fbpx

บุรุษพึงพยายามเรื่อยไปจนกว่าจะสำเร็จประโยชน์ : บทเทศน์ของ ‘พระเนติวิทย์’ ถึง ‘ส.ศิวรักษ์’

บทเทศน์ “วายเมเถว ปุริโส ยาว อตฺถสฺส นิปฺปทา – บุรุษพึงพยายามเรื่อยไปจนกว่าจะสำเร็จประโยชน์ : เกือบศตรรษชีวิตปัญญาชนไทยที่เต็มไปด้วยขวากหนาม” พระเนติวิทย์ จรณสมฺปนฺโน ได้แสดงปาฐกถาธรรมไว้ ในงาน 90 ปี ส. ศิวรักษ์ : “ก่อน (ทุกคน) จะลืมเลือน” เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2566


ส.ศิวรักษ์


นโมตัสสะ ภควโต อรหโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (สามครั้ง)

ขอนอบน้อมต่อพระรัตนตรัย ขอโอกาสเพื่อนสหธรรมิกทุกท่าน

วันนี้อาตมาได้รับเชิญให้มากล่าวปาฐกถาเนื่องในโอกาสวันเกิดปีที่ 90 ของอาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ซึ่งชื่อปาฐกถาคือ ‘วายเมเถว ปุริโส ยาว อตฺถสฺส นิปฺปทา – บุรุษพึงพยายามเรื่อยไปจนกว่าจะสำเร็จประโยชน์ : เกือบศตวรรษชีวิตปัญญาชนไทยที่เต็มไปด้วยขวากหนาม’

ชื่อนี้มาจากตัวเลือกที่พี่กษิดิศ อนันทนาธร ช่วยเสนอ ที่อาตมาเลือกชื่อนี้ก็เพราะพุทธศาสนสุภาษิตข้างต้นเป็นที่ชื่นชอบของอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ รองประธานกรรมการมูลนิธิโกมล คีมทอง ตราบถึงอนิจกรรม และผู้ใหญ่ที่ไม่กะล่อนของอาจารย์สุลักษณ์ อีกทั้งใกล้เคียงกับภาษิตประจำโรงเรียนอัสสัมชัญที่ว่า LABOR OMNIA VINCIT อาตมาโชคดีว่าได้มีส่วนร่วมเล็กๆ น้อยๆ ตอนฉลอง 100 ปีชาตกาลอาจารย์ป๋วย จำได้ว่าอาจารย์สุลักษณ์เป็นผู้ริเริ่มตระเตรียมงานล่วงหน้าหลายปีก่อนอาจารย์ป๋วยครบร้อยปี (2559) ก่อนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จะคิดเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาเสียอีก พุทธภาษิตนี้จึงสะท้อนความมุ่งมั่นของอาจารย์ป๋วย และก็น่าจะเป็นคติที่สะท้อนชีวิตของอาจารย์สุลักษณ์ด้วย

ส่วนชื่อขยาย เกือบศตวรรษชีวิตปัญญาชนไทยที่เต็มไปด้วยขวากหนาม นี่ล้อชื่อหนังสือของอาจารย์สุลักษณ์ที่ชื่อ ‘ค่อนศตวรรษประชาธิปไตยไทยที่เต็มไปด้วยขวากหนาม’ ซึ่งเข้าใจว่าไม่มีวางจำหน่ายโดยทั่วไป เพราะตำรวจยึด เนื่องมาจากตอนที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ฉลองครองราชย์ 60 ปี คนเห็นท่านทรงมีน้ำพระเนตรหลั่ง แทนที่อาจารย์สุลักษณ์จะมองว่าท่านน่าจะดีใจว่ามีคนมาร่วมงานมากมายเหมือนคนอื่นๆ ก็ไปตั้งคำถามว่า ในวันดังกล่าวตรงกับวันที่รัชกาลที่ 8 เสด็จสวรรคต ท่านกำลังเสียพระทัยเรื่องสมเด็จพระเชษฐาธิราชอยู่หรือเปล่า และท่านอาจจะคิดถึงหลานสี่คนที่อยู่ในอเมริกาที่ไม่มีโอกาสกลับประเทศมางานนี้ได้หรือเปล่า นี่ทำให้สันติบาลยึดหนังสืออาจารย์ จนเป็นเรื่องต่อสู้ในศาลปกครอง ตอนศาลตัดสินตอนนั้นอาตมาก็ติดตามอาจารย์ไปฟังคำพิพากษาด้วย ซึ่งจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของอาจารย์ 

การสงสัยถามแบบนี้เกิดขึ้นก่อนการมีม็อบราษฎร ที่การพูดเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์กลายเป็นมาตรฐานยอมรับได้กว้างขวางกว่าที่ผ่านมา โดยคนกลัวที่จะพูดน้อยลง คำถามแบบนี้ของอาจารย์ในยุคนี้คงไม่หนักหนาถึงขั้นถูกยึดหนังสือ เพราะมีคนแรงกว่าเยอะ แต่อาจารย์ก็มาก่อนยุคสมัย ตั้งแต่การพูดตั้งคำถามถึงในหลวงว่า เล่นเรือใบ กัปปิตันเรือใบ ตั้งแต่ 2510 จนเกือบถูกฟ้อง ม.112 จนถูกฟ้อง ม.112 จริงๆ สามสี่ครั้ง แม้ในวัย 90 ปี อาจารย์ก็ยังคงเป็นอันตรายอยู่เหมือนกัน 

นอกจากในยูทูบจะถูกคนล้อเลียนว่าเป็น ส.ศิวลึงค์ ไปจนถึงอาฆาตแล้ว ก็เป็นวายร้ายของเพจ IO จำนวนมาก ล่าสุดอาตมาเห็นเพจหนึ่งเพิ่งด่าหนังสือ ‘สอนสังฆราช’ ของอาจารย์ ซึ่งเขียนเมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้ว แล้วก็โยงกับอาตมาไปด้วย ชีวิตของอาจารย์จึงเต็มไปด้วยขวากหนามจริงๆ 



และหากจะมองไกลกว่านั้น ตัวตนอาจารย์สุลักษณ์ก็สะท้อนชีวิตของปัญญาชนชาวไทยโดยทั่วไป อาจารย์อาจเคยมีบทบาทในการสร้างสิ่งที่เรียกว่า ‘ตำรา’ จนเกิดมูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ใกล้ชิดกับมูลนิธิต่างประเทศ และอาจารย์ก็ใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจต่างๆ บรรดาเพื่อนและลูกศิษย์ลูกหาของอาจารย์ก็มีหลายคนที่ได้มาซึ่งอำนาจในการบริหารมหาวิทยาลัย หรือในทางการเมือง หรือคณะสงฆ์ หรือแม้ทางธุรกิจ แต่อาจารย์สุลักษณ์กลับยังคงอยู่ในที่เดิม 50 ปีที่แล้วสถานะของอาจารย์เป็นอย่างไร 50 ปีหลังก็ไม่ได้ต่างออกไป อาจารย์ไม่ได้หยุดนิ่งหรือวางท่าให้คนมากราบไหว้เคารพนับถือ ถ้าอาจารย์ทำเป็นลอยตัวเหนือปัญหาสังคมไปเลยในฐานะปรมาจารย์ อาจจะถูกคนด่าบ้าง แต่ผู้มีอำนาจในสังคมไทยก็พร้อมจะให้อภัยอาจารย์ แต่อาจารย์ก็ยังคงกล้าพูด และนั่นทำให้ผู้มีอำนาจซึ่งอาจเป็นคนรุ่นใหม่ไปแล้วและสาวกรู้สึกถูกสะกิดและยังจ้องเล่นงานอาจารย์ 

นอกจากการเกี่ยวข้องกับคนมีอำนาจได้แล้ว อาจารย์สมาคมกับคนธรรมดาสามัญที่เดือดร้อน ซึ่งหลายกรณีก็เป็นที่รับรู้ดี เช่น สมัชชาคนจน หรือการต่อสู้ที่บ่อนอก-หินกรูด เป็นต้น แต่ก็มีเรื่องเร็วๆ นี้อยู่เหมือนกัน ก่อนหน้าอาตมาจะมาบวช ได้มีส่วนร่วมในการต่อสู้เรื่องพิทักษ์ศาลเจ้าแม่ทับทิมสะพานเหลือง ที่ถูกจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไล่ที่ ซึ่งกรณีนี้ต้องพิพาทกับสำนักงานทรัพย์สินจุฬาฯ โดยตรง 

อาตมาพยายามติดต่อบอร์ดทรัพย์สินจุฬาฯ ทุกทางเพื่อให้พวกเขาเห็นใจ จนอาตมาไปพบว่าบอร์ดคนหนึ่ง สมัยเป็นนิสิตเมื่อ 40 ปีที่แล้ว ไปช่วยเรียกร้องให้ชาวบ้านตลาดสามย่านที่ถูกรังแกจากการไล่ที่จากทางมหาวิทยาลัย แต่เมื่ออาตมาติดต่อไป เขาก็ไม่ได้สนใจไยดีอะไร ทุกวันนี้จุดยืนของเขาอยู่กับมหาวิทยาลัยไปแล้ว ต่างกับอาจารย์วัย 89 ปี ที่ไปที่ศาลเจ้าแม่ทับทิมสะพานเหลือง บอกกับผู้ดูแลศาล ขอให้ยืนหยัดต่อไป เมื่อ 40 ปีหรือ 50 ปีที่แล้ว ขณะที่บอร์ดจุฬาฯ คนนี้ยังเป็นนิสิตหรือนักเรียนไฟแรงอยู่ อาจารย์สุลักษณ์ซึ่งก็อยู่ในวัยสี่สิบห้าสิบ เป็นผู้หลักผู้ใหญ่แล้ว แต่จุดยืนของอาจารย์ก็ยังคงเหมือนเดิมมาตลอด การเห็นอกเห็นใจคนเล็กคนน้อย underdog คนที่ถูกเอาเปรียบไม่ได้เปลี่ยน 

ความที่อาจารย์เป็นแบบนี้จึงทำให้อาจารย์ไม่เรียกว่าเป็น establishment โดยเต็มปาก อุดหนุนคนหนุ่มสาว ความคิดนอกกระแสอยู่เนืองๆ ใครจะไปคิดเห็นภาพอาจารย์สุลักษณ์ไปร่วมเดินขบวนกับไผ่ ดาวดิน ดังนั้น ชีวิตของปัญญาชน ซึ่งอาจจัดพวกนักเคลื่อนไหว รวมถึงคนแสวงหาความหมายชีวิตอื่นๆ อยู่ในนี้ด้วย ก็เกี่ยวข้องกับอาจารย์ 

โดยที่คนที่อาจารย์อุดหนุน นอกจากเป็นเลิศแล้ว จำนวนมากที่มาหาอาจารย์ ก็เพราะพวกเขาผิดหวังกับสังคม ของความไร้น้ำใจและถูกกลั่นแกล้ง พวกปัญญาชนที่มีสถานะมั่นคงไปแล้ว อาจไม่ได้ให้คุณค่ากับอาจารย์มากนัก แต่คนรุ่นใหม่ยังคงเข้าหาอาจารย์ ไม่ใช่ในฐานะเชื่อสิ่งที่อาจารย์บอก แต่ต้องการแรงสนับสนุนจากอาจารย์ ชีวิตของอาจารย์เลยเป็นตัวแทนให้เห็นถึงความพยายามของปัญญาชนไทยที่ต้องการเปลี่ยนแปลงสังคม ของคนที่ถูกรังแก ซึ่งเต็มไปด้วยขวากหนามนั่นเอง 

บางทีอาตมาก็คิดสงสัยเหมือนกันว่า อะไรกันที่หล่อหลอมให้อาจารย์สุลักษณ์เติบโตมาจนเป็นแบบนี้ได้ ในทางพุทธศาสนา ทุกอย่างมีเหตุปัจจัย และหลายเหตุปัจจัยอาตมาก็ไม่รู้ แต่เท่าที่สังเกตและอาจจะเป็นประโยชน์กับทุกคนได้ก็คือ

1. อาจารย์มีกัลยาณมิตร คำนี้อาจารย์สุลักษณ์พูดบ่อย โดยเฉพาะเวลาพูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ บางทีลูกศิษย์ก็อาจจะหมั่นไส้ เพราะอาจารย์พูดคำว่ากัลยาณมิตรมาก แต่ถ้าใครไปเผลอเป็นกัลยาณมิตรแบบไม่รู้เรื่องรู้ราว อาจจะมองหน้ากันไม่ติด พระไพศาลเคยบอกว่า “คนนอกวิจารณ์ได้ ลูกศิษย์วิจารณ์ อาจารย์โกรธเลย” [1]

แต่กัลยาณมิตรก็มีความหมายกับอาจารย์จริงๆ ชีวิตของอาจารย์งอกงามได้ เพราะอาจารย์มีกัลยาณมิตร กัลยาณมิตรต้องเข้าใจว่า ไม่จำเป็นต้องเป็นคนก็ได้ จะเป็นผู้ล่วงลับไป จะเป็นหนังสือก็ได้ ดังนั้นอาจารย์ได้อย่างสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ สมเด็จกรมพระยานริศฯ ที่อาจารย์ติดตามงานหนังสือ ‘สาส์นสมเด็จ’ ของท่าน  ในครอบครัว พ่อของอาจารย์ซึ่งเป็นคนสมัยใหม่สอนให้อาจารย์กล้าตั้งคำถามกับประเพณี  พระภัทรมุนีสอนให้อาจารย์เทศน์มหาชาติ ให้คาถาตอนแสดงธรรม ให้ถือกุญแจกุฏิ ทำให้อาจารย์มีความภาคภูมิใจและเห็นพุทธศาสนาในมุมที่คนในรุ่นอาจารย์ก็อาจจะไม่เห็นกันแล้ว หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร ท้าทายอาจารย์ว่า ถ้าไม่รู้จักชาวนา ก็เป็น intellectual mastarbution หรือขณะที่อาจารย์โต้เถียงกับท่านนัทฮันห์ ท่านก็เตือนอาจารย์ให้กลับมาอยู่กับลมหายใจ 

ดังนั้น ในแง่หนึ่ง อาจารย์โชคดีว่าเติบโตโดยมีกัลยาณมิตรเป็นพื้นฐาน มีผู้ใหญ่ที่คอยเจือจุน แม้จะไม่แน่ใจว่าอาจารย์จะเปิดรับคำแนะนำของบุคคลกว้างขวางและลึกซึ้งแค่ไหน แต่อาจารย์ก็เห็นคุณค่าของกัลยาณมิตรและพร้อมถ่ายทอดบอกต่อให้คนอื่นเห็นถึงความสำคัญขององค์ธรรมข้อนี้ โดยที่นี่ยังไม่จำเป็นต้องพูดถึงป้านิลฉวี ภรรยาของอาจารย์ที่เป็นกัลยาณมิตรสำคัญในชีวิตของอาจารย์ก็ยังได้

เรากล่าวถึงกัลยาณมิตรเชิงบุคคลไปแล้ว ก็ต้องพูดถึงกัลยาณมิตรที่เป็นสภาพแวดล้อมด้วย หรือกล่าวอีกอย่างคือ ไม่เพียงอาจารย์จะมีส่วนกำหนดยุคสมัย ยุคสมัยก็มีส่วนกำหนดความเป็นอาจารย์ 

อาจารย์สุลักษณ์เกิดในปี 2475 เติบโตในยุคการก่อร่างสร้างประชาธิปไตยของขั้วปรีดี-แปลก อาจารย์เป็นวัยรุ่นในสมัย 2490 ที่ทหารและเจ้ามีอำนาจทางการเมือง อาจารย์ไปเรียนที่อังกฤษในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งเป็นช่วงรุ่งเรืองของระเบียบโลกแบบเสรีนิยม กระแสความนิยมของสังคมนิยม รวมถึงการคิดตั้งคำถามว่าสังคมยุโรปจะมุ่งหน้าอย่างไร ขณะเดียวกันก็เกิดลัทธิปลดแอกอาณานิคมในที่ต่างๆ ในช่วง 2500-2510 เป็นช่วงรุนแรงของสงครามเวียดนาม ทั้งอเมริกาและคอมมิวนิสต์ต่างบีฑาประเทศนั้น ปัญญาชนในโลกที่สามซึ่งสำเร็จการศึกษาในประเทศเจ้าอาณานิคม ตั้งคำถามกับแนวทางการพัฒนาต่อไปว่าควรจะเป็นอย่างไร รัฐได้เอกราชใหม่อยู่ใต้การแย่งชิงเป็นพันธมิตรของชาติมหาอำนาจ 

อาจารย์สุลักษณ์ไม่ต่างกับคนในยุคนั้น ที่แม้ไม่มีเครื่องมือสื่อสารทันสมัยแบบคนยุคนี้ แต่ก็เติบโตมาด้วยความไม่แน่นอนของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ชี้เป็นชี้ตาย ความเป็น cosmopolitan จึงเป็นเรื่องธรรมชาติของคนรุ่นนี้เลย การกระหายอยากเรียนรู้โดยมีฉันทะว่าจะพัฒนาชาติออกมาในแนวทางอย่างไร จะเป็นไปตามอเมริกาที่เข้ามาเป็นมหาอำนาจ หรือจะไปทางโซเวียตรัสเซีย หรือจีน หรือเดินตามทางสายกลาง หรือจะหาพุทธศาสนา หรืออื่นๆ คือคำถามสำคัญ อาจารย์ซึ่งเป็นนักเรียนนอกก็ถือว่ายังมีไม่มาก อาจขาดแคลนมากกว่าล้นตลาดแบบในวันนี้ อาจารย์จึงรู้จักกับบรรดานักเรียนนอกด้วยกัน และพวกนี้จำนวนมากก็กลายเป็นผู้มีอิทธิพลในวงการต่างๆ ของประเทศไทยในเวลาต่อมา 



2. แม้จะมีกัลยาณมิตร แต่ก็ต้องคิดเองเป็น คือ อาจารย์มีโยนิโสมนสิการ หรือการคิดอย่างแยบคาย อาจารย์สุลักษณ์ได้วิธีคิดโยนิโสมนสิการผ่านฐานวัฒนธรรมที่เข้มแข็งคือ เข้าใจวัฒนธรรมไทยผ่านพุทธศาสนา ขณะเดียวกันก็เรียนในต่างประเทศซึ่งครูอาจารย์สอนให้แสวงหาความงาม ความดี และความจริง 

การเรียนวิชาที่เรียกว่า Liberal Arts โดยเฉพาะกรีกและละตินนั้น มุ่งแสวงหาสัจจะมากกว่าลาภยศสรรเสริญในโลก แน่นอนว่า การศึกษาของอาจารย์ไม่ได้เหมือนนักเรียนคนอื่นสักเท่าไหร่ด้วย เพราะยุคที่อาจารย์ไปเรียนนั้น มนุษยศาสตร์ก็ไม่ได้เป็นคติแห่งการพัฒนาที่ชนชั้นนำไทยเวลานั้น (และเวลานี้) ต้องการสักเท่าไหร่  ในอังกฤษเอง ลัทธิประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจก็กำลังเข้ามามีอำนาจนำยิ่งขึ้นทุกที 

อาจารย์ท่านหนึ่งบอกว่า “อาจารย์รู้สึกผิดหวังกับคนรุ่นอาจารย์เอง” ซึ่งก็ไม่แปลก เพราะนักเรียนนอกชาวไทย โดยเฉพาะที่มีพื้นฐานฐานะที่ดีจนถึงดีกว่าอาจารย์ กำลังเห่อค่านิยมตะวันตกโดยขาดพื้นเพวัฒนธรรมแบบที่อาจารย์มี โดยอาจารย์อาจมีอคติกับพวกที่ได้รับการศึกษาจากตะวันตกโดยเฉพาะคณะราษฎร และในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สองที่ผู้คนกำลังช็อกกับอารยธรรมตะวันตกที่ได้เดินหน้าไปสู่ลัทธิอาณานิคมและเอาช์สวิทช์ (Auschwitz) จนกระแสวัฒนธรรมเชิงต่อต้านและสนใจวัฒนธรรมเอเชีย 

อาจารย์ก็อาจจะได้ข้อสรุปตั้งแต่นั้นมา มีทัศนะที่จะคิดเชิงเปรียบเทียบโดยรักษารากเหง้าไว้ แต่ก็ไม่ยึดติดจนละเลยการแสวงหาความจริง หรือความหมายของชีวิต วิธีคิดของอาจารย์บางคนมองว่าเป็น moralist ที่ตัดสินว่า คนนั้นดี คนนี้เลว แต่บางทีเราก็อาจจะเห็นว่าอาจารย์ไปให้กำลังใจฝ่ายซ้าย มีลูกศิษย์ลูกหาอยู่ฝ่ายขวาก็แยะ ขึ้นเวทีได้ทั้งฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา 

ก่อนหน้านี้อาตมาก็แปลกใจว่า อาจารย์มีจุดยืนยังไงกันแน่ สมัยเพิ่งรู้จักอาจารย์ใหม่ๆ เคยถามอาจารย์ อาจารย์พูดเล่นๆ ว่า อาจารย์มีสองมือ บางทีก็ใช้มือซ้าย บางทีก็ใช้มือขวา แต่อาตมาก็คงสงสัยไม่หายว่ามีคนมีวิธีคิดแบบนี้ด้วยหรือ นี่คือคนมีหลักการจริงๆ หรือไม่ จนเมื่อเร็วๆ นี้ อาตมาได้ศึกษาเรื่อง Engaged Buddhism ในหนังสือเล่มหนึ่งพูดน่าสนใจ ซึ่งเขาพูดว่าพวกชาวพุทธเพื่อสังคมที่อาจารย์อยู่ในขบวนการด้วย มีความเข้าใจเรื่องทุกข์และสัมมาทิฏฐิแตกต่างกับชาวพุทธอื่นๆ 

ในทางพุทธศาสนาแบบเถรวาททั่วไปนั้น สัมมาทิฏฐิมีสองระดับคือ แบบโลกียะคือเชื่อเรื่องกรรม เรื่องชาตินี้ชาติหน้า และแบบโลกุตตระคือการได้เข้าถึงสภาวะธรรม แต่สัมมาทิฏฐิของชาวพุทธเพื่อสังคม ซึ่งได้อิทธิพลจากท่านนัทฮันห์ ไม่ได้เห็นว่าความเห็นที่ถูกต้องหมายความว่าเราต้องยึดกับทัศนะใดทัศนะหนึ่งว่าถูกต้อง ตัวท่านนัทฮันห์เผชิญการถูกเล่นงานจากทั้งคอมมิวนิสต์และฝ่ายเสรีในเวียดนาม เห็นความพินาศของการยึดในทัศนะว่าถูกต้อง จนบดบังความทุกข์ของผู้คนและเกิดโศกนาฏกรรม 

ดังนั้นศีลข้อแรกซึ่งเป็นเสมือนสัมมาทิฏฐิของชาวพุทธเพื่อสังคมที่ท่านนัทฮันห์ให้ไว้ อาจารย์สุลักษณ์แปลออกมาว่า “อย่าเคารพนับถือเชื่อฟังหรือยึดติดอยู่กับคำสั่งสอนใดๆ ทฤษฎีใดๆ หรืออุดมการณ์ใดๆ แม้จนสิ่งซึ่งอ้างว่าเป็นพุทธ ควรตรึกตรองอยู่อย่างแยบคายก่อนว่า นั่นเป็นระบบพุทธหรือไม่ กล่าวคือช่วยแนะแนวทางให้เราได้เป็นไทหรือไม่ อย่ายึดเอาว่านั่นเป็นปรมัตถสัจจ์อย่างง่ายๆ” (พิธีกรรมสำหรับพุทธศาสนิกร่วมสมัย น.36) 

ชาวพุทธเพื่อสังคมยังมีมุมมองต่อความทุกข์ในอริยสัจ ที่ไม่ได้หมายถึงความทุกข์เกิดในใจของตนเท่านั้น แต่สภาพสังคม โครงสร้างสังคมก็มีส่วนผลิตซ้ำความรุนแรงในสังคมด้วย โดยเฉพาะซ้ำเติมต่อคนที่ถูกเอาเปรียบทางสังคม การดับทุกข์เชิงสังคมจึงจำเป็น และในแง่ความเป็นศีลที่สัมพันธ์มนุษย์ก็ต้องแก้ไขทุกข์นี้ ดังนั้นในศีลอีกข้อหนึ่งที่นัทฮันห์รจนา จึงกล่าวด้วยว่า “เธอไม่ควรหลบหนีจากการสัมพันธ์กับความทุกข์หรือทำเป็นเมินเฉย อย่าได้หลงลืมความทุกข์ของสรรพชีวิตในโลก หาทางออกไปสู่ผู้ทุกข์ยากเหล่านั้น ไม่ว่าโดยการพบปะ เยี่ยมเยียนเป็นส่วนตัว การติดต่อทางภาพที่แลเห็นหรือเสียงที่ได้ยิน เธอควรปลุกสำนึกของตัวเองและผู้อื่นให้ตื่นขึ้น เพื่อรับรู้ต่อความทุกข์ของผู้คนในโลก” 

ลักษณะวิธีคิดที่ได้อิทธิพลจากพุทธศาสนา (ทั้งจากเถรวาทและจากขบวนการพุทธแนวใหม่) ทำให้อาจารย์สุลักษณ์พิจารณาแบบเปรียบเทียบ ขณะเดียวกันก็ไม่ยึดมั่นในทัศนะ และลงมือปฏิบัติธรรมผ่านการลงมือกระทำการต่างๆ แก้ปัญหาทุกข์ โดยไม่ยึดว่าทัศนะนั้นจะถูกมองเป็นซ้ายหรือขวา 

ที่กล่าวมานี้คือปัจจัยบางส่วน และจากปัจจัยนี้จะเห็นว่าแกนกลางของอาจารย์สุลักษณ์อยู่ที่พุทธศาสนา หากไม่ใช่พุทธศาสนาแบบโบราณ แน่นอนว่าพุทธศาสนาก่อนการรวมศูนย์อำนาจ ศาสนาเข้าไปเกี่ยวข้องกับทุกมิติของสังคม ธัมมจักรกับอาณาจักรหมุนไปพร้อมกัน ขณะที่อาณาจักรต้องใช้อาชญา ธัมมจักรใช้ธรรม ธัมมจักรคอยคุมอาณาจักรให้คิดถึงความเป็นอยู่ดีมีสุขของประชาชน พระราชาในรากศัพท์ก็คือผู้ทำให้ประชาชนยินดี และเมื่อพระราชาทำหน้าที่ไม่ได้ ประชาชนก็ขอให้พระราชาออกได้ การศึกษานั้นเรียนที่วัดไม่ได้แยกขาดจากสัมพันธ์ วัดเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้านและความสามัคคี ภาพแบบนี้คือสิ่งที่ชาวพุทธจำนวนหนึ่งอยากให้เกิดขึ้นอีกครั้งจนเรียกว่ากลับไปอดีตได้ก็จะไป 

อย่างไรก็ดี อาจารย์สุลักษณ์เข้าใจถึงมิติความซับซ้อนมากกว่านั้น อาจารย์ศึกษาชีวิตของชนชั้นนำพอที่จะเห็นถึงสังคมพระและสังคมเจ้าที่ไม่ได้สวยงาม และอาจารย์ก็เป็นคนในโลกสมัยใหม่สร้างขึ้น จนถึงถูกภัยพาลในการละเมิดเสรีภาพในการแสดงออก จึงเห็นการมีกติกาที่เป็นธรรม การได้รับความคุ้มครองสิทธิพลเมือง และกลไกตรวจสอบชนชั้นปกครอง และระบบยุติธรรม เป็นเรื่องจำเป็น ขณะเดียวกันก็ต้องเป็นพุทธศาสนาที่ไม่ตัดขาดจากรากฐานเดิมคือพุทธศาสนาที่เป็นปัญญาให้กับชนชั้นนำและสังคมด้วย พุทธศาสนาแบบของอาจารย์จึงเป็นพุทธศาสนาแบบใหม่ที่พัฒนาพร้อมกับคำสอนของนัทฮันห์ พระผู้ผ่านประสบการณ์สงครามเวียดนามทะเลเพลิง ทะไลลามะที่ต้องหนีออกจากธิเบตมาพร้อมกับการเรียกร้องสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย แบบสังฆรักษิตะที่มีส่วนช่วยอัมเบดการ์ให้คนอินเดียหันมาสมาทานพุทธศาสนา พุทธศาสนาของอาจารย์สุลักษณ์เป็นพุทธศาสนาภาวนาเชิงกระทำการกับโลก เป็นเถรวาทจากรากเหง้าที่ผสมผสานความเป็นมหายาน ท้าทายอธรรมของชนชั้นปกครอง เป็นปากเสียงให้กับคนกลุ่มน้อย คนชายขอบ โดยที่เน้นฆราวาสมากขึ้น แต่ก็รักษาอุดมคติของเถรวาทที่ให้ บทบาทของพระสงฆ์เป็นตัวแทนในทางศีล ของสังฆะในทางอุดมคติของสังคมที่ควรจะเป็น 

อาจารย์อาจถูกจดจำว่าเป็นนักคิด นักเคลื่อนไหว จนภาพลักษณ์ของปัญญาชนฝีปากกล้าวิพากษ์วิจารณ์ปัญหาสังคม หรือเป็นนักสิ่งแวดล้อม หรืออื่นๆ แต่ใจกลางสำคัญของชีวิตอาจารย์ คือการพยายามทำหน้าที่ชาวพุทธในแบบที่อาจารย์เชื่อให้ดีที่สุด ซึ่งท่าทีนี้ก็ไม่สามารถเกิดขึ้นจากการทำคนเดียวได้ แต่ต้องทำและเรียกร้องให้คนอื่นๆ ทำด้วย ดังที่อาจารย์มักจะมีจดหมายบอกบุญหรือโครงการต่างๆ ไปให้ลูกศิษย์ลูกหาเสมอ แม้ในวัยเกือบเก้าสิบ อาจารย์ก็พึ่งสร้างมหาวิทยาลัยพุทธขึ้น สิ่งที่อาจารย์กำลังสื่อให้ทุกคนเห็นคือแบบอย่างของชาวพุทธไม่ควรละเลยปัญหาสังคม ชาวพุทธควรเผชิญทุกขสัจจ์ และที่เด่นของอาจารย์ในเรื่องวิจารณ์สถาบันก็กำลังบอกว่าบทบาทของชาวพุทธนั้นต้องเป็นกัลยาณมิตรให้แก่สังคม เป็นผู้สนับสนุนประชาธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม 

ด้วยความคิดที่ให้ความสำคัญกับพุทธศาสนา ซึ่งเป็นแบบประยุกต์มากกว่าแบบคัมภีร์ด้วย ขวากหนามที่อาจารย์ต้องเจอก็ไม่น้อยหน้าปัญญาชนรุ่นใหม่หรือนักเคลื่อนไหวรุ่นใหม่ที่อาจารย์ไปช่วยเลย ขณะที่พวกเขาต้องเจอปัญหาโดยละทิ้งความคาดหวังหรือหันกลับไปหาพุทธศาสนาแล้ว แต่อาจารย์ยังคงให้ความสำคัญไปที่พุทธศาสนา พุทธศาสนาเพื่อสังคมจึงเป็นที่สงสัยและปริศนาของคนรุ่นใหม่และในบรรดาคนที่เชื่อพุทธศาสนา พุทธศาสนาเพื่อสังคมก็ยังคงเป็นกระแสส่วนน้อยที่ต้องต่อสู้แย่งชิงนิยามและที่ยืนในท่ามกลางพุทธศาสนาในไทยที่เอนเอียงรับใช้บริโภคนิยมและทุนนิยมรวมถึงศักดินามากกว่า หรือไม่ก็ละความสนใจเชิงสังคมไปเสียสิ้น

แม้จะเน้นบทบาทฆราวาสมากขึ้น แต่ด้วยความเป็นเถรวาท เชื่อว่าลึกๆ อาจารย์ก็ให้ความสำคัญกับพระสงฆ์ พยายามขับเคลื่อนคณะสงฆ์ แต่ทุกวันนี้จะมีสักกี่คนที่ยังต้องการปรับเปลี่ยนวงการสงฆ์อีก แม้คำโตๆ เช่น เราต้องปฏิรูปสงฆ์นั้นอาจจะมีอยู่บ้างในปัจจุบัน แต่มีคนมองลึกไปพ้นจากอภิสมาจารของภิกษุรูปใดรูปหนึ่งแค่ไหน  

สมัยก่อน แม้แนวคิดพุทธศาสนาเพื่อสังคมของอาจารย์สุลักษณ์จะไม่ได้เป็นกระแสหลัก แต่ก็อาจจะมีแนวร่วมอยู่มากจากชาวพุทธพวกอื่นในสังคม ส่วนหนึ่งก็มาจากความบีบคั้นของสังคมการเมืองที่พุทธศาสนาต้องพิสูจน์ว่ามีคุณค่าและเหนือกว่าลัทธิคอมมิวนิสต์ ทั้งมหาวิทยาลัยสงฆ์ก็ต้องดิ้นรนพิสูจน์ความไม่ด้อยกว่ามหาวิทยาลัยทางโลก เพื่อได้รับการรับรองเป็นมหาวิทยาลัย พระสงฆ์หรือปัญญาชนที่อิงพุทธศาสนา เช่น พุทธทาส สุชีพ ปุญญานุภาพ กระทั่งสมเด็จพุทธโฆษาจารย์ (ปยุตฺโต) พยายามอธิบายพุทธศาสนาในแง่มุมที่ตอบโจทย์กับสังคม สามารถเป็นโมเดลในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม การเมือง 

หากทุกวันนี้ ภัยคุกคามต่างๆ ได้หมดลงไปแล้ว คณะสงฆ์ได้รับการสนับสนุนทางการศึกษามากกว่าที่แล้วมา และเทคโนโลยีพรั่งพร้อมกว่าเมื่อก่อน แนวร่วมที่เคยจินตนาการพุทธศาสนาแบบที่พัฒนาสังคมดูจะกระจัดกระจายมากกว่ารวมพลัง สิ่งที่อาจารย์สุลักษณ์เคยคิดจะแปรเปลี่ยนพิธีกรรมหรือการภาวนาเพื่อมาประยุกต์ใช้ช่วยคนยากไร้นั้นห่างไกลจากงานที่คณะสงฆ์สนใจมาก ไม่ต้องพูดถึงว่าในช่วงสถานการณ์ทางการเมืองหรือวิกฤติการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ มีพระสงฆ์เพียงน้อยรูปเท่านั้นที่กล้าออกมาพูด แนวร่วมของอาจารย์ เช่น พระปัญญานันทะ หรือพระมหาบัว ก็กลายเป็นพระที่มีอิทธิพลโดยสยบยอมกับอำนาจรัฐไป 

ความคิดของอาจารย์สุลักษณ์อาจจะยังโดดเด่น แต่อิทธิพลดูจะน้อยลงไปเต็มที หากไม่นับเรื่องธรรมกายและการวิจารณ์เรื่องวินัยเล็กน้อยที่สื่อสารมวลชนและคนทั่วไปเข้าใจง่ายกว่าและมันส์กว่า



ที่ฉายมานี้เน้นหนักไปพูดเรื่องความท้าทายของปัญญาชนที่เต็มไปด้วยขวากหนาม โดยไม่ได้พูดถึงความสำเร็จของอาจารย์ที่เกิดขึ้นซึ่งก็มีมากทีเดียว ตอนอาจารย์ได้รางวัลนิวาโนเพื่อสันติภาพ อาจารย์ได้แสดงสุนทรพจน์เปรียบเทียบผลงานตัวเองได้อย่างดี โดยกล่าวอุปมาว่า เวลาต้นไม้เจริญเติบโตนั้นไม่มีเสียงดังเหมือนตอนมันโค่นล้ม หลายอย่างที่อาจารย์ทำและสำเร็จอาจจะไม่ได้เสียงดังหรือคนก็อาจจะลืมไปแล้วว่าเป็นงานที่อาจารย์ทำเช่น การอนุรักษ์หอไตรวัดระฆัง การผลักดันให้มีสวนจตุจักร การทำ ‘สังคมศาสตร์ปริทัศน์’ ที่มีส่วนสำคัญในไปสู่ 14 ตุลาฯ จนกระแสความคิดทั้งหลาย และผลักดันให้พระยาอนุมานราชธน ปรีดี พนมยงค์ กุหลาบ สายประดิษฐ์ พุทธทาสได้เป็นบุคคลสำคัญของโลกจากยูเนสโก เราอาจกล่าวได้ว่า ความโดดเด่นและความสำเร็จของอาจารย์ไม่ได้มาจากการเป็นนักปลูกต้นไม้ที่โตไปเงียบเชียบเท่านั้น แต่ความสำเร็จของอาจารย์ก็มาจากการพยายามปลูกต้นไม้แต่ก็ล้มเสียงดังปังด้วย ดังที่ผ่านการวิพากษ์วิจารณ์หรือเรียกร้องต่างๆ กับผู้คน แต่เจอแรงต้านต้องตอบโต้ อุปสรรคที่อาจารย์ต้องเจอ เหมือนต้นไม้ที่โตแล้วก็ล้มมีเสียงดัง 

ทว่าชีวิตอาจารย์ก็เหมือนต้นไม้ใหญ่ ต้นที่ล้มเสียงก็ดังก็แสดงว่าต้นใหญ่แล้ว และมันก็ได้มีลูกพันธุ์ เมล็ดพันธุ์ต่างๆ ก็งอกงาม และแม้ต้นต่างๆ จะล้มอีก ดังที่ตอนนี้หลายๆ คนคงรู้สึกผิดหวังกับบ้านเมือง พยายามอะไรก็ดูไม่สัมฤทธิ์ผล แต่แสดงว่าความคิดนั้นโตได้เต็มที่แล้ว มันอาจจะต้านทานกระแสลมแรงยังไม่ได้และเจอพวกนักตัดไม้ แต่ต้นไม้เหล่านี้ก็แกร่งขึ้น และไม่มันก็ลูกๆ พวกมันที่ยังไงก็จะมีชีวิตยืนยาวกว่าพวกนักตัดไม้ แสดงว่าความสำเร็จก็ใกล้เข้ามาอยู่เหมือนกัน 

ขอย้อนกลับมาที่พุทธศาสนสุภาษิตข้างต้น “วายเมเถว ปุริโส ยาว อตฺถสฺส นิปฺปทา – บุรุษพึงพยายามเรื่อยไปจนกว่าจะสำเร็จประโยชน์” 

จริงๆ ถ้อยคำที่ยกมานั้นตัดมาจากคาถาท่อนหนึ่ง หากเราจะยกบริบททั้งหมดมาจะเห็นภาพและก็ได้คติธรรมสำคัญชวนคิดที่ครบถ้วนยิ่งขึ้น ที่มาของคาถานี้มาจากพระสูตรวิโรจนอสุรินทสูตร ในสังยุตตนิกาย สถาควัค ในฉบับภาษาบาลีกล่าวถึง สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตกรุงสาวัตถี ท้าวสักกะจอมเทพกับท้าวเวโรจนะจอมอสูร เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับแล้วทั้งสองคนก็กล่าวคาถา ในฉบับภาษาบาลีเรื่องจบแค่นี้เลย แต่ถ้าไปดูในฉบับอาคมะที่อยู่ในภาษาจีนได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมน่าสนใจ กล่าวคือ ตอนแรกอสูรกล่าวก่อนว่า บุรุษพึงพยายามเรื่อยไปจนกว่าเป้าหมายจะสำเร็จ เมื่อบรรลุธรรมะแท้จริงแล้วย่อมได้ซึ่งสันติและความสุข ส่วนท้าวสักกะกล่าวว่า บุรุษพึงพยายามเรื่อยไปจนกว่าเป้าหมายจะสำเร็จ การจะสำเร็จนั้น จำเป็นต้องมีความอดทน ทั้งสองคนถามพระพุทธเจ้าว่าถ้อยคำใครดีกว่ากัน พระพุทธเจ้าบอกว่าทั้งคู่ก็พูดถูก แต่พระองค์ก็ตรัสคาถาขึ้นมา เรียกว่ารวมถ้อยคำของสองคนนี้เป็นหนึ่งคือ “สรรพสัตว์ล้วนหาประโยชน์ตน ล้วนปรารถนาสุขและสันติภาพ บุรุษพึงพยายามเรื่อยไปจนกว่าจะสำเร็จด้วยความอดทน เมื่อนั้นปัญหาทั้งปวงย่อมหมดไป” (พระสุตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค, เวโรจนอสุรินทสูตร)  

พุทธภาษิตในที่นี้ การให้พึงพยายามเรื่อยไป หาใช่การพยายามแบบคติสมัยใหม่ที่เน้นทำงานหนัก แสวงหาผลกำไรสูงสุด เพิ่มโลภะ โทสะ โมหะ แต่พึงพยายามในที่นี้คือเพื่อกำจัดซึ่งทุกข์ ทุกข์ในท่าทีแบบชาวพุทธเพื่อสังคม ไม่เพียงในใจแต่โครงสร้างอยุติธรรมด้วย แต่การดำเนินการก็ต้องไม่ลืมเป้าหมายสูงสุดที่อยากให้เกิดมีคือความสุขและสันติภาพ และที่สำคัญมันใช้เวลานานบุรุษจึงต้องพยายามเรื่อยไปด้วยความอดทน ซึ่งเราจะอดทนไม่ได้เลยหากปราศจากสันติภายใน การเจริญภาวนา การมีพรหมวิหารธรรม

ความเพียรในที่นี้สอดคล้องกับพุทธพจน์อีกแห่งหนึ่งด้วย ที่กล่าวว่า “(ที่เราตรัสรู้นี้) ได้ประจักษ์คุณค่าของธรรม ๒ ประการ คือ ๑. ความไม่สันโดษในกุศลธรรมทั้งหลาย ๒. ความเพียรไม่ระย่อ”

ความเพียรจึงควบคู่กับความไม่สันโดษในกุศลธรรม 

พระพุทธเจ้าจึงให้เราเพียรทำ ละอกุศลธรรม ทำกุศลธรรม เพื่อเป้าหมายคือสันติภาพและความสุข ทั้งภายในและภายนอก

แต่ก็ไม่ง่ายเลย และก็ไม่มีคำตอบใดๆ จะให้ นอกจากจงเพียรพยายามเรื่อยไป และสิ่งสำคัญที่สุดในงานนี้ ไม่ใช่ความสำเร็จ เพราะถ้าคิดถึงความสำเร็จ บางทีเมล็ดพันธุ์นั้นก็ต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะเกิด ดังเรื่องการเลิกทาส หรือการต่อสู้ใต้อาณานิคม บางทีก็ใช้เวลาหลายชั่วอายุคน หรือที่เนลสัน เมนเดลลา ต้องติดคุกถึง 27 ปี ถ้าคิดแต่ผลจะเกิดก็คงไม่เสี่ยงแล้ว แต่ถ้าคิดถึงความไม่สันโดษในกุศลธรรม โดยมีขันติธรรมเป็นแกน อดทนทำต่อไป เรื่อยไป ผลอาจจะไม่ได้เกิดในชาตินี้ก็ได้ แต่ก็เหมือนต้นไม้ที่ค่อยๆ โต มันเป็นร่มเงาให้ผู้คน และเมื่อถึงเวลาก็จากไป ทิ้งให้เมล็ดพันธุ์งอกงามต่อไป

ในโอกาส 90 ปีของอาจารย์ อาตมาขออ้างคุณพระศรีรัตนตรัยให้อภิบาลอาจารย์ ขอให้อาจารย์ยังคงพากเพียรตั้งตัวอยู่บนความไม่ประมาทในการประกอบกุศลธรรม มีขันติธรรมเป็นฐานสำคัญ ผู้ไม่ประมาทในกุศลธรรม ย่อมเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ขอให้อาจารย์เป็นไม้แผ่ร่มเงาแก่บรรดาลูกศิษย์ ครอบครัว และผู้ทุกข์ยากทั้งหลาย ตราบนานเท่านาน

และขอให้อาจารย์พยายามเรื่อยไปจนกว่าจะสำเร็จประโยชน์สูงสุด หรือปรมัตถประโยชน์ มีใจเป็นอิสระ มีจิตหลุดพ้น ปลอดโปร่งไปจากกิเลส หรือพูดง่ายๆ ว่า นิพพาน เทอญ

“วายเมเถว ปุริโส ยาว อตฺถสฺส นิปฺปทา – บุรุษพึงพยายามเรื่อยไปจนกว่าจะสำเร็จประโยชน์” เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

22 Feb 2022

คราฟต์เบียร์และความเหลื่อมล้ำ

วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ เขียนถึงอุตสาหกรรมเบียร์ไทย ที่ผู้ประกอบการคราฟต์เบียร์รายเล็กไม่อาจเติบโตได้ เพราะติดล็อกข้อกฎหมาย และกลุ่มทุนที่ผูกขาด ทั้งที่มีศักยภาพ

วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์

22 Feb 2022

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save