จริงอยู่ การนินทาเป็นพฤติกรรมที่ถามใคร ใครก็เบือนหน้าหนี บอกว่าเป็นพฤติกรรมที่แย่เหลือหลาย หลายศาสนาบอกว่าการนินทาหรือพูดจาไม่ดีลับหลังคนอื่นนั้นเป็นบาป ในอังกฤษสมัยศตวรรษที่ 16 และ 17 ใครขี้เมาท์มากเกินเหตุ บางทีถึงขั้นต้องถูกจับใส่ ‘ตะกร้อ’ (เรียกว่า Brank) ซึ่งมีลักษณะเป็นสวมหัวมีเหล็กมาครอบปากทำให้พูดไม่ได้กันเลยทีเดียว
แต่ถึงใครจะหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่การนินทาแค่ไหน ก็ถามหน่อยเถอะ-ว่ามีใครบ้าง, ที่ไม่นินทาคนอื่นเลยแม้แต่นิดเดียว
แทบจะไม่มี!
แน่นอน การซุบซิบนินทานั้นส่งผลร้ายอยู่เหมือนกัน เช่น อาจทำให้ข่าวเสียหายเกี่ยวกับคนที่ถูกนินทาแพร่ไปผิดๆ ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง และอื่นๆ อีกหลายอย่างดังที่เราน่าจะรู้ๆ กันอยู่แล้ว แต่ทุกอย่างย่อมมีข้อดีข้อเสียของมัน คุณอยากรู้ไหมว่า การนินทากาเลเหมือนเทน้ำนั้น มันมี ‘ข้อดี’ ของมันบ้างหรือเปล่า
ถ้าคุณอยากรู้เรื่องนี้-ก็พึงรู้ไว้ว่า คุณอยากรู้เหมือนกับนักวิจัยสังคมจำนวนมากจากหลากหลายสถาบันกันเลยทีเดียว มีงานวิจัยที่พยายามดูว่า การนินทามี ‘ฟังก์ชัน’ ในแง่บวกของมันบ้างหรือเปล่า นอกเหนือไปจากทำให้คนต้องอับอายหรือใช้เป็นเครื่องมือทำร้ายคนอื่นแล้ว ซึ่งคำตอบก็คือ-มี!
ในงานวิจัยชื่อ The Virtues of Gossip หรือว่า ‘คุณธรรมของการนินทา’ ของแมทธิว ไฟน์เบิร์ก (Matthew Feinberg) และคณะที่ตีพิมพ์ในวารสารชื่อ Review of General Psychology เขาบอกว่าการนินทาเป็นเรื่องสำคัญของสังคมมนุษย์มาตั้งแต่โบราณเลยทีเดียว
ถ้าคุณสังเกตดูให้ดี ว่าการนินทาไม่ใช่จะเกิดขึ้นง่ายๆ แต่ ‘เรื่อง’ ที่จะเอามานินทากันนั้น จะต้องเป็นเรื่องที่มีลักษณะเฉพาะบางอย่าง อาทิเช่น เป็นเรื่องที่ ‘สำคัญ’ (Significant) ต่อแวดวงสังคมนั้นๆ โดยการนินทาจะต้องมี ‘มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์’ ซ่อนอยู่ข้างใต้เสมอ งานวิจัยนี้บอกว่า เอาเข้าจริงแล้ว การทำให้ผู้ถูกนินทาเสื่อมเสียชื่อเสียงนั้น มักจะไม่ใช่เป้าหมายหลักของการนินทา และจำนวนมากก็ถึงขั้นไม่เกี่ยวข้องกับ ‘ตัวคน’ ด้วยซ้ำ
สิ่งสำคัญคือ ‘เรื่อง’ ที่นินทาต่างหาก
การนินทามักจะเกิดขึ้นเมื่อมีใครบางคนทำอะไรบางอย่างแตกต่างไปจาก ‘บรรทัดฐานของสังคม’ (Social Norm) ของสังคมนั้นๆ ซึ่งไม่ได้แปลว่าจะต้องเป็นเรื่องเสื่อมเสียอย่างเดียว ใครทำอะไรกระโดดเด้งดีงาม ก็มักจะเป็นที่พูดถึงด้วย ซึ่งก็คือการนินทาเหมือนกัน แต่เรื่องร้ายๆ ของคนจะฝังลึกเป็นที่จดจำมากกว่า ทำให้คนมักมองว่าการนินทามีแต่เรื่องเสียหาย
การนินทาในแง่นี้จึงมี ‘หน้าที่’ ของมันในฐานะการส่งต่อข้อมูลข่าวสารในกลุ่ม คล้ายๆ กับสัตว์ฝูงแลกเปลี่ยนข้อมูลเรื่องแหล่งอาหารผ่านฟีโรโมนหรือวิธีการอื่นๆ เพื่อให้ฝูงนั้นอยู่รอดและมีวิวัฒนาการสืบเนื่องต่อมาได้ แต่สำหรับมนุษย์แล้ว เนื่องจากเรามีวิวัฒนาการทางสมองมากจนสามารถคิดค้น ‘ภาษา’ ขึ้นมาใช้ เราจึงอาศัย ‘ภาษา’ มาทำหน้าที่นี้แทนฟีโรโมนต่างๆ
โรบิน ดันบาร์ (Robin Dunbar) ซึ่งเป็นนักมานุษยวิทยาและนักจิตวิทยาวิวัฒนาการ (Evolutionary Psychologist) จากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด บอกว่าการซุบซิบนินทาที่ซ่อนอยู่ใน ‘ภาษา’ นี่แหละ คือเครื่องมือสำคัญที่ทำให้เกิด ‘สังคม’ ของมนุษย์อย่างที่มันเป็น
ดันบาร์มีตัวเลขสำคัญอยู่ตัวเลขหนึ่งที่เกิดจากการทำวิจัยต่อเนื่องยาวนานหลายสิบปี ตัวเลขนั้นเรียกว่า Dunbar’s Number หรือ ‘ตัวเลขของดันบาร์’ เป็นตัวเลขของ ‘จำนวนคน’ ที่มนุษย์เราแต่ละคนจะสามารถรักษาความสัมพันธ์เอาไว้ได้แบบคงที่ พูดง่ายๆ ก็คือเป็นตัวเลขของเพื่อนและคนรู้จักที่เราคบหาสนิทสนมและรักษาความสัมพันธ์กันไว้สม่ำเสมอ ดันบาร์บอกว่าตัวเลขเฉลี่ยนี้อยู่ที่ 148 คน (ซึ่งบางคนก็มากหรือน้อยกว่านี้) คือพ้นจากวงนี้ไปแล้ว ความสัมพันธ์จะไม่คงที่ (Stable) แล้ว แต่ถามว่า คนในวง 148 คนที่ว่านี้ รักษาสัมพันธ์กันได้อย่างไร คำตอบก็คือ ‘การเมาท์’ นั่นเอง
การเมาท์ไม่ได้เป็นแค่การเรียนรู้ถึงบรรทัดฐานหรือ Norm ต่างๆ ของสังคมเท่านั้น แต่ดันบาร์บอกว่ายังเป็นการเรียนรู้ถึงบรรทัดฐานทางวัฒนธรรม (Cultural Norm) ของสังคมนั้น รวมไปถึงการสร้างสัมพันธ์กับคนอื่น ได้สร้างการทำงานร่วม (ผ่านการเมาท์นี่แหละ!) และยังทำให้คนแต่ละคนได้ประเมินความสำเร็จของตัวเอง (เมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่นผ่านการเมาท์) และมองเห็นถึง ‘จุดยืนร่วม’ ของสังคมที่คนคนนั้นสังกัดอยู่อีกด้วย
แต่ในอีกแง่หนึ่ง การเมาท์ก็เปิดโอกาสให้คนบางคนทำตัวเป็น ‘ตำรวจนอร์ม’ (คล้ายๆ ที่เราเรียกคนที่ชอบแก้ไขภาษาของคนอื่นว่า ‘ตำรวจภาษา’) ซึ่งพวกตำรวจนอร์มนี้อาจจะใช้การเมาท์เพื่อให้เกิดผลดีหรือผลเสียก็ได้ ที่น่าสนใจก็คือ มีงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งของ Sally Farley ที่พูดถึง ‘อำนาจ’ ของการกอสซิป ซึ่งไม่ใช่แค่อำนาจในการควบคุมคนอื่นให้เป็นไปตามนอร์มของสังคมเท่านั้น แต่การกอสซิปยังมีอำนาจในการควบคุมผู้กอสซิป (หรือคนขี้เมาท์) ได้อีกด้วย
งานวิจัยนี้บอกว่า คนที่ขี้เมาท์ (คือเมาท์บ่อยๆ) นั้น จะถูกมองว่าเป็นคนที่มีอำนาจในสังคมน้อยกว่าคนที่เมาท์น้อยๆ (ประเภทไม่ค่อยพูด แต่พูดทีก็แตกฮืออะไรทำนองนั้น) ที่สำคัญ บางคนชอบคิดว่าตัวเองมีข่าวมาเล่าให้เพื่อนฟังโดยเฉพาะข่าวแง่ลบ คือข่าวที่บอกว่าคนโน้นคนนี้ไม่ดีอย่างไรบ้าง (โดยเวลาพูดก็จะชอบลดเสียงให้เบาลง) โดยคิดว่าตัวเองคงเป็นที่ชื่นชอบของคนอื่นเพราะได้ ‘คาบข่าว’ มาบอกคนอื่นให้รู้แต่เนิ่นๆ แต่งานวิจัยนี้บอกว่า เอาเข้าจริง คนที่เมาท์เรื่องในแง่ลบ จะเป็นที่ชื่นชอบน้อยกว่าคนที่ซุบซิบนินทาในแง่บวก (แต่ก็แน่นอนว่าเรื่องแง่ลบจะเป็นที่จดจำได้มากกว่าเรื่องแง่บวกด้วย)
มันจึงเป็นการ ‘คานอำนาจ’ กันระหว่างการเมาท์มากเมาท์น้อยและเมาท์เรื่องดีเมาท์เรื่องแย่
แม้แต่ Fast Company ซึ่งเป็นนิตยสารเชิงธุรกิจสำหรับคนรุ่นใหม่ ก็ยังเคยมีบทความเขียนถึงการซุบซิบนินทา แต่เขาบอกว่าให้พยายาม ‘ใช้ประโยชน์’ จากมัน โดยแนะนำเอาไว้ 5 อย่าง คือ
- เวลาเกิดอยากจะนินทาเพื่อนร่วมงานหรือเจ้านายขึ้นมาละก็ ให้รีบดูทันทีว่าทำไมเราอยากนินทา เพราะการนินทาแปลว่ามันต้องมีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นแน่ๆ อะไรทำให้เราโกรธเจ้านาย รำคาญเพื่อนร่วมงาน คือถ้าเราเห็น ‘ปัญหา’ ได้ ก็จะรู้ว่าควรเอาเรื่องนี้ไป ‘นินทา’ (หรือปรึกษา) กับใครดี ถึงจะเกิดประโยชน์สูงสุด คือได้ระบายความอัดอั้นด้วย แล้วก็มีคนมาช่วยแก้ปัญหาด้วย ไม่ใช่เมาท์แตกไปวันๆ จนในที่สุดก็อาจส่งผลร้ายต่อตัวเอง
- การนินทาเรื่องเบาๆ เล็กๆ น้อยๆ ในหมู่เพื่อนสนิทหรือเพื่อนร่วมงานที่สนิท ถ้าดูให้ดีจะเห็นว่าเป็นการสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือในกลุ่ม ที่สำคัญคือมันเป็น ‘เครื่องมือ’ ในการ ‘กำจัด’ คนที่เข้ากันกับกลุ่มนั้นๆ ไม่ได้ออกไปด้วย ซึ่งถ้าเกิดขึ้นอย่างพอดี ไม่มากเกินไป ก็จะทำให้กลุ่มนั้นๆ ทำงานได้ดีขึ้นด้วยซ้ำ
- นักจิตวิทยาอย่าง Robb Willer บอกว่าการนินทาช่วยลดความเครียดได้ การกระจายข้อมูลเกี่ยวกับคนที่เรารู้สึกว่าทำผิด Norm บางอย่าง จะช่วยลดความรู้สึกภายในของเราลง ทำให้หัวใจเต้นช้าลง และส่งผลดีต่อสุขภาพของเราอีกต่างหาก แต่กระนั้นก็พึงระวังถึง ‘ผลลัพธ์’ ที่จะตามมาด้วย
- นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโกรนินเกน (Groningen) ในเนเธอร์แลนด์ ศึกษาถึงผลบวกและผลลบของการกอสซิป และพบว่าถ้าเรากอสซิปเรื่องดีๆเกี่ยวกับคนอื่น จะส่งผลให้ตัวเราอยากปรับปรุงตัวเองมากขึ้น ในขณะที่การกอสซิปเรื่องแย่ๆแง่ลบ ก็จะช่วยให้เราตอกย้ำข้อมูลนั้นๆ กับตัวเอง ทำให้เราไม่อยาก ‘เสี่ยง’ ที่จะทำผิดพลาดแบบเดียวกันกับเรื่องที่เราเมาท์อยู่
- การซุบซิบข้อมูลเรื่อง ‘ส่วนตัว’ ประมาณว่าลับมากนะ-อย่าไปบอกใคร (แต่สุดท้ายก็ปิดกันให้แซ่ด) มีการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตเบิร์คลีย์ บอกว่าที่จริงแล้วเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่สนิทชิดใกล้ให้คนที่ ‘แชร์’ ข้อมูลเหล่านั้นระหว่างกันด้วยซ้ำ
อันนินทากาเลจึงเหมือนเทน้ำจริงๆ แต่เป็นการ ‘เทน้ำออกจากอก’ ทำให้เกิดความโล่งขึ้นมาได้อย่างประหลาด
มิน่าล่ะ-ถึงได้ขี้เมาท์กันทั้งประเทศแบบนี้!
อ่านเพิ่มเติม
-บทความ Five Hidden Benefits Of Gossip ของ Stephanie Vozza จาก Fast Company, March 5, 2015
-งานวิจัย The Virtues of Gossip จาก American Psychological Association 2012