คอลัมน์ ‘ม่วนกุ๊บ’ ว่าด้วยเรื่องอีสานม่วนๆ อาหารการกิน ดนตรี เครื่องแต่งกาย สำเนียงสำนวน ผู้คน และวัฒนธรรมที่เลื่อนไหลไปตามความหลากหลายของโลก
ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย เรื่อง
ภาพิมล หล่อตระกูล ภาพประกอบ
องศาแสงฤดูหนาวเริ่มแวะมาทักทายตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน และจะค่อยๆ ทวีความหนาวเหน็บไปเรื่อยๆ จนสิ้นสุดที่เดือนกุมภาพันธ์ นี่เป็นเรื่องเมื่อประมาณ 10 กว่าปีที่แล้วในจังหวัดชัยภูมิ ช่วงที่ฉันยังเรียนอยู่มัธยมฯ
โรงเรียนของฉันห่างจากอุทยานแห่งชาติประมาณ 10 กิโลเมตร ล้อมรอบด้วยต้นไม้และภูเขา และเพราะอย่างนี้ ความหนาวจึงทารุณเสมอ
ฤดูหนาวเป็นทั้งที่รักและที่ชังของเหล่านักเรียนโรงเรียนประจำแห่งนี้ — ที่รัก เพราะมันเปิดโอกาสให้เราได้สวมเสื้อกันหนาว ‘คูลๆ’ ได้อย่างอิสระ ไม่ต้องสวมเฉพาะเสื้อวอร์มของโรงเรียนเท่านั้น ส่วนที่ชัง เพราะน้ำในถังอาบเย็นเยียบจนถึงกระดูก หลายต่อหลายครั้งฉันให้รางวัลตัวเองด้วยการไม่อาบน้ำตอนเช้า
แสงของฤดูหนาวสวย ต้นไม้ของฤดูหนาวบางครั้งทำให้น้ำตารื้น และลมที่พัดผ่านผิวทำให้เราโอบกอดตัวเองแน่นขึ้น
แต่ในความจริง ฤดูหนาวไม่ได้โรแมนติกตลอดเวลาขนาดนั้น โดยเฉพาะกับเด็กๆ ที่ต้องไปเข้าค่ายบนวัดป่ากลางภูเขา ความหนาวทำให้เกิดห้วงเวลาที่เรารักแสงอาทิตย์และเสื้อกันหนาวพอๆ กับรักตัวเอง
เป็นประจำทุกปีที่โรงเรียนของฉันจะพาเด็กๆ ขึ้นไปอยู่บนวัดป่า ปฏิบัติธรรม ฝึกทำผ้ามัดย้อม ใช้ชีวิตกับต้นไม้ และรู้จักการอ่านหนังสือ ทุกครั้งที่อยู่บนเขา สิ่งแรกที่ฉันอยากทำทุกเช้าคือนอนต่อ แต่ภาพที่เกิดขึ้นจริงคือการทำวัตรเช้าพร้อมเสียงไก่ขัน ออกไปเดินดูต้นไม้พร้อมๆ กับแสงแรกของวัน หมอกคลุมไปทั่วผืนผา เสียงไฟไหม้ฟืนดังเบาๆ เพื่อบอกเราว่าความอบอุ่นอยู่ที่นี่ มันทั้งสุขและทุกข์อย่างบอกไม่ถูก
ฉันเคยได้ยินมาว่า นอกจากข้าวเหนียว ส้มตำ และผ้าขาวม้าแล้ว พระวัดป่าก็เป็นหนึ่งในของดีเมืองอีสาน
เรื่องราวพระธุดงค์ที่เดินเท้าเปล่าฟันฝ่าอุปสรรคนานัปการ กินนอนในถ้ำ สยบงูเสือ ไม่เคยกลัวภูตผีปีศาจ ผ่านหูฉันมาไม่ต่ำกว่าร้อยครั้ง และเป็นตำนานที่ฝังอยู่ในความเชื่อของคนอีสานอย่างแนบสนิท
“หนังที่ดีที่สุดคือหนังเท้าพระธุดงค์” พระอาจารย์เคยพูดกับฉันและเพื่อนในเช้าของหน้าหนาว ฉันเหลือบมองเท้าเปล่าของพระอาจารย์ที่ยืนบนผืนดิน — หนังเท้าหนา และเต็มไปด้วยบาดแผล
ในห้วงเวลาที่ฤดูหนาวกรีดผิวแบบนี้ ฉันนึกไม่ออกว่าเท้าเปล่ายืนอยู่ได้อย่างไรบนผิวดินที่เยียบเย็นเช่นนั้น และไม่ใช่แค่เท้า แต่พระอาจารย์ รวมถึงพระหลายรูปในวัดป่า สวมเพียงจีวรและหมวกไหมพรมเพื่อทัดทานความหนาวเท่านั้น ไม่มีใดอื่น
บางตอนของการนั่งสมาธิ พระอาจารย์เคยบอกว่า ความรู้สึกหนาวเหน็บที่ผ่านผิวกายเป็นเรื่องของจิตปรุงแต่ง ฉันค้านหัวชนฝา จิตปรุงแต่งที่ไหนจะสมจริงและทรมานขนาดนี้ พระอาจารย์ยังบอกอีกว่า ความทรมานของการอาบน้ำเย็นก็เป็นเรื่องที่เราคิดเอาเองว่ามันหนาว — คิดเองที่ไหน หนาวสิ หนาวมากด้วย อยากให้ทุกคนได้ลอง
ฉันคิดเอาเองว่าความหนาวจะงดงามก็ต่อเมื่อเราอบอุ่น และฤดูฝนจะโรแมนติกก็ต่อเมื่อเราไม่เปียก — ไม่ใช่อุ่นที่ใจ แต่อุ่นที่กายจริงๆ
คงไม่มีอะไรยืนยันได้เท่าข่าวคนหนาวตายที่มีมาทุกปี พ่อที่สละผ้าห่มให้ลูกทั้งคืน พระวัดป่าที่อยู่กับความหนาวมาสิบวันจนเสียชีวิตในที่สุด ฯลฯ
กุฏิในวัดป่าแยกตัวเป็นหลังๆ ส่วนมากทำด้วยไม้ ในช่วงที่ภัยหนาวบุกเข้ามารุนแรงจริงๆ ลมพัดโกรกจนใจสะท้าน พระต้องต่อสู้กับความหนาวด้วยตัวเอง
ไม่รู้ว่าเป็นความโชคดีหรือโชคร้ายที่ทุกวันนี้ฤดูหนาวไม่ยาวนานและทารุณเหมือนแต่ก่อนแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีห้วงเวลาที่น่ากลัว
เรายังต้องรับมือกับฤดูหนาวที่แปลงร่างเป็นปีศาจเมื่อเราไร้ที่พักพิง
ความหนาวเป็นเรื่องของจิตปรุงแต่ง ? อาจใช่ในบางที และอาจช่วยเราได้ในยามที่ต้องอาบน้ำเย็นจริงๆ แต่เมื่อใดที่ ‘ความหนาวจริงๆ’ มาเยือน จิตของเราก็คงรับมือไม่ไหว
เมื่อโตขึ้น ทุกครั้งที่ฤดูหนาวมาเยือน ฉันมักจะหวนกลับไปคิดถึงความหนาวในวัดป่าบนภูเขาเสมอ ความเจ็บของปากที่แห้งแตก เสียงฟันกระทบกันกึกๆ เมื่อยามยืนคุยกับเพื่อน เสียงร้องตะโกนลั่นของคนในห้องน้ำ องศาของแสงแบบฤดูหนาวที่อธิบายยาก ฯลฯ ยังแว้บเข้ามาในหัว — ที่กรุงเทพฯ ไม่หนาวแบบนั้น
บันทึกไว้ในฤดูหนาวที่หนาว