fbpx
จาก Admissions สู่ TCAS: ข้อสังเกตบางประการ

จาก Admissions สู่ TCAS: ข้อสังเกตบางประการ

[et_pb_section bb_built=”1″][et_pb_row][et_pb_column type=”4_4″][et_pb_text _builder_version=”3.0.106″ background_layout=”light”]

พลอย ธรรมาภิรานนท์ เรื่อง

“การรับเด็กรูปแบบใหม่ชื่อใหม่ทีแคสนี้ เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการลดความเหลื่อมล้ำ เพื่อแก้ปัญหาวิ่งรอกสอบ กันสิทธิ์คนอื่น ลดปัญหาความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างคนรวยกับคนจน และต้องการให้เด็กอยู่ในห้องเรียนจนจบการศึกษา” – ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก วันที่ 2 มิ.ย. 2560)

เมื่อต้นเดือนมิถุนายน ปี 2560 ทปอ. ได้ประกาศใช้ระบบการรับสมัครคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในระดับอุดมศึกษาระบบใหม่ หรือ TCAS ซึ่งเป็นระบบกลางที่จะเริ่มใช้ตั้งแต่ปีการศึกษา 2561 เป็นต้นไป  โดยมีหลักการสำคัญของการเปลี่ยนจากระบบ Admissions มาสู่ TCAS คือ เพื่อให้นักเรียนใช้เวลาในห้องเรียนจนจบชั้น ม.6[1] และเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาระหว่างเด็กรวยกับเด็กจน

ปัญหาของ Admissions

ระบบ Admissions แบบเดิมที่ใช้ในปีการศึกษา 2553 จนถึงปี 2560 นั้น แบ่งรอบรับสมัครได้เป็น 2 รอบใหญ่ๆ คือรอบ Admissions และรอบ ‘รับตรง’  โดยสำหรับรอบ Admissions ซึ่งเป็นการรับสมัครผ่านระบบกลาง ผู้สมัครต้องยื่นคะแนน 4 ประเภทเพื่อใช้ในการพิจารณาคัดเลือก ได้แก่ GPAX (สัดส่วน 20%), O-NET[2] (สัดส่วน 30%), GAT (สัดส่วน 10-50%) และ PAT[3] (สัดส่วน 0-40%)  โดยผู้สมัครสามารถเลือกโครงการและมหาวิทยาลัยที่ต้องการสมัครได้ทั้งสิ้น 4 อันดับ และเปิดรับสมัครในช่วงเดือนพฤษภาคมของทุกปี

แต่เนื่องจากคณะ/มหาวิทยาลัยส่วนหนึ่งเห็นว่า คะแนนทั้ง 4 ประเภทที่ใช้ในรอบ Admissions ไม่สามารถใช้วัดและสะท้อนคุณสมบัติของผู้สมัครได้ดีเท่าที่ควร  แต่ละคณะ/มหาวิทยาลัยจึงเปิดรับสมัครนักศึกษาเอง หรือที่เรียกว่ารอบ ‘รับตรง’ ด้วย  ในรอบนี้ คณะสามารถเลือกเกณฑ์การพิจารณาผู้สมัครได้เอง เช่น คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย A ใช้คะแนน GAT และ PAT  ส่วนคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย B ใช้คะแนนการสอบที่จัดขึ้นโดยมหาวิทยาลัยเอง  โดยคณะ/มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่จะเปิดรับสมัครและประกาศผลรอบรับตรงก่อนการสมัครรอบ Admissions

ระบบคัดเลือกดังกล่าวนำไปสู่ปัญหา 3 ประการหลัก ได้แก่  การไม่เข้าห้องเรียนของผู้ที่สอบติดในรอบรับตรงและของผู้ที่มีคะแนนสอบ GAT-PAT รอบแรก (กำหนดสอบเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน) สูง  การตระเวนสอบตรงเพื่อให้มีที่เรียน ซึ่งทำให้เด็กรวยมีโอกาสได้ที่เรียนมากกว่า เพราะมีทุนในการยื่นสมัครหลายที่มากกว่าเด็กจน และ “การกั๊กที่” ของผู้สอบติดหลายที่ในรอบรับตรงแต่ไม่สละสิทธิ์ ส่งผลให้ผู้สมัครคนอื่นเสียโอกาสในการได้ที่เรียน

เพื่อแก้ปัญหาการกั๊กที่ สมาคมสถาบันอุดมศึกษาแห่งประเทศไทย (สอท.) จึงได้จัดทำระบบ Clearing house เพื่อรวบรวมรายชื่อผู้สอบติดจากรอบรับตรงไว้ที่ส่วนกลาง และให้ผู้ผ่านการคัดเลือกยืนยันสิทธิ์เข้าเรียนของตนได้เพียง 1 ที่  หลังจากนั้น ผู้ที่ยืนยันสิทธิ์แล้วจะถูกตัดสิทธิ์จากรอบ Admissions และจากคณะอื่นในระบบ Clearing house

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการเข้าร่วมระบบ Clearing house เป็นไปตามความสมัครใจ โครงการ/มหาวิทยาลัยจำนวนไม่น้อยจึงยังไม่ได้เข้าร่วมระบบ Clearing house โดยในปีการศึกษา 2560 มีมหาวิทยาลัยที่เป็นสมาชิก ทปอ. เข้าร่วมระบบ Clearing house ทั้งสิ้น 11 แห่ง จากทั้งหมด 27 แห่ง (ไม่นับรวมกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทยที่เข้าร่วมเช่นกัน)  และในจำนวนนี้ ก็ไม่ใช่ทุกโครงการหรือทุกคณะที่เข้าร่วมในระบบ Clearing house   ผลก็คือ ถึงแม้ว่าจะมีระบบการยืนยันสิทธิ์แล้ว การกั๊กที่ก็ยังเกิดขึ้นได้ในกรณีที่ผู้สมัครสอบติดในโครงการ/มหาวิทยาลัยที่ไม่ได้เข้าร่วมระบบ Clearing house[4]

 

สู่ระบบใหม่ TCAS: สมัครได้ 5 รอบ, รับตรงพร้อมกัน และ Clearing house ทุกโครงการ

ปัญหาดังกล่าวข้างต้นนำไปสู่การเปลี่ยนระบบจาก Admissions มาเป็น TCAS ซึ่งมีข้อเปลี่ยนแปลงหลักๆ ดังนี้

  • การสอบข้อสอบกลางทั้งหมดเลื่อนไปสอบหลังจากจบการศึกษาชั้น ม.6 แล้ว และมีจัดสอบเพียงครั้งเดียว เพื่อให้นักเรียนใช้เวลาในห้องเรียนจนจบชั้น ม.6
  • จัดระเบียบการสมัครให้ผู้สมัครยื่นคะแนนได้ทั้งหมด 5 รอบ โดยมีข้อเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ คือ
    1. เพิ่มรอบ Portfolio ทำให้ผู้สมัครมีโอกาสสมัครหลายรอบมากขึ้น
    2. กำหนดให้มหาวิทยาลัย ‘รับตรงพร้อมกัน’ ในรอบที่ 3 โดยให้ผู้สมัครเลือกสมัครได้ 4 โครงการ/คณะเท่านั้น ซึ่งเท่ากับว่ามีการจำกัดจำนวนโครงการที่สมัคร การเปิดรอบ ‘รับตรงพร้อมกัน’ นี้จึงช่วยลดความได้เปรียบ-เสียเปรียบระหว่างเด็กรวย-จนที่เคยมีในระบบ Admissions จากการวิ่งรอกสอบตรง
  • หลังจากประกาศผลแต่ละรอบ ผู้ผ่านการคัดเลือกจะต้องยืนยันสิทธิ์ผ่านระบบ Clearing house ว่าจะตกลงเข้าเรียนที่คณะ/มหาวิทยาลัยนั้นหรือไม่ หากยืนยันสิทธิ์แล้ว ผู้สมัครจะถูกตัดสิทธิ์ในการสมัครรอบถัดไป โดยแต่ละคณะจะประกาศผลผู้มีสิทธิ์เข้าศึกษาหลังจากกระบวนการยืนยันสิทธิ์เสร็จสิ้น  การเปลี่ยนแปลงนี้จึงช่วยลดปัญหาการ “จ่ายเงินกั๊กที่เรียน” ได้

จาก Admissions สู่ TCAS

การพิจารณาระบบดังกล่าวโดยละเอียดนำไปสู่ข้อสังเกตเบื้องต้น 4 ประการ ซึ่งท้ายที่สุดชี้ให้เห็นว่า ระบบ TCAS ไม่สามารถทำให้เด็กอยู่ในห้องเรียนจนจบการศึกษา และไม่สามารถบริหารสิทธิ์ของผู้สมัครให้เกิดความเท่าเทียมได้ตามที่ ทปอ. ตั้งเป้าไว้

ข้อสังเกตที่ 1: ความได้เปรียบ-เสียเปรียบของเด็กรวย-จนยังอยู่

นักเรียนมัธยมจำนวนไม่น้อย ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงกับการศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย กลับพากันตั้งคำถามว่า TCAS จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำของโอกาสทางการศึกษาได้จริงตามที่ ทปอ. กล่าวหรือไม่ เพราะทั้งค่าสมัครและค่าสอบรวมกันแล้วไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าสมัครในรอบรับตรงพร้อมกัน หรือรอบที่ 3 ยิ่งไปกว่านั้น หากผู้สมัครต้องการเพิ่มโอกาสในการสอบติด โดยการสมัครหลายรอบ ยื่นสมัครหลายโครงการในแต่ละรอบ และสอบหลายวิชามากขึ้น ผู้สมัครก็จะต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงขึ้นตามไปด้วย

ตัวอย่างเช่น นางสาวเจนมีฐานะปานกลาง ต้องการเรียนคณะเศรษฐศาสตร์ จึงยื่นคะแนนสมัครในรอบที่ 3 และรอบที่ 4 ซึ่งเป็นรอบพื้นฐานที่ทุกคนมีสิทธิ์สมัครได้  หากเจนยื่นสมัครเต็มจำนวน คือ 4 โครงการ เธอจะต้องเสียค่าสมัครในรอบที่ 3 เท่ากับ 900 บาท และค่าสมัครในรอบที่ 4 เท่ากับ 250 บาท รวมเป็นเงิน 1,150 บาท และยังต้องเสียค่าสอบข้อสอบกลางอีก 920 บาท รวมเป็นเงิน 2,070 บาท  แต่หากเจนมีฐานะไม่ดีนัก ไม่สามารถเสียค่าสมัครและค่าสอบเป็นเงินสองพันกว่าบาทได้ เธออาจจะต้องลดค่าใช้จ่ายในการสมัครโดยการเลือกยื่นคะแนนรอบ 3 หรือรอบ 4 เพียงรอบเดียว หรืออาจต้องลดจำนวนโครงการที่ยื่นสมัครในแต่ละรอบลง ซึ่งก็จะทำให้มีโอกาสได้ที่เรียนน้อยลงเช่นกัน  ในกรณีนี้ หากเจนยื่นคะแนนในรอบ 4 เพียงรอบเดียวและสมัครทั้งหมด 4 โครงการตามเดิม ค่าใช้จ่ายในการสมัครจะลดลงจาก 1,150 บาท เหลือเพียง 250 บาทเท่านั้น เนื่องจากค่าสมัครรอบ 3 ค่อนข้างสูงมากนั่นเอง

ทั้งนี้ ค่าสอบข้อสอบกลางจากตัวอย่างนั้นคิดจากกรณีที่นางสาวเจนสอบเฉพาะวิชาที่ใช้ยื่นคะแนนคณะเศรษฐศาสตร์  หากนางสาวเจนต้องการสมัครโครงการ/คณะที่ต้องใช้คะแนนวิชาอื่นยื่น หรือต้องการสอบวิชาอื่นเผื่อไว้ตามที่ผู้สมัครส่วนใหญ่ทำ ก็จะต้องเสียค่าสอบเพิ่มขึ้นอีก  โดยค่าสอบข้อสอบกลางสูงสุดอยู่ที่ 1,400 บาท สำหรับการสอบทั้งสิ้น 14 วิชา ทำให้ค่าสมัครและค่าสอบสูงสุดที่เป็นไปได้ในการยื่นคะแนนรอบ 3 และรอบ 4 คิดเป็นเงินสูงถึง 2,550 บาท

เห็นได้ชัดว่า ถึงแม้ระบบ TCAS จะช่วยลดความได้เปรียบ-เสียเปรียบของเด็กรวย-จน ที่เกิดจากการวิ่งรอกสอบตรงและการกั๊กที่ไปได้ แต่ปัญหาความเหลื่อมล้ำของโอกาสทางการศึกษาระหว่างเด็กสองกลุ่มดังกล่าวยังคงมีอยู่  เนื่องด้วยค่าสมัครและค่าสอบที่ค่อนข้างสูง จึงทำให้เด็กรวยซึ่งมีทุนทรัพย์ในการสมัครหลายโครงการ สมัครหลายรอบ และสอบหลายวิชามากกว่า มีโอกาสได้ที่เรียนมากกว่าเด็กที่มีฐานะไม่ดีนั่นเอง

ข้อสังเกตที่ 2: รอบ Portfolio เพิ่มโอกาสให้ใคร?

เมื่อพิจารณาเงื่อนไขที่แต่ละโครงการ/คณะกำหนดสำหรับการสมัครรอบ Portfolio พบว่า โครงการส่วนใหญ่จะรับเฉพาะผู้มีความสามารถทางวิชาการดีเด่น เช่น มีเกรดเฉลี่ยสูงถึงเกณฑ์ที่กำหนด เป็นเด็กโครงการโอลิมปิกส์วิชาการ หรือเป็นเด็กที่เคยผ่านการแข่งขันทางวิชาการ เป็นต้น  การเพิ่มรอบสมัคร Portfolio ขึ้นมาเป็นรอบแรกนั้น จึงไม่ได้เป็นการเพิ่มโอกาสให้เด็กทั่วไปอย่างเท่าเทียมกัน แต่เป็นการเพิ่มโอกาสให้เด็กเก่งยื่นสมัครได้มากรอบกว่า และเป็นการเพิ่มโอกาสให้แต่ละมหาวิทยาลัยได้เด็กที่มีคุณภาพตามที่ตนเองต้องการ ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้หากมองจากมุมของมหาวิทยาลัย (ไม่ได้หมายความว่าผู้เขียนเห็นด้วย) เพราะแต่ละโครงการ/คณะก็ล้วนอยากได้ “เด็กครีม” ทั้งสิ้น[5]

ปัญหาสำคัญที่ตามมาจากการเปิดรอบ Portfolio ก็คือ บางโครงการไม่ได้ตั้งเงื่อนไขเพื่อรับสมัครเด็กเก่งอย่างแท้จริง แต่กลับเอื้อให้เด็กรวยมีโอกาสได้ที่เรียนมากกว่าเด็กที่มีฐานะปานกลาง เห็นได้จากการรับเด็กที่มีความสามารถพิเศษด้านภาษาอังกฤษโดยใช้เกณฑ์คะแนน IELTS หรือ TOEFL ที่ค่อนข้างต่ำ  บางโครงการกำหนดให้ผู้สมัครต้องมีคะแนน IELTS ขั้นต่ำเพียงแบนด์ 5 หรือ TOEFL iBT ขั้นต่ำที่ 53 คะแนน ซึ่งถือว่าเป็นผู้ใช้ภาษาอังกฤษในระดับพอใช้ (modest user) เท่านั้น คือสามารถใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารได้บ้าง แต่ยังคงมีข้อผิดพลาดบ่อยครั้ง และไม่สามารถใช้ภาษาที่ซับซ้อนได้ดีนัก

การกำหนดคุณสมบัติผู้สมัครรอบ Portfolio ในลักษณะนี้ ถือเป็นการปิดโอกาสเด็กที่ฐานะไม่ดีนักพร้อมกับสร้างความได้เปรียบให้เด็กฐานะดี เพราะค่าสมัครสอบ IELTS และ TOEFL แต่ละครั้งนั้นสูงกว่า 5,000 บาท ไม่นับค่าเรียนกวดวิชาสำหรับทำข้อสอบเหล่านี้โดยเฉพาะ ซึ่งหลายแห่งคิดราคาหลักหมื่นบาท[6]  ดังนั้น สำหรับบางโครงการ ต่อให้เด็กมีความสามารถด้านภาษาอังกฤษมากแค่ไหน หากไม่มีทุนสอบ IELTS หรือ TOEFL ก็ไม่สามารถยื่นสมัครรอบ Portfolio ได้  ในทางกลับกัน เด็กที่ไม่เก่งภาษาอังกฤษมากนัก แต่มีทุนเรียนกวดวิชาและสมัครสอบภาษาอังกฤษ ก็จะมีโอกาสสมัครในรอบ Portfolio ได้ อีกทั้งยังอาจมีโอกาสสอบติดมากกว่า เพราะคู่แข่งในรอบ Portfolio มีจำนวนไม่มากเมื่อเทียบกับรอบ 3 และรอบ 4 นั่นเอง

ข้อสังเกตที่ 3: เลื่อนและลดสอบ GAT-PAT ทำให้เด็กเข้าห้องเรียนจนจบชั้นจริงหรือ?

ในระบบ TCAS นั้น เด็กต้องสอบ GAT-PAT ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ และต้องสอบ 9 วิชาสามัญในช่วงกลางเดือนมีนาคม ซึ่งหมายความว่าเด็กต้องสอบข้อสอบกลางแทบจะทันทีหลังปิดภาคเรียน โดยต้องสอบทั้ง GAT, PAT และ 9 วิชาสามัญภายในระยะเวลาเพียง 3 สัปดาห์ ทั้งยังมีโอกาสสอบเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

กำหนดการสอบข้อสอบกลางดังกล่าวนำไปสู่คำถามว่า การเลื่อนสอบและลดจำนวนจัดสอบ GAT-PAT เหลือเพียงครั้งเดียว จะทำให้เด็กเข้าห้องเรียนจนจบชั้น ม.6 จริงหรือไม่  เพราะภายใต้กรอบเวลานี้ เด็กจะต้องเตรียมความพร้อมทั้งด้านวิชาการและจิตใจเป็นอย่างดี เด็กส่วนมากจึงน่าจะทำความเข้าใจเนื้อหาทั้งหมดด้วยตนเองก่อนที่โรงเรียนจะสอนจบ ในขณะที่เด็กซึ่งรอเรียนเนื้อหาในห้องเรียนจนจบก็น่าจะมีจำนวนน้อยมากเช่นกัน โดยเฉพาะช่วงก่อนปิดภาคเรียนที่ 2 ซึ่งเป็นช่วงก่อนสอบ GAT-PAT นั้น ยิ่งมีความเป็นไปได้มากว่าเด็กจะไม่เข้าห้องเรียน แต่หันไปใช้เวลานอกห้องเรียนเพื่อทบทวนเนื้อหาด้วยตนเองแทน  ด้วยเหตุนี้ ภายใต้ระบบ TCAS ปัญหาการไม่เข้าเรียนจนจบชั้นของเด็กจึงน่าจะยังมีอยู่เช่นเดียวกับระบบ Admissions ทั้งยังอาจทำให้เด็กต้องเผชิญกับความเครียดและความกดดันมากขึ้นอีกด้วย

คำถามที่ ทปอ. ควรพิจารณาในการแก้ปัญหาดังกล่าวก็คือ สาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เด็กไม่เข้าห้องเรียนคืออะไร  หากเป็นเพราะโรงเรียนไม่สามารถสอนเนื้อหาทั้งหมดได้จบก่อนสอบข้อสอบกลาง  ทปอ. ก็ควรหาวิธีให้โรงเรียนสามารถสอนเนื้อหาทั้งหมดได้โดยมีเวลาให้เด็กทบทวนวิชาก่อนสอบด้วย  แต่หากคำตอบคือคุณภาพการศึกษาในห้องเรียนที่ด้อยกว่าการเรียนกวดวิชาหรือการศึกษาด้วยตนเอง การเลื่อนสอบก็คงไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ตรงจุดนัก

 

ข้อสังเกตที่ 4: รับตรงร่วมกันทำให้ทั้งคณะและเด็กปั่นป่วน

 

ในการสมัครรอบรับตรงร่วมกัน หรือรอบที่ 3 ทปอ. ระบุให้ผู้สมัครเลือกโครงการ/คณะแบบไม่มีลำดับ โดยผู้สอบติดสามารถเลือกโครงการ/คณะที่ต้องการเรียนได้หลังจากมีการประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบสัมภาษณ์แล้ว ทำให้โครงการ/คณะไม่รู้เลยว่าสุดท้ายแล้วจะมีเด็กจากรอบรับตรงร่วมกัน ตอบรับเข้ามาเรียนมากน้อยเพียงใด

จากเหตุผลดังกล่าว โครงการ/คณะจึงต้องประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบสัมภาษณ์เกินจำนวนที่จะรับจริง เผื่อกรณีที่เด็กจะไม่เลือกเข้าเรียน โดยไม่สามารถประกาศรายชื่อ “ผู้สอบติดสำรอง” ได้เหมือนการสอบตรงในระบบ Admissions ทำให้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่โครงการ/คณะจะสามารถคาดเดาจำนวนผู้เข้าเรียนได้ถูกต้องตามความเป็นจริง  ผลกระทบสำคัญที่ตามมาก็คือ ความยุ่งยากและในการบริหารจัดการทรัพยากร ซึ่งอาจนำไปสู่การเรียนการสอนที่ไม่ได้ประสิทธิภาพตามที่ควรจะเป็น

ยกตัวอย่างเช่น หากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย A ตั้งเป้าว่าจะรับนักศึกษาจากรอบรับตรงร่วมกันเป็นจำนวน 300 คน  คณะอาจจะต้องประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบสัมภาษณ์เป็นจำนวน 450 คน เผื่อเด็กที่จะไม่เลือกเข้าเรียน  หากมีผู้ตอบรับจำนวนสูงกว่า 300 คนมาก อาจเกิดปัญหาในการจัดการเรียนการสอนสำหรับนักศึกษาที่มีจำนวนมากเกินศักยภาพของคณะ (อาจเกิดกับคณะยอดนิยม เช่น แพทยศาสตร์ หรือวิศวกรรมศาสตร์) หรือหากผู้ตอบรับมีจำนวนต่ำกว่า 300 คนมาก ก็อาจทำให้คณะขาดเงินทุนในการดำเนินงานได้ (อาจเกิดกับคณะที่ไม่เป็นที่นิยมมากนัก) ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าคณะจะมีโอกาสรับเด็กเพิ่มในรอบ Admissions ซึ่งเป็นรอบที่ 4 แต่โดยส่วนมาก โครงการต่างๆ ล้วนประกาศจำนวนเด็กที่จะรับในแต่ละรอบไว้ก่อนแล้ว การเปลี่ยนแปลงจำนวนรับในรอบที่ 4 จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

นอกจากความปั่นป่วนต่อมหาวิทยาลัยแล้ว รอบรับตรงร่วมกันยังสร้างความปั่นป่วนต่อผู้สมัครอีกด้วย  การให้ผู้สมัครเลือกโครงการ/คณะแบบไม่มีอันดับ จะทำให้เด็กที่มีคะแนนสูงสอบติดในทุกคณะที่ตนเองเลือก รวมไปถึงคณะที่ตนเองเลือกเผื่อด้วย  ผลที่ตามมาก็คือ ผู้สมัครที่มีคะแนนในระดับกลางๆ อาจมีโอกาสสอบติดในคณะที่คะแนนไม่สูงมากน้อยลง

สมมุติให้คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย A เป็นคณะที่คะแนนสอบเข้าไม่สูงมากนัก คณะนี้ก็อาจจะเป็น “Safe choice” หรือตัวเลือกที่ปลอดภัยสำหรับผู้สมัครที่คะแนนสูงซึ่งตั้งใจจะเรียนที่คณะอื่น เช่น คณะแพทยศาสตร์ หรือคณะวิศวกรรมศาสตร์  เมื่อคณะคัดเลือกผู้สมัครจากคะแนนเท่านั้น เด็กคะแนนสูงกลุ่มนี้จึงกลายเป็นคนส่วนมากที่มีสิทธิ์สอบสัมภาษณ์ ซึ่งนอกจากจะทำให้คณะมีโอกาสขาดเงินทุนเนื่องจากมีนักศึกษาเข้าเรียนน้อยกว่าคาดแล้ว ยังเป็นการ ‘เบียดที่’ ผู้สมัครที่มีคะแนนระดับกลางด้วย กล่าวคือ ผู้สมัครกลุ่มนี้อาจสอบไม่ติดในระบบที่ไม่มีการเลือกลำดับโครงการ ทั้งที่อาจจะสอบติดได้ในระบบที่มีการเลือกลำดับ หรือระบบที่มีรายชื่อตัวสำรอง

 

TCAS: เรือใหม่ในอ่างเดิม?

 

ข้อสังเกตทั้งสี่ประการดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า ระบบ TCAS อาจไม่ได้แก้ปัญหาความได้เปรียบ-เสียเปรียบระหว่างเด็กรวย-จน และปัญหาการไม่เข้าเรียนจนจบการศึกษาได้ดีตามที่ ทปอ. ตั้งใจ  ยิ่งไปกว่านั้น หากย้อนกลับไปดูการเปลี่ยนแปลงระบบการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในระดับอุดมศึกษาที่ผ่านมา จะเห็นได้ชัดเจนว่า TCAS กลับเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ระบบการคัดเลือกนักศึกษาของไทยวนเวียนกลับไปกลับมาในอ่างเดิมไม่รู้จบ

เริ่มตั้งแต่การเปลี่ยนจากการสอบ Entrance เพียงครั้งเดียวมาเป็นการสอบสองครั้งในปีการศึกษา 2543 – 2548 โดยให้เหตุผลว่าการสอบสองครั้งจะช่วยลดความกดดัน เพราะเด็กมีโอกาสพัฒนาตนเองและเลือกคะแนนที่ดีที่สุดมาใช้ได้  แต่เนื่องจากระบบ Entrance มีข้อเสียคือทำให้เด็กกวดวิชาเกินความจำเป็น  ในปีการศึกษา 2549 – 2552 จึงได้เปลี่ยนไปเป็นระบบ Admissions แบบแรกซึ่งใช้คะแนน O-NET และ A-NET แทน

หลังจากนั้น ระบบ Admissions แบบ 2 ที่ใช้คะแนน GAT-PAT ร่วมกับ O-NET ก็ถูกนำมาใช้ในปีการศึกษา 2553 – 2560 ด้วยเหตุผลว่าการสอบ A-NET เพียงครั้งเดียวทำให้เด็กที่พลาดพลั้งไม่มีโอกาสแก้ตัว แต่ท้ายที่สุดแล้ว TCAS ก็กลับมาจัดสอบข้อสอบกลางเพียงครั้งเดียว ต้องสอบข้อสอบหลายชนิด ทั้งยังมีปัญหาการเบียดที่กันอีกด้วย

ในเมื่อระบบ TCAS ยังคงสร้างภาระและต้นทุนทางการเงินและทางสุขภาพให้กับเด็ก ทั้งจากการสอบมากครั้ง การเรียนกวดวิชา การหาข้อมูลและเตรียมความพร้อมสำหรับระบบรับสมัครที่เปลี่ยนแปลงไปมา ตลอดจนความไม่เท่าเทียมของโอกาสในการเข้าศึกษา  การเปลี่ยนระบบจาก Admissions มาสู่ TCAS จึงอาจไม่ใช่หนทางในการแก้ปัญหาสำคัญของระบบรับนักศึกษาที่มีมาตั้งแต่เมื่อ 20 ปีก่อน ซึ่งก็คือภาระการเตรียมตัวสอบอันหนักหน่วงของเด็ก ทั้งที่การสอบนั้นก็ไม่อาจชี้วัดความสามารถและความเหมาะสมของเด็กในการเข้าศึกษาในแต่ละโครงการได้ดีแต่อย่างใด

[/et_pb_text][et_pb_text _builder_version=”3.0.106″ background_layout=”light” background_color=”#eaeaea”]

ผู้สนใจปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา สามารถเข้าร่วมงานสัมมนาในหัวข้อ “หนึ่งความยินดีในร้อยความเศร้า: พิเคราะห์ความเหลื่อมล้ำในการศึกษาไทย” โดยศูนย์วิจัยความเหลื่อมล้ำและนโยบายสังคม (Center of Research on Inequality and Social Policy: CRISP) คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ ในวันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน 2561 เวลา 13.30 น. ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์  วิทยากรนำโดย ผศ.ดร.เฉลิมพงษ์ คงเจริญ  ดร.ภูมิศรัณย์ ทองเลี่ยมนาค และ ดร.ดิลกะ ลัทธพิพัฒน์

[/et_pb_text][et_pb_text _builder_version=”3.0.106″ background_layout=”light”]

เชิงอรรถ

[1] ภายใต้ระบบเดิม คณะ/มหาวิทยาลัยส่วนหนึ่งใช้วิธีการ ‘รับตรง’  คือเปิดรับสมัครนักศึกษาเอง โดยแยกจากระบบ Admissions กลาง ซึ่งการรับตรงนี้มักจะเปิดรับสมัครและประกาศผลก่อนที่ผู้สมัครจะเรียนจบชั้น ม.6 จึงส่งผลให้นักเรียนจำนวนหนึ่งที่สอบติดโครงการรับตรงแล้ว ไม่มาเข้าห้องเรียน

[2] O-NET หรือ Ordinary National Education Test คือการทดสอบวัดผลการศึกษาขั้นพื้นฐานในระดับชาติ ซึ่งจัดโดยสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ หรือ สทศ. เพื่อใช้เป็นตัวชี้วัดคุณภาพทางการศึกษาของโรงเรียนและนักเรียน โดยสำหรับนักเรียนชั้น ม.6 นั้น ต้องสอบทั้งสิ้น 5 วิชา ได้แก่ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม (นับเป็น 1 วิชา) คณิศศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย และวิทยาศาสตร์ และมีการจัดสอบเพียงปีละครั้งเท่านั้น

[3] GAT หรือ General Aptitude Test เป็นการสอบวัดความถนัดทั่วไป เช่น ความสามารถในการอ่าน คิด วิเคราะห์ ส่วน PAT หรือ Professional Aptitude Test เป็นการสอบวัดความถนัดทางวิชาชีพและวิชาการ มีข้อสอบทั้งหมด 7 วิชา เช่น ความถนัดทางคณิตศาสตร์ ความถนัดทางวิทยาศาสตร์ และความถนัดทางวิศวกรรมศาสตร์ เป็นต้น  โดยมี สทศ. เป็นผู้จัดสอบปีละ 2 ครั้ง (ลดเหลือเพียง 1 ครั้งสำหรับ TCAS ปี 2561) ทั้งนี้ สัดส่วนคะแนนของ GAT-PAT ที่นำมาใช้คำนวณสำหรับการ Admissions นั้น จะแตกต่างกันไปตามคณะที่สมัคร

[4] ยกตัวอย่างเช่น นางสาวเจน สอบติดรอบรับตรงคณะเศรษฐศาสตร์ ทั้งมหาวิทยาลัย A, มหาวิทยาลัย B, และมหาวิทยาลัย C โดยคณะเศรษฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัย C ไม่ได้อยู่ในระบบ Clearing house   นางสาวเจนสามารถยืนยันสิทธิ์การเข้าเรียนในคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย A ผ่านระบบ Clearing house ได้ โดยจะถูกตัดสิทธิ์จากคณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัย B และการ Admissions  แต่จะไม่ถูกตัดสิทธิ์จากคณะเศรษฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัย C

[5] คำถามที่ว่าเด็กซึ่งมีความสามารถทางวิชาการดีเด่นควรได้โอกาสในการสมัครมากกว่าผู้อื่นหรือไม่นั้น อยู่นอกขอบเขตของงานชิ้นนี้ อย่างไรก็ตาม ประเด็นดังกล่าวก็มีความสำคัญ และควรได้รับการถกเถียงและพิจารณาโดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างรอบด้าน เพื่อให้การรับสมัครเข้าศึกษามีความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายมากที่สุด

[6] บางโครงการอนุญาตให้ใช้คะแนน CU-TEP ยื่นได้ โดยค่าใช้จ่ายในการสมัครสอบอยู่ที่ 900 บาท

[/et_pb_text][/et_pb_column][/et_pb_row][/et_pb_section]

MOST READ

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

Social Issues

21 Nov 2018

เมื่อโรคซึมเศร้าทำให้อยากจากไป

เรื่องราวการรับมือกับความคิด ‘อยากตาย’ ผ่านประสบการณ์ของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า คนเคียงข้าง และบทความจากจิตแพทย์

ศุภาวรรณ คงสุวรรณ์

21 Nov 2018

Social Issues

22 Oct 2018

มิตรภาพยืนยาว แค้นคิดสั้น

จากชาวแก๊งค์สู่คู่อาฆาต ก่อนความแค้นมลายหายกลายเป็นมิตรภาพ คนหนุ่มเลือดร้อนผ่านอดีตระทมมาแบบไหน ‘บ้านกาญจนาฯ’ เปลี่ยนประตูที่เข้าใกล้ความตายให้เป็นประตูสู่ชีวิตที่ดีกว่าได้อย่างไร

ธิติ มีแต้ม

22 Oct 2018

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save