Change (1987)
– Simon Franklin and Jonathan Shepard, The Emergence of Rus 750-1200 (1996)
– Kari Tarkiainen, Moskoviten (2017)