ในสาขาวิชาการศึกษาด้านสังคมวิทยาและประชากรศาสตร์ ภูมิภาคยุโรปตะวันตกเฉียงเหนือเป็นบริเวณที่มีพัฒนาการประวัติศาสตร์ค่อนข้างเฉพาะในเรื่องว่าด้วยสถาบันครอบครัว โดยถือว่าเป็นบริเวณที่การแต่งงานและการหย่าร้างนั้นมีพลวัตสูงยิ่งโดยเฉพาะในครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20
ยุโรปเหนือมีลักษณะสถาบันครอบครัวที่สร้างกรณีศึกษาเปรียบเทียบแตกต่างออกไปจากบริเวณอื่นของโลก โดยเฉพาะเรื่องอำนาจตัดสินใจของปัจเจกบุคคลมีความสำคัญเหนือกว่าความเป็นทองแผ่นเดียวกันของสถาบันครอบครัว (ในทางทฤษฎี)
อย่างครอบครัวในภูมิภาคสแกนดิเนเวียหรือนอร์ดิค (ที่รวมฟินแลนด์) มาจากพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ที่ค่อนข้างเฉพาะตัว จึงทำให้มีลักษณะไม่ว่าจะเป็น
1. ครอบครัวหนึ่งจะประกอบไปด้วยผู้ปกครอง (พ่อ แม่ หรืออะไรก็ตาม) และลูก เป็นลักษณะครอบครัวเดี่ยว
2. อายุของผู้หญิงเมื่อมีลูกถือว่าช้าที่สุด หากเปรียบเทียบกับบริเวณอื่นของโลก
3. อายุของคู่แต่งงานจะไม่ห่างกันมาก อาจจะไม่กี่ปี
4. การมีสมาชิกของครอบครัวที่ไม่ใช่ญาติ นั่นก็คือคนรับใช้นั่นเอง นี่ทำให้เด็กค่อนข้างมีอิสระจากพ่อและแม่ในช่วงวัยเด็ก
ท่ามกลางลักษณะเหล่านี้ ยังมีลักษณะทางสังคมวิทยาและทางความคิดอื่นๆ อาทิ การมีสถาบันทาส (serfdom) ที่ไม่เข้มข้นตกผลึกนัก การแผ่ขยายของคริสต์ศาสนาโปรแตสแตนท์ที่เน้นเรื่องตัวบทในพระคัมภีร์ (scripture) พร้อมทั้งความสัมพันธ์ของปัจเจกบุคคลโดยตรงกับพระเจ้า
นี่จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่มีผู้พยายามหาสัมประสิทธิ์ระหว่างรูปแบบครอบครัว กับกำเนิดและพัฒนาการของทุนนิยมในบริเวณดังกล่าวนี้
Second Demographic Transition (SDT)
สำหรับนักประชากรศาสตร์ สังคมตะวันตกตั้งแต่ทศวรรษที่ 1960 เกิดการเปลี่ยนแปลงคุณค่าของครอบครัวแบบประเพณีไปสู่การเปลี่ยนผ่านทางประชากรครั้งที่สอง (Second Demographic Transition – SDT)
ในทางวัฒนธรรมและความคิดเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมว่าด้วยบทบาททางเพศสภาวะ เพศวิถี การแต่งงานและการหย่าไปอย่างมาก ทั้งหมดนี้มาจากการการเจริญเติบโตและความมั่งคั่งในสังคมเสรีนิยมประชาธิปไตยชนะสงครามในตะวันตก ที่ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนผ่านเช่นนี้ขึ้นได้
SDT นี้ก็มาพร้อมๆ กับการตระหนักถึงความเป็นปัจเจกบุคคลเหนือคุณค่าของครอบครัว ท่ามกลางอัตราการเกิด ตาย แต่งงานที่ต่ำ รวมไปถึงอัตราการหย่าร้างที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนผ่านนี้ ประเทศกลุ่มสแกนดิเนเวียและนอร์ดิคเป็นหัวหอกในการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในช่วงทศวรรษที่ 1960 และ 1970 นำไปสู่ระบอบการหย่าร้างสูง (high divorce rate regime)
ผู้หญิงกระฎุมพีผลักดันกฎหมายสมรส
การเปลี่ยนผ่านเช่นนี้ มีฐานมาตั้งแต่หลายทศวรรษก่อนหน้าในภูมิภาคนอร์ดิค โดยเฉพาะการปฏิรูปกฎหมายสมรสที่ให้สิทธิคู่สมรสเท่าเทียมกันในการหย่าร้างตั้งแต่ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยทั้งคู่มีสิทธิในการหย่าร้างโดยไม่ถือเป็นความผิด หรือไม่ต้องหาผู้ผิด (no-fault)
สมควรบันทึกไว้ตรงนี้ว่า ในช่วงการปฏิวัติบอลเชวิคในปี 1917 นั้น สหภาพโซเวียตมีการผลักดันกฎหมายสมรส เรื่องสิทธิเท่าเทียมของคู่สมรสในการหย่าร้างโดยไม่ถือเป็นความผิดนี้เช่นกัน ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าอย่างมากในช่วงเวลาดังกล่าว
และสมควรบันทึกต่อไปอีกด้วยว่า กลุ่มผู้ที่ผลักดันเรื่องการปฏิรูปกฎหมายในประเทศกลุ่มนอร์ดิคแรกๆ คือผู้หญิงชนชั้นกระฎุมพีที่เสียผลประโยชน์จากกฎหมายดั้งเดิม เพราะการแต่งงานของพวกเธอนั้นมาจากผูกผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจเป็นหลัก ซึ่งภายใต้กฎหมายเก่าทำให้พวกเธอต้องอยู่ภายใต้ความกลัวว่าสามีจะขอหย่าจากพวกเธอ ทำให้ต้องพึ่งพิงกับผู้ชายอยู่ภายใต้สถาบันการแต่งงาน จึงใช้สมาคมสตรีเป็นกลุ่มในการมุ่งล็อบบี้ผลักดันให้กฎหมายสิทธิในการหย่าร้างโดยไม่ถือเป็นความผิด (no-fault) ของทั้งสองฝ่ายจนเป็นผลสำเร็จ
กรณีการหย่าร้างในฟินแลนด์ช่วงปลายสงคราม
การพิจารณาบริบทประวัติศาสตร์นั้นเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง หากพิจารณาภูมิภาคนอร์ดิคแล้ว จะเห็นว่าฟินแลนด์มีประวัติศาสตร์ที่แยกออกไปจากประสบการณ์ของเหล่าประเทศมีกษัตริย์ของสแกนดิเนเวียอยู่พอสมควร โดยเฉพาะหากเราพิจารณากรณีการหย่าในช่วงเวลาหลังสงครามหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
จะว่าไปแล้ว ฟินแลนด์ผ่านประวัติศาสตร์ของสงครามโลกครั้งที่สองที่โหดร้ายกว่ากลุ่มประเทศสแกนดิเนเวียอย่างมาก เมื่อเจาะจงดูที่หลังจากปี 1944 เมื่อฟินแลนด์ต้องอยู่ในสถานะผู้ร่วมกับเยอรมนีรบกับสหภาพโซเวียตและต้องยอมลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพ หลังจากปีนั้น อัตราการหย่าร้างพุ่งขึ้นสูงอย่างมาก แม้ว่าอัตราการหย่าร้างช่วงสิ้นสุดสงครามนั้นเพิ่มขึ้นทั่วทุกประเทศในยุโรป แต่สำหรับฟินแลนด์ถือว่าเป็นการเพิ่มอย่างรวดเร็วที่สุด
รัฐบาลฟินแลนด์จึงต้องก่อตั้งศูนย์ให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน ประมาณว่าเป็นศูนย์ให้คำปรึกษาในการประคองชีวิตคู่อะไรแบบนั้น ปัญหาที่เกิดขึ้นก็มักจะเป็นปัญหาการดื่มแอลกอฮอล์และความรุนแรงในครอบครัวของผู้ชายต่อผู้หญิง
การพยายามจะรักษาสถาบันครอบครัวของฟินแลนด์จึงมีลักษณะเฉพาะ ในแง่ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นนโยบายแบบอนุรักษนิยมหากเปรียบเทียบกับประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวีย แต่อันที่จริงแล้วมีข้อแม้เรื่องประสบการณ์สงครามเป็นปัจจัยในการกำหนดนโยบายทางสังคมของประเทศ
คริสต์ศาสนาลูเทอแรน
ปัจจัยหนึ่งที่ผู้ศึกษาเรื่องการคลี่คลายของสถาบันครอบครัวในสแกนดิเนเวียระบุร่วมกัน คือบทบาทของสถาบันคริสต์ศาสนาลูเทอแรน ที่ทำหน้าที่เป็นพลังทางประวัติศาสตร์ที่เปลี่ยนครอบครัวจากการรวมกันของชายหญิงภายใต้พระเจ้า ไปสู่ครอบครัวที่เป็นการตกลงเข้าร่วมสัญญาของปัจเจกสองคน การประสาน (หรือแทนที่?) ของคริสต์ศาสนากับรัฐโลกวิสัย/ระบบราชการ นำมาซึ่งการผลักดันให้การหย่าร้างโดยไม่ต้องหาความผิด (no-fault) นั้นเกิดขึ้นได้ก่อนที่อื่น ในประเทศสแกนดิเนเวียทุกประเทศ
ก็คือเมื่อชีวิตครอบครัวไม่มีความสุข จะทนอยู่ไปทำไมเล่า เขาว่ากันแบบนี้
อ้างอิง
– Peter Laslett, Family Life and Illicit Love in Earlier Generations (1977)
– Glenn Sandström & Ólöf Garðarsdóttir, ‘Long-Term Perspectives on Divorce in the Nordic Countries – Introduction’ Scandinavian Journal of History 43:1, 1-17.