ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย เรื่อง
ธิติ มีแต้ม ภาพ
แม้ย่านนางเลิ้งจะดูเหงาในบางเวลา แต่กับสถานที่บางแห่งกลับยังคึกคัก เช่น สนามม้าและสนามมวย หรือถ้าเดินย้อนไปทางราชดำเนินหน่อย จะเห็นคนจำนวนมหาศาลที่กองสลากฯ โดยเฉพาะช่วงก่อนวันที่ 1 และ 16 ส่วนทางสนามหลวงและคลองหลอดก็คลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวและคนทำมาหากินตอนกลางคืน เป็นวิถีชีวิตคนบางกอกย่านพระนครที่มีมานานกว่าชั่วอายุคน
อ่านสารคดี ม้า-มวย-หวย-หม้อ ทั้ง 4 ตอน ได้ที่นี่
แทงม้า
ฉันกำตั๋วราคา 50 บาทไว้แน่น ระหว่างทางเดินเข้าสนามมีร้านขายตารางแข่ง ปากกา บุหรี่ ลูกอม เบียร์ น้ำ และหวย เสียงคนขายร้องว่า “อีกสามวันรวย” แต่ได้ยินเหล่าเซียนม้าพูดเล่นกันว่า “จะรวยวันนี้”
มีร้านให้เช่ากล้องส่องทางไกลในสนนราคา 30 บาท ปากกานั้นมีอยู่แล้ว ที่ยังขาดคือตารางแข่งกับกล้องส่องทางไกล
“คนที่มาเช่ากล้อง ส่วนมากคือไม่กล้าซื้อเก็บไว้ที่บ้าน กลัวลูกดุ” คนขายว่า
“เพราะมันแพง?”
“ไม่ใช่ เพราะกลัวลูกจะรู้ว่าเล่นม้าน่ะสิ” เธอพูดเสียงเรียบนิ่งแล้วค่อยหัวเราะ ก่อนยื่นกล้องมาให้ “มองให้ไกล แล้วปรับสายตาให้ตรง ขอให้สนุกนะ”
ในยุครุ่งเรือง สนามม้ามีคนเข้ามากว่า 20,000 – 30,000 คน แต่ในปัจจุบันเหลืออยู่ประมาณ 5,000 คน เซียนม้ารุ่นเก๋าทยอยจากไป และไม่มีใครมาทดแทน แต่ขณะเดียวกัน สิ่งที่ยังส่งกันรุ่นต่อรุ่นคือ ประธานอำนวยการแข่งขันม้า ที่ส่วนมากเป็นทหารยศใหญ่ ว่ากันว่า หากจะกุมอำนาจทางการเมืองให้เบ็ดเสร็จ ก็ต้องกุมสนามม้าได้ด้วย
นั่งไล่เรียงดูชื่อม้าและชั้นของม้า ม้าชั้น 1 จะเป็นรอบที่เทพที่สุด แข็งแกร่ง รวดเร็ว สถิติดีที่สุดมาเจอกัน เรียกได้ว่าเจนสนาม และว่ากันว่า มันพอเดาได้ว่าใครจะเข้าวิน ตรงข้ามกับม้าชั้นเมเด้น หรือม้าที่เพิ่งเดบิวท์เข้าวงการ ส่วนมากเป็นพวกที่เพิ่งวิ่งสนามนี้เป็นครั้งแรก ยังไม่รู้ที่มาที่ไป และไม่รู้ว่าใครจะเข้าวิน เซียนม้าบอกฉันว่า “เล่นม้าชั้นเมเด้นสนุกตรงที่เดาไม่ถูก แต่ที่ไม่สนุกเพราะมันเดาไม่ถูกซักทีนี่แหละ” ม้าเมเด้นเลยเหมือนม้าที่เอาไว้ซ้อมมือของเหล่าเซียนม้า และตัวม้าเองที่เอาไว้ซ้อมเท้าเช่นเดียวกัน
นาทีนี้รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นม้าเมเด้น เพิ่งลองสนามครั้งแรก แต่ดันเข้าวินเพราะมีคนแนะนำ คิดเข้าข้างตัวเองไปว่าต่อไปเราก็คงเป็นม้าชั้นหนึ่งได้ไม่ยาก
ไหนๆ ก็มาแล้ว ถ้าไม่ลองก็นับว่าเสียโอกาส ฉันตัดสินใจหันไปถามเซียนคนหนึ่งที่กำลังยืนส่องกล้องทางไกลอยู่ข้างๆ
“มันดูยังไงคะ อยากแทงแต่ไม่รู้จะแทงตัวไหน”
พี่เขาหันมานิ่งๆ แล้วตอบ
“เขาว่าเลข 11 จะเข้าวิน” ฉันก้มลงดูบนโพย นามว่า ‘เซย์อะเกน’ คือม้าตัวที่ว่า
ฉันฮัมเพลง พูดอีกที พูดอีกที ได้รึเปล่า เดินไปที่ช่องขายตั๋ว มือกำแบงค์แน่น ถ้าโลกไม่โหดร้ายเกินไป มันต้องได้บ้างแหละวะ
รอบถัดมา ม้ายังไม่ถูกปล่อย เสียงประกาศยังชวนให้คนไปซื้อตั๋ว ลุงว่า เพราะยอดแทงยังไม่พอ เขาจึงต้องขยับเวลาไปเรื่อยๆ ให้เงินหมุนเวียนในสนามได้อย่างที่หวังไว้
และเมื่อเวลามาถึง ม้าก็ถูกปล่อยจากคอก ทะยานออกมาด้วยความเร็ว เสียงเฮดังสนั่นหวั่นไหว ฉันยอมรับว่าดูไม่ออกว่าม้าที่เชียร์คือตัวไหน เพราะวิ่งตัดหน้าตัดหลังกันอย่างเมามัน คุณลุงบอกให้สังเกตที่สีเสื้อของจ็อกกี้ ซึ่งสิ่งนี้มีเขียนบอกในโพย ในเวลาอันเร็วรวด ม้าหมายเลข 3 ก็เข้าเส้นชัยอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
“เลี้ยงม้าเหมือนเลี้ยงลูก” คนดูแลม้าพูดกับฉัน ก่อนจะมาแข่งนั้น ที่คอกต้องปูฟางเป็นฟูกให้นอนอย่างดี ใช้ผ้าคลุมตาเพื่อกันแมลง พาไปเดินเล่นรับลมชมวิว และซ้อมวิ่งอย่างทะนุถนอม
“ม้าตัวนึงราคาเป็นล้าน พอมาแข่งมูลค่าของม้าก็เพิ่มขึ้นไปอีก”
มูลค่าที่ว่าคือเงินหมุนเวียนในสนาม กับความคาดหวังของเหล่าเซียนม้า
สนามม้านางเลิ้งเคยเป็นสถานที่พบปะเล่นกีฬาของชนชั้นสูง สะท้อนรสนิยมเอาอย่างตะวันตก ตอนนี้กลายเป็นความบันเทิงแบบไทยๆ ที่มีรูปแบบเฉพาะตัว
สิ่งที่ฉันเห็น สนามม้าไม่ใช่แค่พื้นที่ของการพนัน แต่เป็นลมหายใจของกาลเวลา – และเวลาของที่นี่ไม่เหมือนข้างนอก
ฉันเดินออกมาจากสนามม้า เรียกวินมอเตอร์ไซค์ไปที่ร้านยิปซีรีดเดอร์ ริมถนนนครสวรรค์ เบียร์ขวดเล็กหนึ่งขวดน่าจะช่วยเติมเต็มวันดีๆ ได้ มอเตอร์ไซค์ขับผ่านสนามมวยราชดำเนิน ดวงอาทิตย์กำลังจะตกดิน แต่ผู้คนเริ่มทยอยเข้ามาที่สนามมวย
“ม้าเลิกแล้ว แต่มวยเพิ่งเริ่ม” พี่คนขับตะโกนผ่านสายลมมา
“คมคาย” ฉันคิดในใจ
เดี๋ยววันหลังมาดูมวยก็ดีเหมือนกัน
ดูมวย
ฉันกับเพื่อนยืนงงในดงมวย มองผู้คนอออยู่หน้าสนามก่อนมวยต่อย เซียนมวยสองสามคนจับกลุ่มยืนดูใบฟอร์ม คุยราคาว่าตัวไหนน่าแทง และสูบบุหรี่ไปด้วย บางคนแอบเอาเบียร์กระป๋องยัดในเสื้อเผื่อไปกินข้างใน การ์ดตัวสูงใหญ่ยืนคุมหน้าทางเข้า ตำรวจจอดรถคุมเชิงอยู่หน้าสนาม มองขึ้นไปบนป้าย มีรายชื่อโปรโมเตอร์ เจ้าของค่ายและนักมวย ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นชายล้วน
มวยไทยก็ถูกยกให้เป็นศิลปะประจำชาติ และทำเงินมหาศาลจากนักท่องเที่ยวที่เข้ามาดูมวยไทย
จากฉากหน้า ดูเหมือนว่าใครๆ ก็สามารถเดินเข้าไปดูได้ แต่ฉากหลังยังมีเบื้องลึกอีกมากมายที่เรายังไม่รู้
คู่แรกเริ่มชกไปแล้ว เสียงกลองแขก ปี่ชวา และฉิ่ง บรรเลงร่วมกันคุมบรรยากาศทั้งสนาม เมื่อไหร่ที่มวยเริ่มต่อยดุเดือด เสียงเพลงก็จะรัวเร็วไปด้วย เช่นเดียวกับเสียงเฮของคนดูที่ทำให้มวยบนสังเวียนสนุกขึ้น
ตรงส่วนริงไซด์ ราคาตั๋ว 1,500-2,000 บาท ส่วนมากเป็นชาวต่างชาติ สั่งเบียร์แก้วละ 150 มานั่งดื่ม แล้วถ่ายรูปกันอย่างสบายอกสบายใจ มองขึ้นไปตรงที่นั่งชั้นราคา 400-500 บาท เซียนมวยรวมกลุ่มกันชูไม้ชูมือบอกราคาต่อรอง
“เป็นภาษามือที่น่าจะมีมูลค่าที่สุดแล้วล่ะ” พี่ช่างภาพพูดกับฉันแล้วหัวเราะร่วน
สองยกแรก นักมวยยังเต้นฟุตเวิร์ก ดูเชิงกันอยู่ มีปล่อยหมัดแย้บแค่ครั้งสองครั้ง เตะกันบ้างพอให้ตื่นเต้น แต่ก็ยังไม่ถือว่าเร้าใจอะไร จนพอเข้าสู่ยกที่สาม เซียนมวยเริ่มตะโกนเชียร์อย่างออกรสออกชาติ จากที่มุมแดงเป็นต่อ กลายเป็นราคาของมุมน้ำเงินที่ขึ้นมาอย่างน่าประหลาดใจ สังเกตได้จากมือไม้ของเหล่าเซียนมวยและเสียงตะโกน
ทั้งที่มวยก็ดูสูสีดี พอเข้ายกที่สี่ มุมน้ำเงินเตะซี่โครงมุมแดงเข้าเต็มรัก เสียงดังอั้กชัดเจน ฝ่ายแดงไม่ยอมแพ้ ซัดหมัดเข้าหน้าฝ่ายน้ำเงินจนหน้าหัน ทั้งคู่ผลัดกันออกอาวุธ คลุกวงใน ใส่เข่า เดินวนรอบหาจังหวะซัดแรงๆ จนเซียนมวยทวีเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ว่า “น้ำเงินๆๆๆๆ” สนั่นสนาม
ครบสามนาทีระฆังดังหมดเวลา กรรมการยกมือให้ฝ่ายน้ำเงินเป็นผู้ชนะ
หลังชกเสร็จ นักมวยที่ชนะเดินออกด้านหลังสนาม ยืนหน้าแบ็คดรอปให้สื่อถ่ายรูป แสงแฟลชกะพริบรัว มีแฟนมวยทั้งต่างชาติและชาวไทยรอเข้าไปขอถ่ายรูปด้วย ในเวลาเดียวกัน นักมวยที่แพ้เดินกะเผลกออกมา มีแฟนสาวใส่ชุดนักศึกษาเดินตาม ไร้แสงแฟลชและผู้คนสนใจ เพื่อนสองสามคนยืนรอรับหน้าสนาม เห็นเขาแวะซื้อน้ำใบบัวบก ข้างกันมีเซียนมวยซื้อน้ำใบบัวบกดื่มด้วยรอยยิ้ม
“นักมวยกินน้ำใบบัวบกเพื่อแก้ช้ำใน แต่เซียนมวยกินเพื่อฉลอง” พี่ช่างภาพปล่อยคำที่เฉียบขาด
วงจรของนักมวยไม่มีผู้ชนะเสมอไป ไม่มีใครยืนอยู่เหนือผู้อื่นได้ตลอดกาล เหมือนคำที่ว่า ‘มวยฝีมือแพ้มวยเข่า มวยเข่าแพ้มวยหมัด มวยหมัดแพ้มวยฝีมือ’ ถ้าหากนักมวยกลับมาเจอคู่ต่อสู้ที่แพ้ทาง เขาก็อาจกำชัยชนะไว้ได้ (และด้วยการสนับสนุนราคาจากเซียนมวย) แต่ถ้าวันไหนที่เจอตัวโหดเข้าก็อาจพ่ายแพ้ และกลับไปฝึกมาใหม่อีกครั้ง
“ต่อจากนี้ ผมนอนพักอาทิตย์นึง ไม่ทำอะไรเลย อีกเดือนนึงเดี๋ยวขึ้นสังเวียนใหม่ครับ” นักมวยที่แพ้น็อคพูดกับฉันก่อนกลับบ้าน
เล่นหวย
“พรุ่งนี้รวย” คำคลาสสิกตลอดกาลที่เราได้ยินกันจนชินหูก่อนถึงวันที่ 1 และ 16 ของเดือน
พรุ่งนี้หมายถึงอนาคต ที่ทำให้ผู้คนยอมควักเงินเกือบร้อย มาซื้อ ‘ความหวัง’ ที่มีโอกาสเพียง 1 ในล้าน
ฉันเห็นภาพจำลองสังคมไทย ในสนามม้าและสนามมวย จนเมื่อเดินมาที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลตรงราชดำเนิน ก็พอจะเห็นภาพสังคมไทยที่ใหญ่ขึ้นได้อีก
หลังจากย้ายกองสลากไปที่สนามบินน้ำ ที่เก่าตรงราชดำเนินก็ดูเหมือนจะยิ่งเงียบเหงา แต่ก็ยังมีแม่ค้าพ่อค้าขายหวยมาตั้งแผงขายอยู่พอสมควร ทุกวันที่ 7 และ 22 ของเดือน กองสลากฯ จะแบ่งลอตเตอรี่ล็อตใหม่ออกขายสำหรับคนขายหวย ช่วงอาทิตย์ก่อนหวยออกจึงมีเหล่าคอหวยมาออแน่น กลายเป็นแหล่งพบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนเลขกัน
“อย่างแรกก็คงใช้หนี้ให้หมดก่อน” คำตอบของคุณลุงคุณป้า ที่วางเป้าหมายไว้ว่าถูกหวยรางวัลที่ 1 แล้วจะเอาเงินไปทำอะไร นอกนั้นก็ไม่พ้นเรื่องซื้อบ้าน ซื้อรถ และเอาเงินไปลงทุนเพื่อต่อยอดธุรกิจ
เงินรางวัลที่ได้จากหวย กลายเป็นเงินก้อนที่ลอยอยู่ในอนาคตและอากาศ จับต้องไม่ได้ แต่หวังว่าสักวันต้องเข้ามาในชีวิต
“ป้าหาเช้ากินค่ำ จะหาเงินก้อนได้จากไหน จะซื้อรถเข็นมาขายของสักคันป้าก็ต้องคิดแล้วคิดอีก เอาเงินมาซื้อหวย ก็ยังพอได้หวังบ้างว่าจะมีเงินก้อนเข้ามา”
ไม่ใช่แค่ป้าขายน้ำคนเดียวที่พูดแบบนี้ หลายคนที่หาเช้ากินค่ำ และถูกจัดว่าเป็นชนชั้นล่างเมื่อวัดจากรายได้ ก็คิดแบบเดียวกัน ไม่ใช่ว่าไม่ขยัน ไม่ใช่ว่านอนอยู่บ้านรอรัฐมาช่วย ไม่ใช่ว่าไม่ประหยัด แต่ทำทุกอย่างแล้ว ขวนขวายทุกอย่างแล้ว สถานะทางเศรษฐกิจก็ไม่ได้เลื่อนขึ้นมาง่ายๆ
หวยจึงกลายเป็นความหวัง ถึงแม้พวกเขาจะรู้ว่าไม่มีหวังก็ตาม
“ขายไม่หมด ก็ลุ้นเอง” พี่คนขายลอตเตอรี่เล่าให้ฉันฟัง แผงที่เราเห็นคนเดินถือไปมา มีมูลค่ากว่า 20,000 – 50,000 บาท นั่นหมายความว่า คนขายหวยลงทุนทุก 15 วัน ถ้าขายหมดจะกินกำไรส่วนต่างได้หลายพันบาท โดยไม่ต้องลุ้นผลให้เมื่อย
มีตัวเลขที่น่าสนใจบอกว่า ในรอบ 20 ปี (ปีงบประมาณ 2539-2558) คนไทยจ่ายเงินซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลและสลากบำรุงการกุศลทั้งหมด 909,433 ล้านบาท มีคนถูกรางวัลที่ 1 มาแล้วประมาณ 11,500 คน หรือปีละประมาณ 575 คน มีคนเอาสลากไปขึ้นเงินกับกองสลากฯ 552,202 ล้านบาท ส่วนที่ ‘ถูกกิน’ หรือไม่ถูกรางวัลนั้นมีน้อยกว่าคือ 357,229 ล้านบาท
ที่หน้ากองสลากฯ ราชดำเนิน ช่วงวันที่ 7 และ 22 กลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังจากทุกคนถอยทัพกลับไปลุ้นหวย และผ่านพ้นความผิดหวัง มาเฝ้ารอความหวังในงวดใหม่
คุณลุงบางคนเดินผ่านโชว์รูมรถหรู ไม่ได้หันไปมองแม้แต่หางตา ขณะที่บางกลุ่มก็กลุ้มรุมแผงหวย เพื่อหวังว่า 1 ในเลข 999,999 ตัว จะนำโชคมาให้
เราหวังกับอนาคตที่ไม่รู้จะมาเมื่อไหร่ ตั้งคำถามว่าจะขยับไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้นได้ด้วยวิธีไหนบ้าง ถ้าการอยู่แบบหาเช้ากินค่ำยังต่อยอดชีวิตไม่ได้
ตีหม้อ
หากเดินเข้าไปในคลองหลอด เราอาจต้องหลีกทางให้เสื่อที่ปูบนฟุตปาธ บนโคนต้นไม้บางต้นมีหมอนใบเก่าวางอยู่อย่างเจียมตัวและเป็นธรรมชาติ ข้าวของเครื่องใช้ เช่น กระจกหรือหวี วางไว้ใกล้กัน บ่งบอกว่าที่แห่งนี้มีเจ้าของที่ และเราเป็นเพียงคนนอกที่มาเยี่ยมเยียนบ้านของคนอื่น
หลังจากมีการเคลียร์พื้นที่สนามหลวง คนไร้บ้านจำนวนมากต้อง ‘ย้ายบ้าน’ ของพวกเขาไปอยู่ที่อื่น คลองหลอดเป็นหนึ่งในทำเลยอดนิยมที่คนไร้บ้านยึดเป็นที่หลับที่นอน
ไม่ใช่แค่คนไร้บ้านเท่านั้นที่จำเป็นต้องย้ายที่ แต่หญิง-ชายขายบริการข้างสนามหลวงก็ต้องขยับที่ทางออกมาด้วย จากแต่เดิมที่มีอยู่แล้ว คลองหลอดก็กลายเป็นซ่องอิสระขนาดใหญ่ ที่ผู้คนหลากหลายเข้ามาใช้บริการ
ตลอด 24 ชั่วโมงในคลองหลอด มีผู้หญิงนั่งอยู่ริมถนน บ้างปูเสื่อ บ้างหลบมุมใต้ต้นไม้ บางคนมีเก้าอี้พลาสติกตัวเดียวกับกระเป๋าหนึ่งใบ พร้อมใบหน้าที่แต่งมาอย่างบรรจง ก็เพียงพอต่อการทำงาน
หญิงขายบริการในย่านคลองหลอด มีตั้งแต่เด็กหญิงที่เพิ่งมีประจำเดือน ไปจนถึงหญิงชราที่หมดประจำเดือนไปนานแล้ว ราคาไล่ระดับตั้งแต่ 100 – 500 บาท เรียกได้ว่าเป็นกลุ่มขายบริการที่เปิดกว้างให้คนทุกระดับเข้าถึงได้ ไล่ตั้งแต่ใส่รองเท้าแตะจนถึงขับรถจากัวร์
คลองหลอดถือเป็นตลาดโสเภณีชรา มีหญิงอายุมากหลายคนขายบริการที่นี่
“ป้าหนีออกจากบ้านมาตั้งแต่อายุ 14” ป้าแก้ว (นามสมมติ) เริ่มเล่าเรื่องให้ฉันฟัง “จนตอนนี้ 60 กว่า ก็ไม่คิดจะกลับบ้าน”
จุดเริ่มต้นที่ทำให้ป้าแก้วเข้าสู่การขายบริการ เกิดขึ้นในช่วงวัย 20 กว่า กำลังเป็นสาวสะพรั่ง มีคนรู้จักเข้ามาขอนอนด้วยแลกกับเงิน ป้าแก้วบอกว่า เลือกรับเฉพาะคนที่รู้จัก ไม่ได้เปิดขายอย่างเป็นทางการ ป้าแก้วทำอยู่พักใหญ่ แล้วก็เลิกไป เหลือเพียงขายน้ำอัดลมและเบียร์กระป๋องอย่างเดียว
ป้าแก้วขายน้ำอยู่สนามหลวงนานหลายสิบปี จนกระทั่งมีการจัดระเบียบ จึงจำเป็นต้องย้ายมาขายที่คลองหลอด และเช่าบ้านอยู่กับเพื่อนแถวนั้น
ในบางบ่ายก็เห็นชายหนุ่มร่างสันทัด ใส่เสื้อยืดกางเกงยีน ยืนคุยกับป้าอยู่ สายตากรุ้มกริ่มและท่าทางการยืน ไม่น่าจะใช่ป้ากับหลานมาเยี่ยมเยียนกัน
พอตกค่ำ ฉันเดินตามจ๋า เลขานุการมูลนิธิอิสรชน ไปแจกถุงยางอนามัยในซอย เห็นความหลากหลายไล่เรียงกันกับตา มีตั้งแต่สวยเจิด สวยเรียบง่าย ไปจนถึงสวยสติไม่สมประกอบ
เห็นคุณยายวัยน่าจะแตะ 70 กับหลานสาววัย 15-16 ปี ฉันไม่แน่ใจว่าเขาแค่มานั่งพัก หรือมารอขายบริการ เลยเก้ๆ กังๆ ตอนนั้นเองที่คุณยายถามขึ้น “มาแจกถุงยางเหรอ” ทำให้ฉันกล้าเอาเข้าไปให้
“นี่ๆ เอาให้หลาน ยายขายไม่ไหวแล้ว” เด็กสาวยิ้มเขินอาย แล้วหยิบถุงยางจากมือ “ขอบคุณนะคะ” เธอกล่าวเสียงเบา ฉันยิ้มให้ แล้วเดินจากมา เผลอคิดว่าเขาต้องเจออะไรมาบ้างในชีวิต ที่ทำให้เดินมาถึงจุดนี้
นอกจากสาววัยแรกรุ่นและไม้ใกล้ฝั่งแล้ว ยังมีกลุ่ม ‘แม่บ้าน’ ที่เข้ามาขายบริการที่นี่กันเป็นจำนวนมาก
หญิงวัยกลางคนที่เป็นแม่บ้าน สามีเสียชีวิต ตัดขาดกับลูกหลาน สิ่งที่จะทำให้เธอรู้สึกมีค่า คือการยังเป็นที่ต้องการ ทั้งในเรื่องทางเพศและสามารถหาเงินได้เอง
พี่แจ่ม (นามสมมติ) หนึ่งในหญิงขายบริการที่เป็นแม่บ้าน เล่าให้ฟังถึงความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีนักกับลูก
ปัจจุบันพี่แจ่มอยู่ห้องเช่ากับสุนัขหนึ่งตัว แกพูดติดตลกว่า “อยู่กับหมาสบายใจที่สุด” หลังจากลูกแยกย้ายออกไปมีครอบครัว และสามีเพิ่งเสียชีวิตเมื่อต้นปีที่ผ่านมา พี่แจ่มก็เลือกที่จะขายบริการเต็มตัว ครั้งละ 200-300 บาท ใส่ถุงยางทุกครั้ง และตรวจเลือดเป็นประจำ เพื่อให้ตัวเองทำอาชีพนี้ไปได้เรื่อยๆ
ปรกติลูกค้าจะจ่ายค่าตัวและค่าห้องให้ ค่าห้องนั้นมีตั้งแต่ระดับ 40 บาทไปจนถึง 500 บาท
ห้อง 40 บาท เป็นแค่เพิงสังกะสีพอหลบฝน ในห้องเป็นผนังปูนเปลือยขึ้นรา ผ้าปูลายการ์ตูน มีโอ่งไว้ล้างตัวตั้งอยู่ ถ้าจะล้างก็ล้างกันตรงนั้น พัดลมตัวเล็กไม่มีกรอบ หมุนเป็นจังหวะ ถ้ามองในสายตาของคนที่นอนห้องติดแอร์ คงไม่มีทางเกิดอารมณ์ในห้องนี้ได้แน่ๆ
การจะยกระดับเตียงนอนให้บรรยากาศดีขึ้นมาหน่อย ต้องใช้เงิน ถ้าลูกค้ามีเงินไม่พอต่อการเข้าม่านรูดดีๆ หญิงขายบริการหลายคนก็ต้องยอมเข้าไปใช้ห้อง 40 บาท แต่ถ้าใครโชคดีเจอคนรวย ก็อาจได้ไปห้องหับที่ดีขึ้น
หญิงขายบริการต้องแบกรับความเสี่ยงทั้งทางอาชญากรรม โรคติดต่อ การถูกเอาเปรียบทางการค้า ฯลฯ โดยที่ไม่มีใครเข้ามาดูแล แน่นอนว่าตอนนี้อาชีพโสเภณีผิดกฎหมาย แต่เมื่อเปิดตาให้ครบทั้งสองข้าง จะพบว่ามีผู้หญิงกว่าพันคนในคลองหลอดที่อยู่ในวงจรการขายบริการทางเพศ ไม่นับบริเวณอื่นในกรุงเทพฯ ที่มีอีกหลายหมื่นคน เราจะทำอย่างไรให้การขายบริการที่ไม่มีทางปราบปรามได้ เข้าสู่การจัดการอย่างเป็นระบบ
ติดตามสารคดีซีรีส์ ม้า มวย หวย หม้อ ทั้ง 4 ตอน ได้ที่