สันติธาร เสถียรไทย เรื่อง
ภาพิมล หล่อตระกูล ภาพประกอบ
ใครที่ติดตามข่าวเศรษฐกิจหรือการเงินคงได้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับ ‘ปรากฏการณ์ GameStop’ เมื่อนักลงทุนรายย่อยจำนวนมากที่ไม่ได้รู้จักกันร่วมมือร่วมใจกันซื้อหุ้นบริษัทที่นักวิเคราะห์หลายคนมองว่าไม่ได้มีอนาคตสดใส จนราคาหุ้นทะยานไปเกือบ 20 เท่าในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์
GameStop กลายเป็นปรากฏการณ์ ‘แมงเม่าพิฆาตมือโปร’ ในวอลล์สตรีท กองทุนเฮดจ์ฟันด์มือโปรชื่อดังจำนวนหนึ่งต้องเสียเงิน 5 พันล้านดอลลาร์หรือประมาณ 150,000 ล้านบาทจากการลงเงิน ‘พนัน’ ว่าหุ้นจะตกด้วยการ ‘ชอร์ตเซลล์’ (short sell) หรือการยืมหุ้นที่ตนเองไม่ได้ซื้อไว้มาจากคนอื่นเพื่อขายก่อน แล้วค่อยกลับไปซื้อหุ้นตัวเดียวกันมาใช้คืนเจ้าของหุ้นตอนที่หุ้นราคาตกแล้ว เพื่อทำกำไรจากการ ‘ขายแพงแล้วค่อยซื้อถูก”
ปรากฏการณ์นี้เริ่มจากหุ้นบริษัท GameStop แล้วลามไปยังหุ้นตัวอื่นๆ เช่น หุ้นบริษัทโรงภาพยนตร์ AMC หุ้นบริษัท Bed Bath Beyond ฯลฯ จนคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ ต้องเข้ามาจับตามองความผันผวนในตลาด รวมทั้งคนดังอย่าง Elon Musk, Chamath Palihapitiya และ ส.ว. ในสหรัฐฯ ก็ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์จนกลายเป็นกระแสสังคม
จนในที่สุด ‘โรบินฮู้ด’ แอปพลิเคชันเทรดหุ้นที่นักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่ใช้เพื่อซื้อหุ้นและตราสารอนุพันธ์ (derivatives) ของหุ้นต้องออกมาสั่งจำกัดการซื้อหุ้นบริษัทดังกล่าวของนักลงทุนรายย่อย จนกลายเป็นดราม่าต่ออีก เพราะมีคนมองว่าแพลตฟอร์มออกมา ‘ช่วยคนรวย’ ในวอลล์สตรีท
ในบทความนี้ ผมไม่ขออธิบายถึงกลไกของตลาดการเงินและการลงทุนที่ทำให้เกิดเหตุทั้งหมดนี้ได้ เพราะมีหลายบทความที่เขียนสรุปได้ดีมากอยู่แล้ว แต่อยากชวนคิดจากอีกมุมว่าเหตุการณ์นี้สะท้อนอะไร
มองเผินๆ ปรากฏการณ์นี้อาจเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับคนที่ไม่ได้สนใจเศรษฐกิจและการเงิน แต่แท้จริงแล้วมันกำลังสะท้อนถึงเทรนด์ใหญ่ที่ถูกเร่งให้รุกคืบเข้ามาเร็วขึ้นในโลกหลังโควิด-19 และจะกระทบพวกเราทุกคนทั่วโลก ซึ่งประสานกันระหว่างคลื่นลูกใหญ่อย่างน้อย 3 ลูก ทั้งการเงิน เทคโนโลยีและสังคม
1. ภาวะดอกเบี้ยต่ำยิงยาว
วิกฤตเศรษฐกิจโควิด-19 ทำให้รัฐบาลทั่วโลกต้องกดดอกเบี้ยให้เตี้ยต่ำติดศูนย์ผ่านมาตรการต่างๆ ทั้งการลดดอกเบี้ยโดยตรงและมาตรการ QE (Quantitative Easing) เพื่อพยุงเศรษฐกิจให้อยู่รอด
เมื่อดอกเบี้ยในสหรัฐฯ และบรรดาประเทศพัฒนาแล้วต่ำลงมาก สถานการณ์เช่นนี้มักผลักให้นักลงทุนและกองทุนต่างๆ ทั่วโลกต้องวิ่งหาการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น
เราเห็น ‘อาการ’ นี้ได้จากหลายที่
นี่คือเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ทั้งเงินบาทแข็งค่าเมื่อเงินทุนต่างชาติไหลเข้าประเทศ ทั้งทำให้ตลาดหุ้นร้อนแรงทั่วโลกในยามที่เศรษฐกิจและรายได้ยังไม่ฟื้นเท่าไหร่ โดยเฉพาะหุ้นบางตัวที่วิ่งขึ้นมากโดยไม่มีปัจจัยพื้นฐาน และอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ตลาด ‘สินทรัพย์ทางเลือก’ อย่างคริปโต (crypto) ร้อนแรงมากด้วยเช่นกัน
สิ่งที่หลายคนเป็นห่วงคือ ทั้งหมดนี้เป็นสัญญาณของฟองสบู่ แต่จะแตกหรือไม่ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ ด้านหนึ่งบอกว่าจะแตกเมื่อมองเทียบราคาสินทรัพย์ต่างๆ กับค่าเฉลี่ยในอดีต อีกด้านก็บอกว่ายังไม่แตก เพราะหากคำนึงถึงอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำเตี้ยเรียดินขนาดนี้ ย่อมเป็นเรื่อง ‘ปกติ’ ที่สินทรัพย์ต่างๆราคาต้องสูงกว่าแต่ก่อน
เทรนด์นี้จะคงไม่หายไปไหนเร็วๆ นี้เมื่อนักวิเคราะห์ต่างคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะคงนโยบายดอกเบี้ยต่ำไปอีกนาน
แต่สำหรับปรากฏการณ์ GameStop เทรนด์ดอกเบี้ยต่ำอาจเป็นเพียงแค่ส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งเท่านั้นเมื่อเทียบกับอีกสองเทรนด์
2. การเข้าสู่โลกดิจิทัลแบบก้าวกระโดด
โควิด-19 เร่งการเข้าสู่โลกดิจิทัลอย่างก้าวกระโดด (Digitalization) ผลพวงหนึ่งที่ตามมาคือ การที่ผู้คนจำนวนมากขึ้นสามารถเข้าถึงข้อมูลและบริการต่างๆ ได้อย่างกว้างขวางขึ้น (Democratization)
สมัยก่อน การลงทุนในตลาดการเงินเป็นเรื่องที่เข้าถึงได้ยากเสมือนมี ‘กำแพง’ กั้นหลายชั้น
คนจำนวนหนึ่งไม่มีบัญชีสำหรับลงทุน หรือต่อให้มีก็อาจขาดความรู้ความเข้าใจหรือข้อมูลต่างๆ ค่าตัวที่ปรึกษาก็แพง ต้นทุนในการเทรดก็สูง แม้แต่ตราสารทั่วไปอย่างหุ้น หุ้นกู้ พันธบัตร ก็มีคนเพียงหยิบมือเดียวที่จะเข้าไปลงทุนได้จริงๆ จังๆ หากเป็นตราสารอนุพันธ์ ส่วนใหญ่จะทำได้ก็ต่อเมื่อเป็นนักลงทุนสถาบันหรือนักลงทุนมือโปร
แต่ในหลายปีที่ผ่านมา ความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีได้ทลายกำแพงทั้งหลายเหล่านี้ไปอย่างมาก ทุกวันนี้ข้อมูลเกี่ยวกับเศรษฐกิจการลงทุนคุณภาพสูงสามารถหาได้ไม่ยากจากโลกออนไลน์ฟรีๆ ยิ่งในยุคที่ผู้นำบางคนชอบทวีต ข้อมูลจากทวิตเตอร์อาจเร็วยิ่งกว่าข่าวการเงินเสียอีก
ในขณะเดียวกัน นวัตกรรมทางการเงินทำให้การลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ มีต้นทุนถูกลงมากและเข้าถึงง่ายขึ้น โบรกเกอร์ออนไลน์จำนวนมากก็แทบไม่กำหนดเงินขั้นต่ำและให้เทรด ‘ฟรี’
ตัวอย่างในกรณีของ ‘โรบินฮู้ด’ แพลตฟอร์มเทรดดิ้งในสหรัฐฯ ที่เป็นศูนย์กลางของ ‘พายุ’ ในรอบนี้ คนทั่วไปสามารถเทรดได้โดยไม่ต้องเสียค่าคอมมิชชันใดๆ (Comission-free/Discount broker) สามารถเทรดได้สารพัดสินทรัพย์ตั้งแต่หุ้น ETF ยันคริปโต โดยในปี 2020 มีผู้ใช้ทั้งหมดประมาณ 13 ล้านคนแล้ว
เมื่อโลกการลงทุนเปิดประตูให้คนจำนวนมาก พร้อมกับแพลตฟอร์มสื่อสารส่งข้อมูลกันอย่างสะดวกทันใจ เหล่า ‘แมงเม่า’ ก็อาจกลายเป็นหิงห้อยที่บางครั้งสามารถรวมตัวกันสร้างแสงสว่างเสมือน ‘พลุ’ ในตลาดการเงินได้ไม่แพ้กองทุนใหญ่ๆ ที่กุมอำนาจตลาดอยู่เดิม
ในกรณี GameStop หิงห้อยเหล่านี้รวมตัวกันเพื่อโค่นยักษ์ คำถามคือทำไม? คำตอบนั้นอยู่ที่เทรนด์ที่สาม
3. ความเหลื่อมล้ำ (Divided)
หากได้ตามอ่านบทสัมภาษณ์ของนักลงทุนรายย่อยที่ลงทุนในหุ้นที่พุ่งกระฉูดเหล่านี้ จะพบว่าหลายคนไม่ได้ลงทุนเพียงเพราะผลตอบแทนเท่านั้น แต่ยังมี ‘ความแค้นต่อความไม่ยุติธรรม’ ผสมผสานอยู่ด้วย
นักลงทุนรายย่อยหลายคนกล่าวถึงวงการวอลล์สตรีทเสมือนว่าเป็นผู้ร้ายที่ทำให้เกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ปี 2008-2009 และไม่เคยต้องรับผิดชอบผลกระทบที่ตามมาจากวิกฤต มองว่าวงการการเงินเป็นผู้ที่ใช้อำนาจเหนือตลาดทำอะไรก็ได้และร่ำรวยในยามที่คนทั่วไปกำลังตกระกำลำบาก และมองว่ากองทุนเฮดจ์ฟันด์เป็นผู้ร้ายที่ซอร์ตเซลล์หุ้นบริษัท และเก็งให้ราคาตก
สถานการณ์เศรษฐกิจตกต่ำจากโควิด-19 และการล็อกดาวน์ที่ทำให้หลายคนติดอยู่บ้านเป็นเวลานานอาจเติมเชื้อเพลิงให้กับไฟนี้อีกด้วย
ทั้งหมดนี้อาจไม่ได้ถูกต้องทั้งหมด แต่แน่นอนว่าเป็นสิ่งที่นักลงทุนรายย่อยเหล่านี้รู้สึกอย่างชัดเจน
การที่พวกเขารวมตัวกันจนชนะยักษ์ใหญ่ทางการเงินได้จึงไม่ใช่แค่ปรากฏการณ์ ‘แมงเม่าก็รวยได้’ อีกต่อไป แต่มันคือ ‘การปฏิวัติ’ ระบบที่เขามองว่าไม่แฟร์ ที่มากไปกว่านั้น เหล่าแมงเม่าได้ยังความพอใจและสะใจพร้อมเงินเต็มกระเป๋ากลับไปด้วย
ด้วยเหตุนี้เอง เหตุการณ์ที่แพลตฟอร์มโรบินฮู้ดจำกัดไม่ให้มีการซื้อหุ้นเหล่านี้จึงนำไปสู่การตีความได้ว่า เป็นความพยายามปกป้องวอลล์สตรีท เหมือนกับว่าระบบที่เหล่าแมงเม่าพยายามจะต่อต้านหันมาโจมตีกลับ ทั้งๆ ที่แท้จริงแล้วหากมองอีกมุมหนึ่ง การที่แพลตฟอร์มหรือสถาบันทางการจะเข้ามากำกับการลงทุนที่ผันผวนขนาดนี้ก็อาจมีเหตุผลในตัว เพราะการกำกับควมคุมก็สามารถปกป้องแมงเม่าที่อาจกระโดดเข้ามาลงทุนตอนท้ายๆ โดยไม่รู้อีโหน่อีเหน่แล้วต้องเสียเงินเก็บไปจำนวนมาก
แต่การเทรดของแมงเม่าควรถูกจำกัดแค่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร? ทางเฮดจ์ฟันด์ที่ก็ทำชอร์ตเซลล์มากเกินไปควรจะถูกกำกับบ้างไหม? บทบาทของแพลตฟอร์มอย่างโรบินฮู้ดควรจะเป็นอย่างไรในสถานการณ์แบบนี้?
นี่คือคำถามทางนโยบายที่ผุดขึ้นมาและไม่มีทางที่จะได้คำตอบมาง่ายๆ
มากกว่าแค่ตลาดหุ้น มากกว่าแค่สหรัฐฯ
เหตุการณ์ GameStop เป็นมากกว่าแค่ปรากฏการณ์ในตลาดเงินในสหรัฐฯ แต่ยังสะท้อนถึงเทรนด์ทางการเงิน เทคโนโลยีและสังคมที่มาประสานกันจนเกิด ‘พลุ’ ให้เราเห็นกันทั่วโลก
เทรนด์ดอกเบี้ยต่ำ ดิจิทัล และความเหลื่อมล้ำไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในสหรัฐฯ เท่านั้น แต่เป็นคลื่นใหญ่ที่เผชิญกันทั่วโลก
และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือ เหตุการณ์เช่นนี้สามารถเกิดขึ้นกับวงการไหนก็ได้ ไม่ใช่เพียงแค่โลกการเงินเท่านั้น
นี่คือสัญญาณสำคัญว่าทุนนิยมแบบเก่าที่เอาใจแต่นายทุนผู้มีอำนาจได้มาถึงทางตันแล้ว โลกกำลังต้องการคำตอบใหม่ และนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น