กลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาเกิดเรื่องสะเทือนขวัญนักลงทุนทั่วโลก เมื่อธนาคารกลางสหรัฐฯ มีมติเกือบเป็นเอกฉันท์ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.75 เปอร์เซ็นต์ นับเป็นการปรับขึ้นแบบก้าวกระโดดและนับว่าสูงที่สุดในรอบ 28 ปี แต่ฝันร้ายอาจยังไม่จบเท่านี้ เพราะกว่าจะถึงสิ้นปีอาจมีการปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มไปจนถึงระดับ 3.4 เปอร์เซ็นต์ หรือราว 2 เท่าตัวเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบัน โดยมีเป้าหมายเพื่อปรามอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นอย่างน่ากังวล
อ่านถึงตรงนี้หลายคนอาจอดไม่ได้ที่จะเบะปากพลางสงสัยว่าชีวิตเราจะไปข้องเกี่ยวอะไรกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของประเทศในอีกซีกโลกหนึ่ง แต่ทราบไหมครับว่าถึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ จะเป็นเรื่องที่ดูไกลตัว ความเป็นจริงแล้ว อาจสั่นคลอนความมั่นคงทางการเงินของประเทศกำลังพัฒนา อีกทั้งยังเป็นการสุมเชื้อไฟให้เงินเฟ้อในต่างประเทศรวมถึงไทยทวีความรุนแรงขึ้นอีกด้วย
นี่คือผลกระทบที่น้อยคนจะนึกถึงโดยมีสาเหตุสำคัญคือการที่ดอลลาร์สหรัฐเป็นสกุลเงินหลักของโลกนั่นเอง
สงครามค่าเงินแบบกลับด้าน
เมื่อทุกประเทศแข่งขันกันแข็งค่า
หลายคนอาจคุ้นเคยกับคำว่า ‘สงครามค่าเงิน’ (currency war) ซึ่งหมายถึงแทรกแซงค่าเงินของตนเองให้อ่อนค่ากว่าความเป็นจริงเพื่อให้สินค้าส่งออก ‘ราคาถูก’ กว่าที่ควรจะเป็นโดยมีเป้าหมายเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดในต่างแดน แต่สถานการณ์ในปัจจุบันนั้นกลับกัน เพราะเรากำลังเผชิญ ‘สงครามค่าเงินแบบกลับด้าน’ (reverse currency wars) โดยแต่ละประเทศพยายามทำให้เงินของตนเอง ‘แข็งค่า’ เพื่อลดผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อ
‘อัตราดอกเบี้ย’ คือผลตอบแทนจากการถือเงินสกุลใดสกุลหนึ่ง การเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายจึงเป็นวิธีการชั้นยอดที่จะสร้างอุปสงค์ต่อสกุลเงิน หากมองเงินตราเป็นสินค้า เมื่อมีความต้องการซื้อล้นเหลือ มูลค่าก็จะปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งก็คือเงินแข็งค่าขึ้นนั่นเอง
การขยับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ แบบก้าวกระโดดย่อมทำให้เงินสกุลดอลลาร์ ซึ่งนักลงทุนจำนวนมากมองว่ามั่นคง กลายเป็นหลุมหลบภัยชั้นเยี่ยมในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูงเช่นในปัจจุบัน เม็ดเงินที่เคยกระจายตัวอยู่ทั่วทุกมุมโลกอาจไหลกลับไปอยู่ในรูปสกุลดอลลาร์สหรัฐ ผลักให้เกิดการแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว
ตลอด 1 ปีที่ผ่านมาเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นราว 13 เปอร์เซ็นต์ เมื่อธนาคารกลางสหรัฐฯ ส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเพื่อปรามเงินเฟ้อ เงินสกุลดอลลาร์ก็มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในทางกลับกัน ประเทศอื่นที่ไม่ได้ใช้ดอลลาร์สหรัฐเป็นเงินสกุลหลักก็เผชิญภาวะอ่อนค่าอย่างรวดเร็วและรุนแรงเช่นกัน สำหรับประเทศไทยเอง อัตราแลกเปลี่ยนเมื่อเดือนมิถุนายนปีก่อนหน้าอยู่ที่ประมาณ 31 บาทต่อดอลลาร์ แต่ปัจจุบันขยับมาสูงถึง 35 บาทต่อหนึ่งดอลลาร์
มองเผินๆ การขยับขึ้นดังกล่าวดูเป็นเรื่องไกลตัว เพราะเราแทบไม่ได้หยิบจับเงินดอลลาร์สหรัฐในชีวิตประจำวัน แต่ทราบไหมครับว่าสินค้าโภคภัณฑ์ อาทิ น้ำมันดิบและสารพัดสินค้าเกษตร ต่างก็อิงราคาที่ใช้สกุลดอลลาร์สหรัฐอ้างอิง นั่นหมายความว่าราคาของสินค้าโภคภัณฑ์เหล่านี้จะขยับขึ้น เมื่อเงินบาทอ่อนค่าลง แม้ว่าราคาในตลาดโลกจะคงที่ก็ตาม

ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย
ตัวอย่างเช่น ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกคงตัวที่ 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล แต่เงินบาทขยับจาก 31 เป็น 34 บาทต่อดอลลาร์ ทำให้ต้นทุนของผู้นำเข้าเพิ่มขึ้นจาก 3,100 บาทเป็น 3,400 บาทต่อบาร์เรล หรือเพิ่มขึ้นมากกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ ในภาวะปัจจุบันที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ขยับขึ้นต่อเนื่อง การแข็งค่าของสกุลดอลลาร์สหรัฐจึงไม่ต่างจากการ ‘กระทืบซ้ำ’ ให้ภาวะเงินเฟ้อทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นในประเทศที่ไม่ได้ใช้เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐเป็นเงินสกุลหลัก
ในโลกการค้าเสรี เรามีทางเลือกไม่มากนักที่จะพยุงสกุลเงินไม่ให้อ่อนค่าลงในสถานการณ์เช่นนี้ โดยหนึ่งในวิธียอดนิยมคือการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จึงไม่น่าแปลกใจนักที่หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกาศขึ้นดอกเบี้ยแบบก้าวกระโดด ธนาคารกลางของประเทศอังกฤษ สวิตเซอร์แลนด์ ออสเตรเลีย และแคนาดา ก็ประกาศขึ้นดอกเบี้ยตามแทบจะทันทีเพื่อป้องกันเงินทุนไหลออกและเงินอ่อนค่า แต่การตัดสินใจดังกล่าวก็มีราคาที่ต้องจ่าย นั่นคือเสถียรภาพทางการเงินที่อาจสั่นคลอนเพราะอัตราดอกเบี้ยที่ขยับขึ้นนั่นเอง
เสถียรภาพทางการเงินที่สั่นคลอน
สภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันนับว่าไม่สดใสนัก แม้หลายประเทศจะถือว่าผ่านจุดที่เลวร้ายที่สุดของวิกฤตโควิด-19 มาได้แล้ว แต่การฟื้นตัวจากภาวะเศรษฐกิจซบเซาที่ต่อเนื่องยาวนานกว่า 2 ปีก็จำเป็นต้องใช้เวลา ผนวกกับตัวเลขหนี้เอกชนและหนี้สาธารณะที่บวมเป่ง หลายประเทศรวมถึงไทยจึงใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่งในการพิจารณาขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพราะการขยับอย่างไม่รอบคอบอาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤตการผิดนัดชำระหนี้ที่พาเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยยาวนาน
หลังจากธนาคารกลางสหรัฐขยับ ก็มีแนวโน้มว่าธนาคารกลางทั่วโลกจะขยับตาม เพราะหากนิ่งเฉยก็จะส่งผลให้สกุลเงินอ่อนค่าและซ้ำเติมภาวะเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับหายนะอยู่แล้วให้เลวร้ายลงไปอีก
สิ่งที่น่ากังวลที่สุดจากการขยับดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ คือหนี้ภาครัฐของประเทศกำลังพัฒนาซึ่งมีมูลค่ามหาศาล เนื่องจากรัฐบาลเหล่านั้นต้องการเงินก้อนใหญ่ไปใช้รับมือการระบาดของโควิด-19 โดยหนี้สินจำนวนหนึ่งเป็นการระดมเงินจากนอกประเทศในรูปดอลลาร์สหรัฐ อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นย่อมสร้างแรงกดดันทางการเงินต่อประเทศเหล่านั้นซึ่งอยู่ในภาวะง่อนแง่นอยู่แล้วเป็นทุนเดิม และอาจนำไปสู่การวิกฤตครั้งใหญ่ได้เช่นกัน
หลายคนอาจคิดว่าผู้เขียนมองโลกในแง่ร้ายเกินไปสักหน่อย แต่หากย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์ช่วงที่อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐอเมริกาเป็นเลขสองหลักเมื่อราวทศวรรษที่ 1980s ถึงแม้สหรัฐฯ จะปรามเงินเฟ้อในประเทศให้สงบลงได้ด้วยการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายจนแตะระดับ 20 เปอร์เซ็นต์ แต่อัตราดอกเบี้ยที่สูงลิ่วกลับกลายเป็นสาเหตุของการผิดนัดชำระหนี้ของกลุ่มประเทศลาตินอเมริกาและเม็กซิโก เนื่องจากค่าเงินที่อ่อนยวบและภาระดอกเบี้ยแสนสาหัส
เหล่านายธนาคารกลางของสหรัฐเองก็ตระหนักถึงผลกระทบดังกล่าว โดยมีบทความซึ่งเผยแพร่เมื่อปีที่ผ่านมาระบุว่าโดยทั่วไปแล้วการขยับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐจะเป็นการ “เพิ่มภาระหนี้สิน กระตุ้นการไหลออกของเงินทุน และสร้างความตึงเครียดในตลาดการเงินซึ่งอาจนำไปสู่วิกฤต” ในประเทศกำลังพัฒนา
แก้ปัญหาต้องเริ่มที่โครงสร้าง
ผลกระทบในต่างประเทศย่อมไม่ใช่เป้าหมายของการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ แต่เปรียบเสมือน ‘ลูกหลง’ ของการจัดการเงินเฟ้อภายในอเมริกา สาเหตุก็เนื่องจากฉันทามติของนานาชาติที่จะใช้ ‘ดอลลาร์สหรัฐ’ เป็นสกุลเงินหลักสำหรับการค้าระหว่างประเทศนั่นเอง
การขึ้นครองอำนาจนำในเวทีการค้าระหว่างประเทศของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเกิดขึ้นในการประชุมที่เมืองเบรตตันวูดส์ (Bretton Woods) สหรัฐอเมริกา หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงและเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างรุนแรง นานาชาติต่างมองหาทางเลือกใหม่ที่จะมาทดแทนระบบมาตรฐานทองคำ (Gold Standard) ก่อนได้ข้อสรุปว่าจะใช้เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐสำหรับตรึงมูลค่าเงินทดแทนทองคำ
แม้ว่าปัจจุบันจะไม่มีเงื่อนไขข้อบังคับใดให้เราต้องใช้เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ในการชำระราคาสินค้าระหว่างประเทศหรือถือไว้เพื่อเป็นเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ แต่เงินสกุลดังกล่าวก็ยังเป็นที่นิยมอันดับหนึ่งโดยไม่มีใครโค่นลงได้เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่ยังมองว่าเป็นสกุลเงินที่มีทั้งสภาพคล่องและเสถียรภาพสูง
การที่สกุลเงินหลักของประเทศใดประเทศหนึ่งกลายเป็นเงินที่ใช้ในการค้าระหว่างประเทศนับเป็นอภิมหาอภิสิทธิ์เพราะรัฐบาลสามารถระดมเงินทุนจากต่างชาติได้ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน อีกทั้งยังไม่ต้องกังวลเรื่องความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเมื่อทำธุรกรรมกับต่างประเทศ และที่สำคัญ สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐยังสามารถใช้เป็นขีปนาวุธทางการเงิน เช่น การคว่ำบาตรกลุ่มก่อการร้ายหรือในกรณีล่าสุดคือการตัดรัสเซียออกจากสารบบอีกด้วย
อำนาจทางสกุลเงินที่ล้นเหลือของสหรัฐถูกตั้งคำถามอยู่เนืองๆ จากขั้วตรงข้ามอย่างรัสเซียและจีน แต่ก็ไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรมใดๆ หากการขยับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐคราวนี้นำไปสู่วิกฤตการเงินในประเทศกำลังพัฒนา ก็อาจถึงเวลาที่เราต้องทบทวนแล้วว่ายังควรใช้ดอลลาร์สหรัฐเป็นสกุลเงินหลักของโลกต่อไปหรือเปล่า
หากไม่อยากให้อำนาจทางสกุลเงินไปอยู่ในมือประเทศใดประเทศหนึ่ง เราก็คงต้องปัดฝุ่นแนวคิดของนักเศรษฐศาสตร์ชั้นบรมครูอย่าง จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ (John Maynard Keynes) ที่เคยเสนอไว้ในที่ประชุมเบรตตันวูดส์ว่าควรตั้งสกุลเงินใหม่ขึ้นมาสำหรับซื้อขายแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศโดยเฉพาะ พร้อมกับตั้งธนาคารกลางของโลกเป็นหน่วยงานกำกับดูแลและรักษาเสถียรภาพของเงินสกุลดังกล่าว
แน่นอนว่าประเทศที่เสียผลประโยชน์อย่างสหรัฐอเมริกาย่อมค้านหัวชนฝา แต่การเปลี่ยนแปลงก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะก่อนหน้าที่ดอลลาร์สหรัฐจะเป็นสกุลเงินหลักของโลกก็ต้องโค่นมหาอำนาจเก่าอย่างปอนด์สเตอร์ลิง หากระบบในปัจจุบันนั้นสร้างปัญหาก็อาจถึงเวลาปรับโครงสร้างเพื่อความเป็นธรรมสำหรับทุกคน
เอกสารประกอบการเขียน
As US Federal Reserve Raises Rates, Emerging Markets Brace for Impact
An aggressive Fed has global ramifications. Here are 3 ways the world could be hit
Global inflation: Five ways US rate rise will affect you
The Fed and the ECB turn on a dime