วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร เรื่อง
ผมมีโอกาสไล่เรียงดูหนังสือเศรษฐศาสตร์การเมืองที่เพิ่งตีพิมพ์ใหม่ในโลกภาษาอังกฤษ เพื่อติดตามว่างานแนวนี้กำลังมุ่งไปในทิศทางไหนบ้าง
ด้วยอัตวิสัยส่วนตัว พบว่าเราอาจแบ่งคร่าวๆ ได้เป็น 5 แนวทางที่น่าสนใจ คือ ค้นนักคิดร่วมสมัย–สืบการเคลื่อนไหวของกระบวนทัศน์–หาคำอธิบายอันเจนจัด–ประเมินนโยบายกับการวัด–ส่องอุปสรรคข้องขัดในความจริง
ขอนำมาสรุปแบ่งปันไว้ที่นี้ เผื่อจะเป็นประโยชน์กับนักศึกษาหรือนักวิจัยที่กำลังมองหาหัวข้อค้นคว้าใหม่ๆ และผู้ที่สนใจติดตามความเป็นไปในแวดวงเศรษฐศาสตร์การเมือง
1. ค้นนักคิดร่วมสมัย
ถึงแม้งานศึกษานักคิดระดับโลกจะไม่เคยล้าสมัย แต่ความสนใจส่วนใหญ่มักมุ่งไปที่นักคิดยุคคลาสสิกที่ฝากผลงานไว้เมื่อหลายศตวรรษก่อน ไม่ว่าจะเป็น อดัม สมิธ คาร์ล มาร์กซ์ หรือ ฟรีดริช ไฮเอค
อย่างไรก็ดี ยังมีนักคิดร่วมสมัยอีกจำนวนมากที่สร้างคุณูปการใหม่ๆ ให้กับแวดวงเศรษฐศาสตร์การเมืองและสังคมศาสตร์โดยรวม เช่น ดักกลาส นอร์ธ นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลที่ได้รับการยกย่องเป็นผู้ก่อตั้งสำนักสถาบันใหม่
Institutions, Property Rights, and Economic Growth: The Legacy of Douglass North ออกมาในเวลาใกล้เคียงกับที่นอร์ธจากโลกไปด้วยวัย 95 ปี โดยหนังสือพาเราไปสำรวจเส้นทางความคิดของนอร์ธและกิ่งก้านงานวิชาการที่แตกหน่อออกไป
นอร์ธสนใจศึกษาปัญหาโลกแตกที่ว่าทำไมมีเพียงบางประเทศเท่านั้นที่ร่ำรวย ในขณะที่ประเทศส่วนใหญ่กลับยากจน และเสนอให้ “ปัจจัยทางสถาบัน” หรือกฎกติกาทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ กลับมาเป็นศูนย์กลางคำตอบอีกครั้งในห้วงเวลาที่ผู้คนเริ่มไม่เชื่อมั่นทั้งในกลไกตลาดและรัฐบาล
งานยุคแรกของนอร์ธให้ความสำคัญกับ สิทธิในทรัพย์สิน (property rights) ในฐานะกลไกทางสถาบันที่ทำให้ประเทศตะวันตกเติบโตได้ดีในระยะยาว สำนักสถาบันใหม่ที่นำโดยนอร์ธเริ่มมีอิทธิพลต่อธนาคารโลกและหน่วยงานระหว่างประเทศตั้งแต่กลางทศวรรษ 1990
แต่งานระยะหลังของเขามองสถาบันไปไกลกว่านั้น โดยมองว่าโครงสร้างทางการเมืองและเศรษฐกิจที่แตกต่างกันในแต่ละสังคมเกิดจากรูปแบบเฉพาะตัวที่สังคมนั้นใช้จัดการความรุนแรงที่ปะทุขึ้น หากในหมู่ชนชั้นนำเองไม่สามารถสร้าง rule of law ระหว่างกันได้ก่อน (เลิกฆ่าล้างตระกูลหรือล้มกระดานเวลาไม่พอใจกัน) ก็ยากที่สังคมจะมีกติกาและแรงจูงในการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน
งานของนอร์ธจึงมีวิวัฒนาการหลายระลอก เปิดประเด็นวิจัยใหม่มหาศาล แต่ก็ถูกโต้แย้งและทดสอบด้วยข้อมูลจากหลายประเทศทั่วโลก การศึกษาความคิดของนอร์ธและอนุสนธิจากความคิดของเขาจึงเปี่ยมคุณค่าทั้งในเชิงประวัติศาสตร์ของทฤษฎีและผลกระทบที่เกิดขึ้นในโลกแห่งความจริง
ยังมีนักคิดร่วมสมัยอีกจำนวนมากที่รอให้เราเข้าไปศึกษาค้นคว้าทั้งในแง่ที่มาที่ไป รวมถึงบริบทและสาแหรกแห่งประวัติศาสตร์ที่รายล้อมความคิดชุดนั้น
งานวิชาการที่ไร้ข้อติฉินย่อมตายตามผู้คิดไป งานวิชาการจะมีชีวิต งอกเงย และผลิบานได้ก็ต่อเมื่อถูกนำไปต่อยอดและวิพากษ์วิจารณ์ด้วยมุมมองและข้อเท็จจริงใหม่ๆ
2. สืบการเคลื่อนไหวของกระบวนทัศน์
ความคิดทางวิชาการจำนวนมากไม่ได้ถูกจองจำอยู่บนหอคอยงาช้างเหมือนที่มักถูกปรามาส ดังที่ จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ เคยกล่าวไว้ว่า “ความคิดของนักเศรษฐศาสตร์และนักปรัชญานั้น ไม่ว่าจะถูกหรือผิดก็มีพลังมากกว่าที่คนส่วนใหญ่ตระหนักกัน บรรดานักปฏิบัติที่เชื่อว่าตัวเองไม่ได้รับอิทธิพลจากใครเลยนั้น แท้จริงแล้วก็เป็นทาสความคิดของนักเศรษฐศาสตร์ที่ตายไปแล้ว”
งานศึกษาที่น่าสนใจอีกสายหนึ่งของเศรษฐศาสตร์การเมืองคือการสืบเสาะว่า ความคิดชุดหนึ่งผงาดขึ้นมามีอิทธิพลในสาธารณะได้อย่างไรและนำพาสังคมไปในทิศทางใด
ตัวอย่างเช่น The Institutionalist Movement in American Economics, 1918–1947: Science and Social Control ที่พาเราย้อนเวลากลับไปดูบทบาทของเศรษฐศาสตร์สถาบันที่มีอิทธิพลต่อการเมืองสหรัฐอเมริกาในช่วงระหว่างสงครามโลกทั้งสองครั้ง
ก่อนจะมีเศรษฐศาสตร์สถาบันใหม่ของนอร์ธ สำนักสถาบันถือกำเนิดขึ้นแล้วก่อนหน้าตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 หลายคนขนานนามว่าเป็น “สถาบันเก่า” หรือ “สถาบันแบบดั้งเดิม”
สำนักสถาบันเก่าเห็นว่ามนุษย์มีแรงจูงใจหลายระดับ และได้รับอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมโดยเฉพาะค่านิยม จารีต และกฎระเบียบ นักคิดสายสถาบันรวมตัวกันอย่างแข็งขัน มีเวทีสัมมนาและโครงการวิจัยต่อเนื่อง พวกเขาให้ความสำคัญกับการจัดการทางสังคมอย่างเป็น “วิทยาศาสตร์” เพื่อปรับพฤติกรรมของผู้คน องค์กรธุรกิจ และตลาด
หลายคนคิดว่าเคนส์มีบทบาทสำคัญในการแก้มหาวิกฤตเศรษฐกิจแห่งทศวรรษ 1930 (Great Depression) แต่แท้จริงแล้ว เศรษฐศาสตร์สถาบันเก่าต่างหากที่เป็นแกนกลางในการออกแบบนโยบาย “นิวดีล” ที่ปฏิรูปกฎหมายการเงินและระบบประกันสังคมของสหรัฐฯ ขนานใหญ่
ในขณะที่งานศึกษาสายแรกเน้นที่ตัวนักคิด งานสายที่สองนี้จะมุ่งไปที่ตัวกระบวนทัศน์เป็นหลัก
เราสามารถนำคำถามเดียวกันนี้ไปสืบเสาะแนวคิดอื่นๆ เช่น เศรษฐศาสตร์สำนักออสเตรีย ชุมเพเทอร์ หรือพฤติกรรม ที่ต่างมีทศวรรษของตัวเองในเวทีสาธารณะทั้งสิ้น
น่าสนใจว่าแต่ละแนวคิดเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปอย่างไร ทั้งในระดับโลกและระดับประเทศ
3. หาคำอธิบายอันเจนจัด
แม้งานสายที่หนึ่งและสองจะมีจุดเน้นต่างกัน แต่ก็เป็นการศึกษาเชิงประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ ซึ่งมีจุดเด่นอยู่ที่การแสวงหาหลักฐานรอบด้านและการตีความแบบใหม่
งานสายที่สามจะมีจุดเน้นอยู่ที่การเสนอคำอธิบายที่ดีขึ้นให้กับโจทย์เศรษฐศาสตร์การเมือง เพื่อโต้แย้งข้อเสนอเก่าๆ ที่มีอิทธิพลอยู่ในปัจจุบัน
ตัวอย่างเช่น Deals and Development: The Political Dynamics of Growth Episodes ที่ผู้เขียนเริ่มต้นด้วยข้อสังเกตว่า งานศึกษาการพัฒนาเศรษฐกิจประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่มาผิดทาง เพราะล้วนวางอยู่บนสมมติฐานว่าประเทศเหล่านี้มีการเติบโตที่คงเส้นคงวา (ไม่ว่าจะโตช้าหรือโตเร็วก็ตาม)
แต่ข้อมูลเชิงประจักษ์แสดงให้เห็นว่า ประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่ล้วนเคยมีช่วงเวลาที่เติบโตสูงทั้งสิ้น ปัญหาหลักอยู่ที่ ความผันผวน มากกว่า เพราะไม่สามารถรักษาอัตราการเติบโตให้ต่อเนื่องได้ เราจึงควรแยกคำอธิบายสำหรับช่วงเติบโตกับช่วงถดถอยออกจากกัน เพราะเกิดจากปัจจัยคนละชุด
ผู้เขียนเสนอคำอธิบายชุดใหม่ที่วางอยู่บนตัวแปรหลักสามตัว คือ ดุลยภาพทางการเมือง (political settlement) โครงสร้างการแสวงหากำไรในระบบเศรษฐกิจ (rents space) และ รูปแบบการต่อรองในสังคม (deals space)
หนังสือนำข้อเสนอดังกล่าวไปอธิบายความผันผวนทางเศรษฐกิจในประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบังกลาเทศ อินเดีย รวันดา ไลบีเรีย กานา มาเลเซีย รวมถึงประเทศไทยด้วย
นี่เป็นข้อเสนอที่ซับซ้อนกว่างานเศรษฐศาสตร์ในอดีตที่เคยชู เงินทุน เทคโนโลยี การศึกษา หรือนวัตกรรม ให้เป็น “ซูเปอร์ฮีโร่” ที่จะพาประเทศยากจนก้าวกระโดดไปสู่ความร่ำรวย
วิธีคิดที่ลดทอนความจริงและทิ้งปัจจัยการเมืองไว้เบื้องหลังค่อยๆ หมดพลังไป แต่ทฤษฎีใหม่นี้จะเป็นจริงและทรงพลังได้เพียงไหนก็ยังต้องรอเวลาพิสูจน์ตัวเองเช่นกัน
ในฐานะนักเรียนเศรษฐศาสตร์การเมือง ข้อเสนอเช่นนี้สร้างความตื่นเต้นและกระตุ้นให้เราคิดอะไรต่อได้อีกหลายอย่าง
ที่สำคัญที่สุดก็คือ งานสายนี้ชวนเราแสวงหาวิธี
4. ประเมินนโยบายกับการวัด
ในโลกธรรมชาติ ผู้คนจะเชื่อว่าโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์หรือไม่ก็ไม่สำคัญ เพราะโลกก็หมุนเช่นนั้นอยู่ดี
แต่ในโลกเศรษฐกิจ หากผู้คนเปลี่ยนความคิดเมื่อใด โลกเศรษฐกิจย่อมเปลี่ยนตามไปด้วย
หากผู้ฝากเงินเชื่อว่าธนาคารหนึ่งจะล้มละลายแล้วแห่กันไปถอนเงิน ธนาคารนั้นย่อมล้มละลายในที่สุด แม้ว่าความเชื่อแรกจะเป็นเท็จก็ตาม
ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีทฤษฏีเศรษฐศาสตร์ใดที่เป็นสัจนิรันดร์ เพราะมนุษย์ไม่ใช่โมเลกุล และสังคมไม่เคยหยุดนิ่ง นโยบายที่เคยได้ผลในสังคมหนึ่ง ณ เวลาหนึ่ง จึงอาจล้มเหลวหรือก่อหายนะได้เมื่อเวลาเปลี่ยนไป การตรวจสอบและปรับปรุงนโยบายเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องจึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่งยวด
หนังสือเช่น Macroeconomic Paradigms and Economic Policy: From the Great Depression to the Great Recession เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจของงานสายนี้
ผู้เขียนพาเราออกไปท่องโลกเศรษฐกิจมหภาค ผ่านการต่อสู้แพ้ชนะระหว่างนักคิดนักนโยบายสายตลาดเสรีกับสายล้วงลูก ทั้งยังวิพากษ์การวัดและประเมินผลของนโยบายผ่านกรณีศึกษาประเทศต่างๆ
นโยบายที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ต่างเป็นมรดกตกทอดที่ต่อยอดมาจากนักคิดในอดีต เช่น ข้อเสนอเชิงนโยบายของเคนส์ที่เคยใช้ได้เมื่อกลางศตวรรษก่อน ก็ได้รับการปรับปรุงใหม่ให้เป็นสำนัก New Keynesian ที่สนใจการแข่งขันไม่สมบูรณ์ด้านราคาและค่าจ้าง
มาตรการรัดเข็มขัด (austerity) ที่เคยเป็นเครื่องมือหลักในการแก้วิกฤตเศรษฐกิจสูญเสียเครดิตไปมากหลังวิกฤติสินเชื่อซับไพรม์ การกำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อ (inflation targeting) ที่ประเทศกำลังพัฒนาได้รับคำแนะนำให้วางเป็นเป้าหมายหลักเริ่มถูกตั้งคำถามมากขึ้น
เราจึงต้องหมั่นตรวจสอบทั้งในระดับกระบวนทัศน์และรายละเอียดว่า การขาดดุลการคลังหรือเงินเฟ้อระดับใดกันแน่ที่จะเป็นอันตรายต่อประเทศ เมื่อพิจารณาประกอบกับตัวเลขอื่น เช่น การเติบโต การจ้างงาน ผลผลิต หรือการส่งออก
จุดเด่นของหนังสือเล่มนี้อยู่ที่การนำเอาปัจจัยการเมืองเช่น บทบาทของสหภาพแรงงานกับการต่อรองค่าจ้าง เข้ามาใส่ในโมเดลเศรษฐศาสตร์เพื่อพิจารณานโยบายการเงินการคลังที่เหมาะสมด้วย ทั้งบอกเราว่านโยบายแต่ละชุดมีตำแหน่งแห่งที่อย่างไรในบริบทของเศรษฐกิจการเมืองระหว่างประเทศขณะนั้น
นี่เป็นอีกสายธารการศึกษาเศรษฐศาสตร์ที่น่าติดตามเพื่อถอดบทเรียนเชิงนโยบาย
5. ส่องอุปสรรคข้องขัดในความจริง
อย่างไรก็ดี ไม่ว่าทฤษฎีจะแหลมคมหรือนโยบายจะถูกออกแบบอย่างละเอียดละออเพียงใด หนทางจากนโยบายสู่ผลลัพธ์ในสังคมก็ยังแสนไกลอยู่ดี งานเศรษฐศาสตร์การเมืองอีกสายหนึ่งจึงสนใจศึกษาปัญหาในทางปฏิบัติ
Understanding the Policymaking Process in Developing Countries เป็นหนังสือที่มุ่งหาคำตอบให้กับผู้กำหนดนโยบายและนักปฏิบัติ ว่าเหตุใดผลลัพธ์สุดท้ายมักคลาดเคลื่อนไปจากความคาดหวังแรกเริ่ม โดยเฉพาะในหมู่ประเทศกำลังพัฒนา
ผู้เขียนวิเคราะห์ปัญหาหลายระดับ ไล่เรียงมาตั้งแต่ (1) กระบวนการกำหนดนโยบาย (2) เนื้อหาของนโยบาย (3) พฤติกรรมของเจ้าหน้าที่รัฐ (4) แรงจูงใจของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และ (5) ความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงานระดับชาติ–ระดับท้องถิ่น
งานประเมินผลนโยบายอาจมีอยู่แล้วเป็นจำนวนมากและถูกวิเคราะห์ด้วยศาสตร์อันหลากหลาย แต่กรอบเศรษฐศาสตร์การเมืองสามารถช่วยจัดวางประเด็นหลายอย่างให้คมชัดขึ้น
เช่นในหนังสือเล่มนี้ ที่ผู้เขียนไม่ได้มองการแก้ปัญหาสังคมเพียงระดับปัจเจกหรือความดีไม่ดีของนโยบาย แต่ให้ความสำคัญกับองค์ประกอบอื่นเช่น ความเข้ากันได้ทางการเมือง (political compatibility) ระหว่างตัวระบอบกับวิธีคิดเบื้องหลังนโยบาย รวมถึง ข้อจำกัดทางโครงสร้าง (structural constraints) เช่น ระบบราชการและความขัดแย้งในสังคม ที่ล้วนส่งผลต่อความสำเร็จของนโยบายทั้งทางตรงและทางอ้อม
งานสายที่ห้านี้จึงเป็นแนวทางที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่สงสัยว่าเหตุใดนโยบายที่ดีจำนวนมากกลับไม่ได้เปลี่ยนแปลงประเทศให้ก้าวหน้า หรือเหตุใดวิสัยทัศน์ที่สวยหรูบนกระดาษจึงมักเป็นฝันลมแล้ง
แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ เราจะแก้ไขต่อกรกับอุปสรรคเหล่านี้อย่างไร โดยใช้เศรษฐศาสตร์การเมืองเป็นทั้งแว่นตาในการประเมินสถานการณ์ และเป็นอาวุธในการต่อสู้กับปัญหา
ทั้งหมดนี้คือแม่น้ำห้าสายของเศรษฐศาสตร์การเมืองที่น่าจับตา ทั้งเพื่อการไล่กวดองค์ความรู้ใหม่ๆ ในโลกภาษาอังกฤษ และเพื่อนำมาพัฒนาต่อเติมสายธารเศรษฐศาสตร์การเมืองของไทยเองด้วย.
หมายเหตุ/ อ้างอิง
- ตัวอย่างหนังสือข้างต้นเป็นการสุ่มด้วยอัตวิสัยส่วนตัวของผู้เขียนที่สนใจเศรษฐศาสตร์สำนักสถาบันเป็นหลัก ทั้งยังจำกัดในแง่สำนักพิมพ์ ยังมีหนังสืออีกมากของสำนักพิมพ์เช่น Verso, Polity, Anthem, Zed ที่ตีพิมพ์งานน่าสนใจจากหลากหลายกรอบ
- Sebastián Galiani and Itai Sened (eds) Institutions, Property Rights, and Economic Growth: The Legacy of Douglass North. Cambridge University Press, 2014
- Malcolm Rutherford. The Institutionalist Movement in American Economics, 1918–1947: Science and Social Control. Cambridge University Press, 2013
- Lant Pritchett, Kunal Sen, and Eric Werker (eds) Deals and Development: The Political Dynamics of Growth Episodes. Oxford University Press, 2018.
- Acocella, Nicola, Giovanni Di Bartolomeo, and Andrew Hughes Hallett. Macroeconomic Paradigms and Economic Policy: From the Great Depression to the Great Recession. Cambridge University Press, 2016.
- Ascher, William. Understanding the Policymaking Process in Developing Countries. Cambridge University Press, 2017.