จันจิรา สมบัติพูนศิริ เรื่อง
ช่วงสองปีมานี้ ทุกครั้งที่คุยกับเพื่อนนักวิชาการเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองในบ้านเราและในโลก มีอันต้องบ่นกันเรื่องอนาคตอันกระง่อนกระแง่นของประชาธิปไตย สำหรับคนยุค ’90 อย่างข้าพเจ้า เวลานั่งดูประชาธิปไตยค่อยๆ ถูกสั่นคลอนในหลายประเทศ (โดยเฉพาะในประเทศไทย) เหมือนกำลังเป็นประจักษ์พยานแก่ภัยธรรมชาติที่ถล่มตึกสูงให้ล้มครืนลงมาทีละตึก … ทีละตึก
ยุค ’90 ไม่ได้เป็นเพียงยุคของ Britney Spears และ Backstreet Boys เท่านั้น แต่ยังเป็นยุครุ่งโรจน์ของเสรีนิยมประชาธิปไตย หลักสิทธิมนุษยชนสากล ความร่วมมือระหว่างประเทศ และโลกาภิวัตน์ทางการค้า นักวิชาการและผู้กำหนดนโยบายเชื่อกันจริงๆ ว่าเรามาถึงจุดสูงสุดของประวัติศาสตร์ และประชาธิปไตยคือนิรันดร์ เสรีนิยมประชาธิปไตยกลายเป็นทางเลือกเดียวของโลก ไม่มีอะไรดีกว่านี้ได้
ชาวพุทธและนักทฤษฎีโพโม (postmodern – หลังสมัยใหม่) รู้กันดีว่าไม่มีอะไรจีรัง รัฐประหารเกิดขึ้นในไทยปี 2549 วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ปี 2551 วิกฤตเงินยูโรตามมาติดๆ พรรคฝ่ายขวาในยุโรปได้ที่นั่งเพิ่มขึ้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา รัฐประหารในไทยเวียนมาบรรจบอีกครั้งในปี 2557 อังกฤษออกจากสหภาพยุโรปปี 2559 ตามติดมาด้วยชัยชนะของโดนัลด์ ทรัมป์ในสหรัฐฯ
ขณะที่ชาวโลกโล่งใจว่าฝรั่งเศสและเนเธอร์แลนด์รอดเงื้อมมือพรรคขวาประชานิยมมาได้ในการเลือกตั้งเมื่อต้นปีนี้ แต่ล่าสุดเราก็อึ้งกันอีกครั้ง เมื่อพรรคขวาประชานิยมอย่าง “พรรคทางเลือกเพื่อเยอรมนี” (Alternative for Germany – AfD) ได้คะแนนเสียงเกือบ 3 ล้านเสียง คิดเป็นร้อยละ 13.5 สูงกว่าคะแนนเสียงในการเลือกตั้งปี 2556 อย่างมาก ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เยอรมันหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 (พูดอีกอย่างได้ว่า “หลังฮิตเลอร์”) ที่พรรคอุดมการณ์ฝ่ายขวา สนับสนุนนโยบายชาตินิยมและกีดกันผู้อพยพ มีที่นั่งในสภาเยอรมัน
ไม่เพียงเท่านั้น พรรคร่วมรัฐบาลเดิมสองพรรคใหญ่ ได้แก่ พรรคสหภาพประชาธิปไตยคริสเตียน (Christian Democratic Union – CDU) และพรรคประชาธิปไตยสังคม (Social Democratic Party – SDP) ได้คะแนนลดลงจากการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว ฉะนั้นแม้ว่าทั้งสองพรรคยังครองคะแนนเสียงมากที่สุด คือ พรรค CDU ได้ร้อยละ 33 ส่วน SDP ได้เพียงร้อยละ 20 แต่พรรคขวาประชานิยม AfD ได้คะแนนเสียงมากเป็นอันดับสาม
หากสูตรพรรคร่วมรัฐบาลยังคงเหมือนเดิม คือ CDU+SDP เป็นไปได้ว่าพรรค AfD จะเป็นแกนนำพรรคฝ่ายค้าน ซึ่งมีอำนาจผลักดันวาระทางการเมืองแบบขวาๆ มากขึ้น (ขณะนี้พรรค CDU ยังเจรจากับพรรคต่างๆ ที่จะมาร่วมรัฐบาลอยู่ เป็นไปได้ว่าพรรค SDP จะอยากเป็นฝ่ายค้านมากกว่าเฉาตายในรัฐบาล)
พรรค AfD มีอายุไม่ถึงห้าปี แต่ได้รับความนิยมรุดหน้า เพราะต่อต้านนโยบายรับผู้อพยพของนายกรัฐมนตรีหญิง อังเกลา แมร์เคิล พรรค AfD จึงมีวาทะทางการเมือง (political rhetoric) คล้ายกับพรรคฝ่ายขวายุโรปที่อื่น รวมถึงผู้สนับสนุนทรัมป์ในมิตินี้
ในแวดวงสื่อโลก ชุมชนวิชาการ และผองเพื่อนของข้าพเจ้า ยังเถียงกันอยู่ว่าผู้สนับสนุนพรรคขวาประชานิยมเป็นพวกฝ่ายขวาด้วยหรือไม่ คือเห็นเชื้อชาติตัวเองเหนือคนอื่น (racism) กลัวคนวัฒนธรรมอื่น (xenophobia) และในหลายกรณี เหยียดเพศ (sexism/misogyny) ฝ่ายที่ปกป้องแนวคิดเสรีนิยมว่าด้วยการเคารพความหลากหลายทางวัฒนธรรมเชื่อว่า คนเลือกพรรคฝ่ายขวา เพราะเห็นพ้องกับอุดมการณ์ขวาๆ จึงถือว่า “หันขวา” สำนักข่าวอย่าง Vox หรือ The New York Times ในสหรัฐฯ มักแสดงความเห็นในทำนองนี้ต่อผู้สนับสนุนทรัมป์เสมอ
กระนั้นก็ดี ที่มาของพรรค AfD และสถิติการเลือกตั้งครั้งนี้ ทำให้เราตั้งคำถามกับตรรกะที่ว่า “คนเลือกพรรคฝ่ายขวาเพราะหันขวา”
พรรค AfD ตั้งโดยนักเศรษฐศาสตร์กลุ่มหนึ่ง ซึ่งต่อต้านนโยบายของสหภาพยุโรปในการช่วยเหลือประเทศในยุโรปใต้ให้พ้นจากปัญหาหนี้ในช่วงวิกฤตค่าเงินยูโร โดยเห็นว่านโยบายนี้เบียดบังเงินภาษีของชาวเยอรมัน ทั้งยังเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสหภาพยุโรป
การชูประเด็นดังกล่าวทำให้พรรค AfD มีจุดยืนต่างจากพรรคร่วมรัฐบาลอย่างชัดเจน และได้รับการสนับสนุนจากชาวเยอรมัน โดยเฉพาะในฝั่งตะวันออกที่มีฐานะยากจนกว่าฝั่งตะวันตก จนได้รับคะแนนกว่าร้อยละ 4 ในปี 2556
จุดเปลี่ยนของพรรคที่สำคัญ คือ นโยบายของรัฐบาลในปี 2558 ซึ่งรับผู้ลี้ภัยจากซีเรียมาพำนักในประเทศ ในช่วงแรกท่าทีของชาวเยอรมันโดยเฉพาะในฝั่งตะวันตกตอบรับกับนโยบายนี้ มีผู้คนออกมายืนต้อนรับผู้อพยพและอาสาสมัครให้ความช่วยเหลือไม่ขาดสาย แต่แล้วกระแสต้อนรับกลับพลิกผัน ภายหลังเกิดเหตุโจมตีในฝรั่งเศสและเบลเยี่ยม รวมถึงเหตุก่อการร้ายในเยอรมนีตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา ชาวเยอรมันเริ่มตั้งคำถามต่อนโยบายเปิดรับผู้อพยพ พรรค AfD ถือโอกาสเปลี่ยนประเด็นหลักของพรรคจากโจมตีรัฐบาลเรื่องนโยบายเศรษฐกิจเป็นเรื่องผู้ลี้ภัยแทน จนขยายฐานเสียงได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในฝั่งตะวันออก ซึ่งเป็นฐานเสียงของพรรค CDU
ครั้งหนึ่ง อังเกลลา แมร์เคิล เคยกล่าวว่าไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากรับผู้อพยพซึ่งเผชิญสงครามอันโหดร้าย ถือเป็นภาระทางศีลธรรมของชาวเยอรมัน พรรค AfD โต้กลับว่าพวกเขาคือทางเลือกสำหรับชาวเยอรมันที่หวั่นใจว่าผู้อพยพชาวมุสลิมจะสั่นคลอนวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของพวกตน ตลอดจนเป็นภัยคุกคามความมั่นคง
ข้าพเจ้าเห็นว่าคำอธิบายว่า “ผู้สนับสนุนพรรคฝ่ายขวาหันขวา” ไม่เพียงพอต่อการทำความเข้าใจปรากฏการณ์อันซับซ้อนนี้ พรรคฝ่ายขวาได้คะแนนนิยมส่วนหนึ่งก็ผลมาจาก “การเมืองของทางเลือก”
กล่าวคือ พรรคฝ่ายขวาในยุโรป รวมถึงทรัมป์ และพรรค UKIP ในอังกฤษที่นำชัยให้แคมเปญ Brexit ล้วนแต่อ้างว่าตนคือ “ทางเลือก” ของประชาชน
คำถามคือ “ทางเลือกจากอะไร?”
เป็นไปได้หรือไม่ว่าผู้สนับสนุนพรรคฝ่ายขวาไม่พอใจกับนโยบายหลายประการของรัฐบาลและพรรคการเมืองกระแสหลัก ไม่ว่าจะเรื่องวิกฤตเศรษฐกิจ ความมั่นคง การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี รวมถึง กระแสโลกาภิวัตน์ทางวัฒนธรรม ซึ่งส่งผลให้คนจำนวนมากรู้สึกถูกคุกคามโดยวัฒนธรรมของ “คนนอก” และโหยหาสังคมแบบเก่าซึ่งคงคุณค่าและธรรมเนียมดั้งเดิมไว้ ประเด็นนี้เชื่อมโยงกับ “ความกลัว” ของผู้สนับสนุนพรรคฝ่ายขวาต่อคลื่นผู้อพยพ
ท่ามกลางกระแสเสียงความไม่พอใจ ดูเหมือนระบบพรรคการเมืองแบบเดิมไม่อำนวยให้ผู้คนได้แสดงความอัดอั้นเหล่านี้ คนที่แสดงความหวั่นกลัวต่อคลื่นผู้อพยพอาจถูกกล่าวหาว่าเหยียดเชื้อชาติสีผิวได้ง่ายๆ หรือหากท้าทายนโยบายเศรษฐกิจกระแสหลักซึ่งสร้างความเหลื่อมล้ำอย่างมหาศาลก็อาจถูกหาว่าพูดจาไม่มีเหตุผล ไม่อยู่บนฐานความรู้ก็เป็นได้ ขณะเดียวกัน พรรคการเมืองที่เคยเป็นทางเลือกให้แก่ประชาชนอย่างพรรคประชาธิปไตยสังคม ก็ถูกพรรคขวากลาง (เช่น CDU) ผสมกลมกลืนจนแยกไม่ออกว่าพรรคซ้ายกลางกับขวากลางมีนโยบายแตกต่างกันอย่างไร ส่วนพรรคฝ่ายซ้ายแบบดั้งเดิม (เช่น พรรค Die Linke ในเยอรมนี) ก็หลีกเลี่ยงไม่พูดถึงการเมืองอัตลักษณ์ หรือความหวั่นกลัวต่อกระแสผู้ลี้ภัย ในแง่นี้ เมื่อหันซ้ายไม่เจอทางเลือก มองตรงกลางก็หงุดหงิด หันขวาซะดีกว่า เพราะเจอคนพูดโดนใจ
ด้วยเหตุนี้ พรรคขวาประชานิยมในโลกตะวันตกจึงดึงดูดคะแนนเสียงจากผู้ที่หมดหวังกับพรรคกระแสหลัก หรือนักการเมืองในระบบ (ซึ่งมักถูกเรียกว่าเป็น “ชนชั้นนำ” หรือ “establishment”) แน่นอนว่าคนจำนวนหนึ่งเห็นด้วยกับนโยบายชาตินิยมของพรรคเหล่านี้ แต่ก็มีอีกหลายคนที่เลือกหันขวาเพียงเพราะอยากประท้วงพรรคการเมืองอื่นๆ ที่บอกว่าตนไม่มีทางเลือก
ลักษณะเช่นนี้สอดคล้องกับสถิติการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งในเยอรมนีครั้งล่าสุด ที่พบว่าผู้คนราวร้อยละ 60 ลงคะแนนเสียงให้พรรค AfD เพราะไม่เห็นด้วยกับพรรคอื่น ขณะที่ร้อยละ 30 เลือกพรรคนี้เพราะเห็นด้วยกับอุดมการณ์ของพรรค ขณะเดียวกัน ประชาชนเพียงร้อยละ 12 พอใจกับการทำงานของแกนนำพรรคอย่าง Alice Wiedel และ Alexander Gauland
กล่าวเช่นนี้ได้หรือไม่ว่า กระแส(เชื้อ)ชาตินิยมเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อปรากฏการณ์ “ขาขึ้น” ของพรรคขวาประชานิยม ทว่าความรู้สึกว่าไม่มีทางเลือกอื่น ระบบการเมืองและเศรษฐกิจแบบเดิมไม่ตอบโจทย์ ก็เป็นอีกปัจจัยที่ส่งเสริมฐานเสียงของฝ่ายขวา
อนุสติเช่นนี้อาจเป็นประโยชน์กับฝ่ายก้าวหน้า เพราะจะได้ไม่โทษแต่ฝ่ายตรงข้ามว่าเป็นพลังชั่วร้าย หรือโทษผู้สนับสนุนพรรคฝ่ายขวาว่าเป็นมารไปด้วย แต่ต้องหันกลับมาพิจารณาตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้นกับยุทธศาสตร์การเมืองของฝ่ายก้าวหน้า เหตุใดผู้คนจึงไม่เห็นตนเป็นทางเลือก และจะทำอย่างไรเพื่อเปลี่ยนชะตากรรมนี้
จากเยอรมันถึงไทย ข้าพเจ้าเห็นว่าการทบทวนตนเองเช่นนี้น่าจะเป็นประโยชน์กับฝ่ายก้าวหน้าที่พยายามต่อสู้กับรัฐบาลทหารมาหลายปี และเตรียมพร้อมกับการเลือกตั้งในปีหน้า (สาธุ) ภายใต้ระบบเลือกตั้งใหม่ที่ท้าทายกว่าเดิม
อ้างอิง
David Child, “Who are Germany’s far-right AfD?,” Al Jazeera
Cas Mudde, “What the stunning success of AfD means for Germany and Europe,” The Guardian, 24 กันยายน 2560
Jon Henley, “German elections 2017: Angela Merkel wins fourth term but AfD makes gains – as it happened,” The Guardian, 24 กันยายน 2560
Patrick McClanahan, “No Alternatives for Merkel,” Harvard Politics Review, 17 ตุลาคม 2559
Paul Hockenos, “East Germans and the far-right AfD,” International Politics and Society,