คันฉัตร รังษีกาญจน์ส่อง เรื่อง
ภาพิมล หล่อตระกูล ภาพประกอบ
[box]คันฉัตรเป็นคนขี้บ่น คันฉัตรชื่อเล่นชื่อ ‘ต่อ’ เมื่อเขาเริ่มเอ่ยปากบ่น เพื่อนๆ จึงมักแซวว่า “ขอต้อนรับเข้าสู่ช่วง ‘ต่อว่า’ จ้าาา” …เขาจะมาบ่นเรื่องราวรอบตัวเป็นประจำทุกเดือน เริ่มจากเรื่องใกล้ตัวอย่างความทุกข์ในฐานะอาจารย์สอนภาพยนตร์ศึกษา
[/box]ผมเป็นคนที่โดยสารไปไหนมาไหนด้วยการใช้แท็กซี่ครับ ด้วยอาชีพอาจารย์พิเศษก็ทำให้ต้องเดินทางไปมหาวิทยาลัยต่างๆ ราว 40% ของพี่โชเฟอร์ที่พบเจอ เมื่อเลี้ยวรถเข้ามหาวิทยาลัยปุ๊บ แกจะถามทันทีว่า “เป็นอาจารย์เหรอครับ” อาห์…บทสนทนาอันน่าลำบากใจเริ่มต้นอีกแล้วสินะ
ผม : ใช่ครับ
พี่คนขับ : สอนอะไรเหรอน้อง
ผม : สอนภาพยนตร์ครับ
พี่คนขับ : โห สอนทำหนังเหรอ เก๋ไปเลย
ผม : อ่า ไม่ใช่ครับ
พี่คนขับ : อ้าว แล้วสอนอะไรล่ะ
ผม : สอนภาพยนตร์ศึกษาน่ะครับ
พี่คนขับ : อ๋อ เขียนบทไรงี้สินะ
ผม : อ่า ก็ไม่ใช่ครับ
พี่คนขับ : อ้าว แล้วตกลงสอนอะไรกันแน่
ผม : ก็พวกวิจารณ์ วิเคราะห์หนังอะครับ
พี่คนขับ : แล้วตกลงน้องไม่ได้สอนทำหนังเหรอ
ผม : !@#%$$$%&^&%^#
ช่วงหลังมาเพื่อตัดความยุ่งยากผมมักจะตอบไปเลยว่าสอนเขียนบท ซึ่งเอาเข้าจริงแล้วก็ไม่ได้ตรงกับอาชีพตัวเอง ถ้าให้อธิบายอย่างย่นย่อ ภาพยนตร์ศึกษาหรือ Film Studies นั้นว่าด้วยภาพยนตร์ในเชิงวิชาการ วิชาที่ผมสอนจึงเป็นอะไรทำนอง ทฤษฎีภาพยนตร์ ประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ การวิจารณ์ภาพยนตร์ สุนทรียศาสตร์ภาพยนตร์ ฯลฯ
อาชีพอาจารย์โดยทั่วไปจะมี ‘ความทุกข์’ แบบที่คุณผู้อ่านคงเคยได้ยินมา อาทิ นักเรียนคุยกัน ลอกงานมาส่ง งานเอกสารมากมายท่วมหัว ไปจนถึงสงครามการเมืองระหว่างอาจารย์ด้วยกัน แต่สิ่งที่ผมจะมาบอกเล่าวันนี้คือ ‘ความทุกข์เฉพาะตัว’ แบบที่อาจารย์ด้านภาพยนตร์ศึกษาต้องประสบ ซึ่งขอเลือกมาสัก 3 ข้อแล้วกันครับ (แน่นอนว่าที่จริงมีเยอะกว่านี้)
1. ห้องเรียนที่พังได้ทุกเทอม
นอกจากการเล็คเชอร์แล้ว หนึ่งในกิจกรรมหลักของกลุ่มวิชาภาพยนตร์ศึกษาคือการฉายหนังครับ แน่นอนว่าผู้สอนย่อมอยากได้ห้องเรียนที่เหมาะสมกับการฉาย เช่นว่า ห้องมืด แสงไม่เข้า ลำโพงมีคุณภาพ แต่โลกความเป็นจริงมันโหดร้าย ผมมักจะได้ห้องที่มีลักษณะตรงข้ามทั้งหมดที่ว่ามา ทั้งแสงเข้า ลำโพงแตก โปรเจ็คเตอร์สีเพี้ยน ชนิดที่ว่าถ้าผู้กำกับหนังมาเห็นคงอยากจะกัดลิ้นตายตรงนั้น
สาเหตุของความพังเหล่านี้ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน ห้องส่วนใหญ่ถูกออกแบบเป็นห้องเอนกประสงค์ ใช้ได้ในการสอนทุกวิชา ไม่ได้มีการออกแบบสำหรับวิชาทางภาพยนตร์โดยเฉพาะ มีครั้งหนึ่งผมเคยเรียกช่างเทคนิคมาดูว่าจอมันเพี้ยนมีเส้นเขียวๆ ขึ้นมาตรงกลางนะ แต่ช่างกลับตอบกลับด้วยเสียงหงุดหงิดว่า “เอ้า ภาพมันก็ติดนิครับอาจารย์” สรุปคือถ้าฉายภาพไปบนจอแล้วติด ถือเป็นอันใช้ได้
ในเมื่อไม่สามารถเรียกร้องทุกอย่างตามใจต้องการ ผมเลยขอร้องทางคณะไปอย่างเดียวว่า ขอห้องที่มืดและแสงไม่เข้าก็พอ แต่สิ่งที่ได้มามักจะเป็นอะไรแบบนี้…
ถ้าโชคดีหน่อยก็ขอย้ายห้องได้ ถ้าไม่ได้ก็ต้องทนใช้ไปทั้งเทอม เคยถามทางคณะว่าช่วยเอาม่านมาติดได้มั้ย ได้คำตอบว่าต้องทำเรื่องทำงบ บลาๆ สงสัยถ้ารอคงจบเทอมพอดี เลยแก้ปัญหาแบบบ้านๆ ด้วยการเอาม่านไปปิด กลายเป็นต้องคอยพกผ้าดำติดกระเป๋าไว้ (นี่เอ็งเป็นแบทแมนเหรอ)
2. นักศึกษาที่ไม่อินด้วย
สิ่งที่อาจารย์สายภาพยนตร์ศึกษาคาดหวังจากนักเรียนก็คือการเป็นคนชอบดูหนัง ดูแล้วคิดตาม ไม่ใช่เพื่อความบันเทิงอย่างเดียว แต่หลายครั้งที่นักศึกษามาลงไม่ใช่เพราะสนใจในตัววิชาหรือจะมาวิคงวิเคราะห์อะไรกับหนัง บ้างก็เป็นวิชาบังคับในหลักสูตรที่ต้องลงๆ ไปเพื่อให้เรียนจบ หรือถ้าเป็นวิชาเลือกก็เป็นแนวมาลงให้หน่วยกิตครบ (ฮือ)
ปัญหาคือหนังในวิชาภาพยนตร์ศึกษาส่วนใหญ่จะไม่สนุก เป็นหนังที่อยู่ขั้วตรงข้ามกับจักรวาลมาร์เวล เช่น หนังขาวดำยุค 40 หนังทดลองที่ถ่ายท้องฟ้าสองชั่วโมง หรือหนังปาล์มทองของอภิชาติพงศ์ การดูหนังพวกนี้ต้องใช้ความอดทนพอควร บางคลาสก็ดีหน่อยที่เด็กยังตั้งใจดูหนัง แต่บางคลาสก็หลับไปครึ่งห้อง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งก้มหน้าเล่นมือถือกันหมด
วิธีแก้ที่พอจะมีสติปัญญาคิดออกคือฉายหนังง่าย-ยากสลับกันไป บางสัปดาห์อาจจะไม่ต้องอาร์ตมาก เอาแบบฮาแต่มีประเด็นเกี่ยวกับเรื่องที่จะสอน แต่แน่นอนว่าหนังยากๆ บางเรื่องก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะพวกหนัง ‘หลักไมล์’ (เช่น การจะไม่พูดถึงหนังแบบ 2001: A Space Odyssey คงเป็นเรื่องบาปมหันต์) เคสนี้ต้องชักแม่น้ำทั้งห้ามาอธิบายให้นักศึกษาฟังว่าทำไมหนังเรื่องนี้ต้องดู สำคัญยังไง ทำไมได้ปาล์มทองคำ หรือไอ้ที่เขาถ่ายท้องฟ้าสองชั่วโมงเนี่ยเขาทำไปทำไม
3. ความขัดแย้งในตัวเองของหลักสูตร
อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าวิชาที่ผมรับผิดชอบจะเน้นด้านวิชาการของภาพยนตร์ แต่วันดีคืนดีหัวหน้าภาคหรืออาจารย์ท่านอื่นๆ อาจจะมากระซิบว่า “อาจารย์สั่งให้เด็กทำหนังด้วยสิ” สมัยเป็นอาจารย์ใหม่ๆ ก็งงไปเลยว่า อ้าว เรื่องพวกนี้น่าจะเป็นของอาจารย์สอนทำหนัง (Film Production) นี่นา
ภายหลังมารู้ว่าทางคณะอยากให้นักศึกษาทำหนังก็เพื่อส่งประกวดจนสร้างชื่อเสียงกับมหาวิทยาลัย เพราะ ‘ผลงาน’ ของวิชาสายภาพยนตร์ศึกษาจะเป็นบทวิจารณ์หรือบทความวิชาการ ซึ่งบ้านเราไม่ค่อยมีเวทีให้ปล่อยของนัก ต่างจากโครงการประกวดหนังสั้นที่มีนับไม่ถ้วน อาทิ หนังสั้นต้านการสูบบุหรี่ สร้างความเข้าใจเรื่องโรคซึมเศร้า ไปจนถึงคลิปโปรโมทร้านปิ้งย่าง
ทั้งนี้ไม่ใช่ว่าเวลามาเรียนภาพยนตร์ศึกษาจะต้องเอาแต่ ดู ดู ดู หนังลูกเดียว จนห้ามทำหนังนะครับ แต่ผมมักบอกกับนักศึกษาว่าถ้าอยากทำหนังก็ทำเลยสิ ไม่ต้องรอให้อาจารย์สั่งหรอก แต่เพื่อประนีประนอมกับทางคณะ ผมเลยใช้วิธีให้นักศึกษาเลือกส่งงานได้สองแบบ คือส่งเป็นเปเปอร์หรือหนังสั้น เพราะนักศึกษาบางคนไม่ได้อยากทำหนัง จะบังคับให้ทุกคนทำก็ใช่เรื่อง
แต่เอาจริงแล้ว วิชาภาพยนตร์ศึกษาก็มีจุดอ่อนตรงที่ไม่ตอบสนองตลาดแรงงานของไทยเท่าไร ประเทศนี้ไม่ได้ต้องการนักวิชาการทางภาพยนตร์หรอกครับ ผมเองบอกนักศึกษาอยู่เสมอว่าอย่าได้ริจะเป็นนักวิจารณ์หนังเชียว เงินมันแสนจะน้อยนิด ส่วนพวกเพจหนังก็เริ่มเฝือแล้ว ถึงอย่างไรงานประเภทใช้ ‘สกิล’ ก็ยังเป็นที่ต้องการอยู่ดี ไม่ว่าจะตากล้อง ตัดต่อ ฝ่ายสถานที่ เสื้อผ้า หรือที่มาแรงในช่วงนี้คือ ‘นักทำวิดีโอ’ อย่างที่เห็นว่าทุกสำนักข่าวนำเสนอด้วยวิดีโอกันหมด