บทความชวนดูงานศิลปะและนวัตกรรมจากโลกที่หนึ่ง ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีให้สังคมและชีวิตคน ผ่านสายตานักออกแบบมัลติมีเดียจากโลกที่สามในนามกลุ่ม Eyedropper Fill
Eyedropper Fill เรื่อง
ในวันที่เทคโนโลยีมีผลต่อชีวิตมนุษย์มหาศาล AI คิดและตัดสินใจได้เฉียบคมกว่าเรา blockchain เปลี่ยนเงินตราที่จับต้องได้กลายเป็นเพียงรหัสข้อมูล พืช สัตว์ และสรรพชีวิตไม่จำเป็นต้องโตจากดินและกินนมแม่ เพราะ biotechnology กำลังทำให้มนุษย์สร้างชีวภาพได้ด้วยตัวเอง นั่นทำให้อาหาร ยารักษาโรค สิ่งแวดล้อม และการมีชีวิตอยู่ ตามนิยามที่เราเคยรู้จักกำลังเปลี่ยนไปด้วย หนังสือแห่งยุคสมัยอย่าง Homo Deus บอกว่าเทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนมนุษย์ให้กลายเป็นพระเจ้า มีศักยภาพไร้จำกัดและชีวิตที่ยาวนาน แต่นั่นเติมเต็มความหมายของความเป็นมนุษย์ในใจเราจริงหรือ?
Future and the Arts: AI, Robotics, Cities, Life – How Humanity Will Live Tomorrow คือนิทรรศการใหม่เอี่ยมจาก Mori Art Museum เนื้อหาข้างในตรงตามชื่อนิทรรศการ ที่นี่รวบรวมและจัดแสดง ‘นวัตกรรม’ ที่กำลังพามวลมนุษยชาติไปข้างหน้า ผสานกับ ‘ศิลปะ’ ที่พาเราเข้าไปสำรวจลึกถึงความหมายของชีวิต ราวกับเป็นสองฝั่งของไม้กระดานที่กำลังหาความบาลานซ์ อันจะเป็นคำตอบของชีวิตมนุษย์ในวันข้างหน้า
นิทรรศการนี้ หนึ่งในทีมของเรามีโอกาสไปชมความล้ำด้วยตาตัวเอง ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น จึงขอเก็บภาพและเรื่องราวไฮไลต์ที่น่าสนใจ จากผลงานทั้งหมดกว่า 100 ชิ้น มาฝากผู้อ่าน
เนื้อหานิทรรศการแบ่งออกเป็น 5 ส่วน ส่วนแรกคือ New Possibilities of Cities นำเสนอเมืองในรูปแบบที่เรียกว่า ‘Metabolism cities’ เมืองในอนาคตจะไม่ใช่สิ่งคงทนถาวร แต่รอการพังทลายจากภัยพิบัติ แต่เมืองจะมีคุณสมบัติคล้าย ‘สิ่งมีชีวิต’ นั่นคือสามารถเติบโต ปรับเปลี่ยน และเอาตัวรอดได้ด้วยตนเองผ่านแนวคิดการออกแบบ
Oceanix City โดย Bjarke Ingels Group คือตัวอย่างของเมืองในแนวคิดนี้ เมืองลอยน้ำจากโครงสร้างหกเหลี่ยม สามารถปรับเปลี่ยนผังเมืองเพื่อรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติรูปแบบต่างๆ แนวคิดแบบโมดูล (หน่วยเล็กๆ ประกอบกันขึ้นเป็นโครงสร้างใหญ่) ทำให้แต่ละเกาะในเมืองสามารถเชื่อมต่อกันได้
เมืองที่คนส่วนใหญ่นึกถึงคงเต็มไปด้วยตึกสูงที่ ‘ปิด’ ไม่ให้ชีวิตมนุษย์ภายในอาคารมีโอกาสเชื่อมต่อกับสิ่งแวดล้อมข้างนอก โปรเจ็กต์ PoroCity ชื่อนี้มาจากคำว่า porosity ที่แปลว่า ‘รูพรุน’ และ city เข้าด้วยกัน โปรเจ็กต์ทดลองนี้ใช้วัสดุที่เรียบง่ายอย่างเลโก้ สร้างรูปแบบอาคารที่ ‘เปิด’ โลกข้างนอกและโลกข้างในเข้าหากัน
จากเมืองที่ปรับเปลี่ยนได้ตามสภาพแวดล้อม ในส่วนที่สอง พาเราลงไปดูรายละเอียดของสถาปัตยกรรมที่มาพร้อมกับเมืองรูปแบบใหม่ Toward Neo-Metabolism Architecture ว่าด้วยสถาปัตยกรรมในอนาคตที่มาพร้อมแนวคิดการก่อสร้างใหม่ๆ ที่เทคโนโลยีเข้ามามีส่วนช่วย
ตัวอย่างที่น่ารักมากคือ H.O.R.T.U.S. XL Astaxanthin.g โดย ecoLogicStudio ประติมากรรมชีวภาพที่สร้างจากเทคโนโลยี 3D Printing ความพิเศษคือการทำให้ประติมากรรมเกิดการ ‘collaboration – ร่วมสร้าง’ กับธรรมชาติ ทำให้พืชพรรณสามารถเติบโตแทรกซึมไปกับสิ่งก่อสร้างได้ ประติมากรรมนี้ทำให้เห็นความเป็นไปได้ว่า ถ้าหากในอนาคตเรานำแนวคิดและเทคโนโลยีเดียวกันมาใช้กับการสร้าง facade หรือพื้นผิวนอกอาคาร พื้นที่ของเมืองและพื้นที่สีเขียวสามารถผสานกันเป็นหนึ่งเดียวได้
จากเรื่องใหญ่อย่างเมืองและสถาปัตยกรรม สู่เรื่องใกล้ตัวยิ่งขึ้นใน ส่วนที่สาม Lifestyle and Design Innovations พาไปดูวิถีชีวิตแห่งอนาคตของมนุษย์ ตั้งแต่ข้าวของเครื่องใช้ ไปจนถึงอาหารการกิน
ซุ้มที่เห็นนี้ชื่อว่า Sushi Singularity โดย Dentsu ออกแบบล้อไปกับซุ้มขายข้าวปั้นที่คุ้นตาในญี่ปุ่น แต่ภายในซุ้มไม่ได้มีพ่อครัวยืนปั้นข้าว เพราะซูชิที่วางอยู่ด้านหน้าทั้งหมดผลิตโดยการพิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์สามมิติ ใช่ — ในอนาคตเราจะสามารถพิมพ์อาหารกินได้แล้ว ยังสามารถทำให้คุณค่าทางโภชนาการใกล้เคียงอาหารดั้งเดิม (เช่น ส่วนสีส้มในซูชิสูตร Sushi Singularity นี้ มาจากการพิมพ์เนื้อเยื่อของปลาลงไป ส่วนสีขาวเป็นคาร์โบไฮเดรตที่พิมพ์อยู่ในรูปของเมล็ดข้าว) แถมเพิ่มเติมความล้ำของรูปลักษณ์เข้าไปเพื่อสร้างประสบการณ์การกินที่แตกต่าง
ที่มาภาพ: 3D-Printed Sushi & Other Glimpses Of The Future
นวัตกรรมยังทำให้เราสามารถเข้าถึงแหล่งอาหารใหม่ๆ ได้อีกมากมายในอนาคต แม้แต่สิ่งที่พวกเราไม่คิดจะกิน แม้จะเหลือเป็นอย่างสุดท้ายในโลกก็ตาม อย่างแมลงสาบ! โปรเจ็กต์ Pop Roach จาก MIT Media Lab อย่างที่บอกว่า แมลงสาบนั้นดูเหมือนจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าจะหลงเหลือในโลกเป็นอย่างท้ายๆ เราจะสามารถดัดแปลงยีนของพวกมัน ให้ ‘น่ากิน’ และ ‘กินดี’ สำหรับมนุษย์ได้มั้ย โปรเจ็กต์นี้จึงทดลองว่าเราจะสามารถเปลี่ยนอะไรในมันได้บ้าง ตั้งแต่สีที่อาจจะน่ารักน่าชังขึ้นกว่าต้นฉบับ นอกจากนี้เราอาจเติมกลิ่น รสชาติ และคุณค่าทางโภชนาการให้ตอบโจทย์ปากท้องมนุษย์ขึ้นได้
ในภาพนี้สีเขียวเป็นดีไซน์สำหรับกลิ่นมิ้นท์ ส่วนสีเหลืองแทนกลิ่นกล้วยหอม
ก็น่ารักดี แต่ถ้าเลือกได้ก็คงไม่กินอะจ้า
ในส่วนที่สี่ Human Augmentation and Its Ethical Issues ว่าด้วย ‘ส่วนขยาย’ ของมนุษย์ ตั้งแต่เทคโนโลยี robotics ที่เข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพให้ร่างกาย นวัตกรรมอื่นๆ ที่เสริม เติม แต่ง และยับยั้งความเสื่อมสลาย ยืดเวลาชีวิตมนุษย์ให้ยาวขึ้น
ความประทับใจของนิทรรศการส่วนนี้คือ รูปแบบการนำเสนอที่ตอบโจทย์กับชื่อ Future and the Arts ซะเหลือเกิน ตั้งแต่โต๊ะวาดภาพพอร์เทรตที่ผู้ชมนิทรรศการสามารถไปนั่งเป็นแบบ โดยมี ‘หุ่นยนต์’ รับบทเป็นศิลปิน แถมวาดภาพเราออกมาเป็นลายเส้นได้เหมือนไม่ใช่เล่น อีกชิ้นใกล้ๆ กัน นำเสนอเทคโนโลยีเครื่องพิมพ์สามมิติที่สามารถพิมพ์อวัยวะทดแทนให้มนุษย์ เล่นกิมมิกด้วยการพิมพ์ใบหูของศิลปินเลื่องชื่ออย่าง Vincent van Gogh ศิลปินผู้ตัดใบหูของตัวเองทิ้ง
จากเรื่องใหญ่อย่างผังเมืองและสถาปัตยกรรม สู่ข้าวของเครื่องใช้ อาหารการกินและวิถีชีวิต จนถึงนวัตกรรมที่ขยายขอบเขตของร่างกาย ส่วนสุดท้ายของนิทรรศการว่าด้วย Society and Humans in Transformation – การเปลี่ยนแปลงของนิยาม ‘ความเป็นมนุษย์’ และสังคม ในยุคสมัยที่เทคโนโลยีเข้ามาครอบครองพื้นที่ชีวิต
Zoom Pavilion คืองานชิ้นท้ายของนิทรรศการที่ช่วยแสดงภาพความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และเทคโนโลยีได้อย่างเรียบง่าย และอิมแพ็ก
ในห้องสีขาว ผนังทุกด้านติดตั้งกล้องวงจรปิดที่มีความสามารถพิเศษกว่ากล้องทั่วไปที่เราเคยเห็น เช่น เมื่อเราหันไป ‘สบตา’ กล้องตัวไหน กล้องตัวนั้นจะจับภาพและซูมใบหน้าของเราฉายลงบนผนัง เมื่อมีใครในห้องสัมผัสตัวกัน ภาพจะโยงเส้นระหว่างคนสองคนนั้น และแจ้งว่ามีการสัมผัสเกิดขึ้นทันที
เมื่อออกจากห้องจะพบว่าใบหน้าของทุกคนใน Zoom Pavilion ถูกบันทึกแบบรายคน และฉายขึ้นบนผนังเรียบร้อยแล้ว การอยู่ภายใต้เทคโนโลยีกล้องวงจรปิดที่ติดตามเราทุกฝีก้าว มองเห็นเห็นทุกการกระทำ ในมุมหนึ่งก็ทำให้เรามั่นใจได้ถึงความปลอดภัย แต่ในอีกมุม ชีวิตภายใต้การจ้องมองของเทคโนโลยีก็ดูเหมือนจะเข้าถึงความเป็นส่วนตัวของเรามากจนคล้ายเป็นการคุกคาม
นิทรรศการจบ เราอดอิจฉาคนญี่ปุ่นไม่ได้ที่มีพื้นที่ของการเรียนรู้ที่สนุกและเป็นธรรมชาติ จัดสรรไว้กลางเมือง พร้อมให้ทุกคนเข้ามาพัฒนาตัวเองได้ตลอดเวลา
นิทรรศการนี้อาจไม่ได้มี ‘คำตอบ’ เบ็ดเสร็จให้ทุกคนสำหรับคำถามที่ว่า How Humanity Will Live Tomorrow? – มนุษยชาติจะอยู่กันอย่างไรในอนาคต? นิทรรศการทำหน้าที่เพียงพาเราไปรู้จักนวัตกรรมเหล่านี้ผ่านประสบการณ์ตรง และรู้จักมันในแง่มุมที่เป็นมนุษย์และ ‘กลม’ มากพอ ไม่ได้พาเราตื่นเต้นเตลิดเปิดเปิงไปกับความล้ำสมัย แต่ก็ไม่ได้ผลักให้เราหวาดกลัวจนแอนตี้มันออกไปจากตัว
คำตอบจึงไม่ได้อยู่ในนิทรรศการ แต่อาจเป็นหน้าที่ของเราเองที่จะต้องตอบว่า ในอนาคตเราจะบาลานซ์ให้นวัตกรรมมอบความสุขและชีวิตที่ดีกว่า โดยไม่ถูกมันครอบงำและบดบังความเป็นมนุษย์อย่างไร?