ปลดล็อกการวัดผลแบบเดิมๆ ด้วยการประเมินศักยภาพความคิดสร้างสรรค์

“เกรดและคะแนนสอบคือตัวกำหนดชีวิต”

เป็นคำกล่าวที่ไม่เกินจริงสำหรับคนที่เติบโตมาในระบบการศึกษาที่เน้นความเป็นเลิศทางวิชาการกว่าสิ่งอื่นใด ในสังคมเช่นนี้ การให้คุณค่าต่อพัฒนาการของเด็กคนหนึ่งจึงอิงอยู่กับตัวเลขในใบเกรดจนกลบความสำคัญของความถนัดด้านอื่น แต่หากมองในมุมที่ต่างออกไป เหตุที่คะแนนสอบกลายเป็นสรณะในการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ก็อาจเป็นเพราะทักษะทางวิชาการนั้นวัดและประเมินได้ง่าย เมื่อดูจากคะแนนสอบ ผู้สอนก็พอจะบอกได้ว่าผู้เรียนเข้าใจเนื้อหามากน้อยเพียงใด แต่ในโลกแห่งความจริง พัฒนาการของเด็กมีมิติอื่นที่ควรให้ความสนใจมากกว่าการคร่ำเคร่งกับเนื้อหาทางวิชาการในห้องเรียน

แน่นอนว่าความรู้ทางวิชาการอย่างเดียวไม่อาจทำให้มนุษย์อยู่รอดในโลกที่เผชิญกับความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาได้ ย้อนไปเมื่อ 2 ล้านปีก่อน ในวันที่โลกยังไม่มีวิทยาการล้ำสมัย ไม่มีเตาไฟฟ้าไว้ประกอบอาหาร ไม่มีรถไฟฟ้าไว้ประหยัดเวลาเดินทาง หรือไม่มี ChatGPT ไว้เป็นเพื่อนคู่คิด แต่เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็พัฒนามาได้ด้วย ‘ความคิดสร้างสรรค์’ (creativity) ในอดีต บรรพบุรุษของเราขัดหินรูปทรงธรรมดาให้แหลมคมเหมาะแก่การล่าสัตว์มาเป็นอาหาร จนถึงปัจจุบันที่ล้ำหน้าไปถึงการผลิตเนื้อสังเคราะห์ (lab-grown meat) เพื่อเป็นอีกทางเลือกในการรับมือกับปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการทำปศุสัตว์ จะผ่านไปกี่ยุคสมัย ความสามารถในการสร้างสรรค์อยู่ในตัวเราทุกคน

แต่จะดีแค่ไหนหากเราค้นพบและสามารถส่งเสริมศักยภาพความคิดสร้างสรรค์ได้ตั้งแต่วัยเด็ก และก่อนจะกล่าวไปถึงการใช้ศักยภาพจากความคิดสร้างสรรค์ เราจะทราบได้อย่างไรว่าเรามีความคิดสร้างสรรค์ในด้านใดเป็นพิเศษ?

101 สรุปความจากการนำเสนอของท็อด ลูบาร์ต (Todd Lubart) ศาสตราจารย์สาขาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยปารีส (Université Paris Cité) และผู้อำนวยการ LaPEA (Le laboratoire de Psychologie et d’Ergonomie Appliquées) ในหัวข้อ การประเมินศักยภาพความคิดสร้างสรรค์ในเด็ก (Evaluation of Creative Potential: EPoC) จากเวทีเสวนาวิชาการนานาชาติ การประเมินผลลัพธ์การเรียนรู้ (International Seminar on Pupil Outcomes Assessments) จัดโดยกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ร่วมกับ Creativity, Culture and Education (CCE)

ร่วมทำความเข้าใจความคิดสร้างสรรค์ให้ลึกซึ้ง และเรียนรู้จากประสบการณ์มากกว่าสิบปีของท็อดในการศึกษา วิจัย พัฒนาเครื่องมือที่ทำให้ความคิดสร้างสรรค์ ‘วัดได้’ วงการศึกษาไทยสามารถประยุกต์ใช้อะไรได้บ้างจากนวัตกรรมการวัดผลนี้ มาสำรวจไปพร้อมกันได้ตั้งแต่บรรทัดถัดไป

ความคิดสร้างสรรค์สำคัญไฉน ทำไมต้องมีการวัด?

ความคิดสร้างสรรค์ (creativity) เป็นหนึ่งในทักษะจำเป็นในศตวรรษที่ 21 ร่วมกับทักษะในการสื่อสาร (communication) การทำงานร่วมกับผู้อื่น (collaboration) และทักษะการคิดวิเคราะห์ (critical thinking) หรือที่เรียกกันว่า 4C การประชุมระดับโลกอย่าง World Economic Forum กล่าวถึงความคิดสร้างสรรค์ว่าเป็น 1 ใน 3 ทักษะสำคัญที่สุดที่นายจ้างจะพิจารณารับเข้าทำงาน ในยุคสมัยที่โลกฉายสปอตไลต์ไปยังความคิดสร้างสรรค์เช่นนี้ ครูและโรงเรียนในหลายชาติหันมาให้ความสนใจกับการพัฒนาศักยภาพความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น ในปี 2021 การประเมินวัดระดับนักเรียนทั่วโลกที่จัดโดย OECD หรือ PISA (Programme for International Student Assessment) ได้รวมเอาความคิดสร้างสรรค์เป็นหนึ่งในสมรรถนะที่จะมีการประเมินด้วย

แต่ก่อนจะพูดถึงการวัดและการประเมิน ท็อดชวนเราทำความเข้าใจความคิดสร้างสรรค์และศักยภาพความคิดสร้างสรรค์ให้ลึกซึ้งเสียก่อน

หากพูดให้เข้าใจง่าย ความคิดสร้างสรรค์ คือความสามารถในการสร้างสิ่งใหม่ หรือความคิดใหม่ที่มีความหมายต่อบริบทเฉพาะในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง และมีความเป็นต้นฉบับ (original) อย่างไรก็ตาม ท็อดกล่าวว่าความเป็นต้นฉบับไม่จำเป็นต้องเป็นคนเดียวในโลกที่คิดได้เท่านั้น เด็กที่มีความคิดใหม่ๆ ซึ่งผู้ใหญ่เคยคิดได้มาก่อนแล้วก็จัดว่าเป็นความคิดสร้างสรรค์ และความคิดสร้างสรรค์สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในงานทุกประเภท

ท็อดยกตัวอย่าง อาชีพครู ที่มีหน้าที่ออกแบบการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับผู้เรียนแต่ละช่วงวัย การมีความคิดสร้างสรรค์จะช่วยให้ครูสามารถสร้างชั้นเรียนที่มีคุณภาพและทำให้นักเรียนรู้สึกสนุกกับการเรียน หรือแม้แต่ในอาชีพที่มีข้อจำกัดการสร้างสรรค์จากกฎระเบียบอันเคร่งคัด เช่น นักบิน ในบางครั้งความคิดสร้างสรรค์ก็จำเป็นต่อการเอาชีวิตรอดในสถานการณ์ฉุกเฉิน

ตัวอย่างที่ยกมาสะท้อนว่าเราจะเห็นว่ามนุษย์คนหนึ่งได้นำความคิดสร้างสรรค์มาใช้ประโยชน์ก็ต่อเมื่อทำภารกิจบางอย่างสำเร็จ แต่ความสำเร็จที่ว่านี้มักจะปรากฏชัดเมื่ออยู่ในวัยผู้ใหญ่ ซึ่งสามารถตัดสินใจด้วยตัวเองได้ในทุกเรื่อง ตรงข้ามกับเด็กที่มีประสบการณ์น้อย ฉะนั้น หากจะมองหาร่องรอยความคิดสร้างสรรค์ในเด็ก ท็อดจึงเสนอให้พิจารณาจาก ‘ศักยภาพด้านความคิดสร้างสรรค์’ (creative potential) โดยการจำลองสถานการณ์เฉพาะบางอย่างที่จะทำให้เด็กเผยศักยภาพออกมา ท็อดอธิบายศักยภาพความคิดสร้างสรรค์ผ่าน ‘การเปิดตู้เย็น’ ที่มีวัตถุดิบ เช่น ไข่ แป้ง กล้วย ส้ม อยู่ข้างใน ด้วยวัตถุดิบที่เหมือนกันนี้ มีความเป็นไปได้มากมายที่แต่ละคนจะนำวัตถุดิบเหล่านี้ไปรังสรรค์เป็นเมนูอาหารที่หลากหลาย หรือพูดได้ว่าศักยภาพความคิดสร้างสรรค์คือความสามารถในการหยิบจับวัตถุดิบทางความคิดและวัตถุที่จับต้องได้ไปรังสรรค์เป็นสิ่งใหม่

องค์ประกอบของศักยภาพความคิดสร้างสรรค์ประกอบขึ้นจาก 1. การรับรู้ (cognition) คือ ความรู้ ความเข้าใจ ความยืดหยุ่นทางความคิดและการเปิดกว้างรับประสบการณ์ใหม่ๆ 2. ปัจจัยทางอารมณ์ความรู้สึก (conation emotion) คือ มีการตอบสนองต่อปัจจัยแวดล้อม และ 3. สิ่งแวดล้อม (environment) คือ สถานที่และผู้คนรอบตัว นั่นหมายความว่าเด็กจะมีศักยภาพความคิดสร้างสรรค์แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับองค์ประกอบเหล่านี้ซึ่งมีอิทธิพลต่อความคิดเด็ก เช่น เด็กที่เติบโตในย่านที่มีพิพิธภัณฑ์ ซึ่งจัดนิทรรศการหมุนเวียนทุกเดือน จะมีโอกาสสัมผัสเรื่องราวที่หลากหลาย ประสบการณ์ที่หลากหลายนี้จะแฝงอยู่ในตัวเด็ก เมื่ออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เอื้อ สิ่งที่สั่งสมมาจะถูกดึงมาใช้ได้

นำมาสู่ความทะยานอยากของคนในแวดวงการศึกษาอย่างท็อดที่จะทำให้ความคิดสร้างสรรค์ถูกวัดและประเมินได้ เพื่อจะนำไปสู่การหาคำตอบว่าปัจจัยแวดล้อมหรือการจัดการเรียนรู้แบบใดที่เราสามารถสร้างให้เด็กได้เติบโตไปพร้อมความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างไร้ขีดจำกัด และเป็นประโยชน์ต่อผู้สอนในแง่ที่ว่าการวัดความคิดสร้างสรรค์จะช่วยประเมินการจัดการเรียนรู้ที่ผ่านมาว่าบรรลุผลในการกระตุ้นให้ผู้เรียนมีความคิดสร้างสรรค์หรือไม่ ท็อดกล่าวว่า “การประเมินคือการให้คุณค่ากับสิ่งที่เราต้องการวัด และการพัฒนาเครื่องมือในการวัดจะช่วยให้ความคิดสร้างสรรค์จับต้องขึ้นมาได้ เมื่อจับต้องได้ก็ช่วยให้ครูและนักเรียน ‘พูดภาษาเดียวกัน’ และสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่ทุกคนมีส่วนร่วมได้”

EPoC: นวัตกรรมการวัดความคิดสร้างสรรค์

ท็อด และคณะ ตีพิมพ์งานวิจัยว่าด้วยการประเมินศักยภาพความคิดสร้างสรรค์ในเด็ก (Evaluation of Creative Potential: EPoC) ครั้งแรกในปี 2011 เขาเรียก EPoC ว่าเป็นแบตเตอรีในการวัดศักยภาพความคิดสร้างสรรค์ในทุกแขนงวิชา ไม่ว่าจะเป็น ศิลปะ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ หรือดนตรี EPoC ถูกนำไปใช้ในการศึกษาวิจัยด้านการศึกษาโดย OECD ซึ่งปัจจุบันนี้กำลังทำการวิจัยในประเทศไทยด้วย

การประเมินศักยภาพความคิดสร้างสรรค์จะเริ่มที่การออกแบบบททดสอบ ตั้งต้นจากฐานคิดที่ว่าความคิดสร้างสรรค์เกิดจากความคิด 2 รูปแบบ

แบบแรก divergent thinking คือการคิดให้แตกต่างหลากหลาย การคิดในแบบนี้เด็กจะอยู่ในโหมดสำรวจ (exploratory mode) ถึงความเป็นไปได้ใหม่ๆ จนหลุดจากกรอบความคิดเดิม ท็อดอธิบายให้เห็นภาพผ่านการออกแบบแบบทดสอบ divergent thinking ในวิชาศิลปะที่เรียกว่า Torrance Tests of Creative Thinking-Drawing Production (TCT-DP) [1] แบบทดสอบความคิดสร้างสรรค์ด้านรูปภาพ โดยจะให้เด็กต่อเติมภาพอย่างอิสระโดยใช้เส้นหรือรูปร่างที่กำหนดให้ หรืออาจกำหนดให้เด็กต่อเติมเป็นภาพสิ่งของ หากสร้างเป็นภาพได้เยอะก็บ่งชี้ว่ามีความคิดสร้างสรรค์มาก

แบบทดสอบความคิดสร้างสรรค์แบบ divergent thinking ด้านรูปภาพ กำหนดให้เด็กสร้างภาพที่มีรูปร่างคล้ายกล้วย

แบบที่สอง convergent thinking คือการบูรณาการ (integrate) สิ่งที่ดำรงอยู่เดี่ยวๆ หรือจากการคิดแตกต่างแบบ divergent thinking เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างสิ่งใหม่ที่มีความหมายขึ้นมา การออกแบบเครื่องมือเพื่อวัดความคิดสร้างสรรค์ในลักษณะนี้ เช่น ในวิชาศิลปะ ครูอาจจะให้ภาพสิ่งของหลายประเภทและกำหนดให้เด็กใช้รูปที่มีอยู่มาประกอบเป็น 1 ภาพที่สามารถอธิบายเรื่องราวหรือความเชื่อมโยงของสิ่งที่ปรากฏในภาพได้  ดังเช่น ภาพตัวอย่างที่กำหนดหมวก ดวงไฟ กะลามะพร้าว เด็กคนหนึ่งสามารถประกอบเป็นภาพห้องนอนได้ อีกคนประกอบขึ้นเป็นภาพคนไปตกปลาที่ทะเล

แบบทดสอบความคิดสร้างสรรค์แบบ convergent thinking ด้านรูปภาพ กำหนดให้เด็กวาดภาพที่อธิบายและให้ความหมายได้ โดยประกอบขึ้นจากภาพสิ่งของที่กำหนดให้

ท็อดยกตัวอย่างเพิ่มเติมในวิชาคณิตศาสตร์ เพื่อยืนยันว่าไม่ว่าจะในวิชาใดก็สามารถพัฒนาแบบทดสอบให้วัดศักยภาพความคิดสร้างสรรค์ได้ ในกรณีนี้มีการสร้างโจทย์ให้เด็กได้ฝึกคิดวิธีคำนวณทั้งแบบ divergent และ convergent ได้

แบบทดสอบความคิดสร้างสรรค์แบบ divergent thinking ทางคณิตศาสตร์ ด้านการคำนวณ ให้นักเรียนสร้างการคำนวณโดยใช้การดำเนินการทางคณิตศาสตร์ใดก็ได้ ให้ได้ผลลัพธ์เท่ากับ 7 ให้ได้มากที่สุด
แบบทดสอบความคิดสร้างสรรค์แบบ convergent thinking ทางคณิตศาสตร์ ด้านการคำนวณ กำหนดตัวเลขมาให้ 9 ตัว และให้ใช้การดำเนินการทางคณิตศาสตร์ได้ 3 การดำเนินการ ให้นักเรียนสร้างการคำนวณตามข้อกำหนดให้ได้ผลลัพธ์เท่ากับ 1

การทดสอบเพื่อประเมินความคิดสร้างสรรค์ควรออกแบบให้เป็นการทดสอบที่มีพลวัต (dynamic testing) คือให้คณะกรรมการผู้ตัดสินคอยชี้แนะ กระตุ้น หรือเปิดประตูความเป็นไปได้ใหม่ๆ ให้ผู้เข้ารับการทดสอบคิดต่อเองได้ ในระหว่างนั้นผู้ตัดสินจะต้องคอยสังเกตว่าผู้เข้ารับการทดสอบสามารถต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ไปได้มากน้อยแค่ไหนหลังเกิดการแลกเปลี่ยนความคิด ในกระบวนการ EPoC นี้ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ให้คะแนนและผู้ถูกประเมินจะเป็นแนวราบ ต่างจากความเข้าใจเดิมๆ ที่ผู้ตัดสินไม่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้ทำแบบทดสอบ  

องค์ประกอบที่สำคัญที่ทำให้ความคิดอันเป็นนามธรรมเหล่านี้จับต้องได้คือการให้คะแนนเพื่อวัดผล แต่การสร้างมาตรฐานให้การวัดผลนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมนุษย์มีความซับซ้อนในการตัดสิน ถึงกระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าทำไม่ได้เสียทีเดียว EPoC จึงให้ความสำคัญกับการฝึกอบรมคณะกรรมการผู้ตัดสินให้มีมาตรฐานมากที่สุด ท็อดอ้างถึงโมเดลในประเทศฝรั่งเศส ที่เปิดพื้นที่ให้มีการรับฟังความเห็นจากผู้ตัดสิน เพื่อหาฉันทมติในการประเมิน วิธีนี้จะช่วยลดอิทธิพลจากภูมิหลังหรือความเชื่อเฉพาะบุคคลต่อการตัดสินเด็กให้เหลือน้อยที่สุด ท็อดกล่าวว่าคณะกรรมการผู้ให้คะแนนต้องได้รับการทดสอบหลังการอบรมจนแน่ใจว่าจะรักษามาตรฐานการตัดสินให้อยู่ในระดับเดียวกัน

ตัวอย่างการให้คะแนนการประเมินความคิดสร้างสรรค์ด้านรูปภาพ ที่ผู้ตัดสินร่วมกันกำหนดช่วงคะแนนไว้ 1-7 และมีการพูดคุยถึงรายละเอียดการให้คะแนนให้เข้าใจตรงกัน

เมื่อความคิดสร้างสรรค์วัดออกมาเป็นคะแนนได้ก็ต้องนำไปเปรียบเทียบผลลัพธ์ได้ แต่ข้อจำกัดของการเปรียบเทียบคือไม่สามารถเปรียบเทียบข้ามประเทศได้เพราะบริบททางวัฒนธรรม ภาษา และการจัดการเรียนรู้แต่ละประเทศแตกต่างกัน การเปรียบเทียบในระดับประเทศนั้นทำได้และพึงทำ เพราะเด็กอยู่ในสิ่งแวดล้อมคล้ายคลึงกัน บางชาติอาจจะมีแผนการจัดการเรียนรู้แกนกลางที่ทุกโรงเรียนนำไปใช้เหมือนกัน หากลองเปรียบเทียบ จัดลำดับ และพิจารณาปัจจัยที่ทำให้เด็กในพื้นที่หนึ่งมีความคิดสร้างสรรค์มากกว่าอีกพื้นที่ อาจจะช่วยส่งสัญญาณว่าต้องมีการปรับหลักสูตรหรือปรับวิธีจัดการเรียนการสอนแก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้ พิจารณาในระดับห้องเรียน การประเมินความคิดสร้างสรรค์ผู้เรียนก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้บางอย่างจะช่วยให้ครูประเมินวิธีสอนของตัวเองได้เช่นกันว่าช่วยส่งเสริมให้เด็กมีความคิดสร้างสรรค์เพิ่มขึ้นไหม และกลุ่มใดควรได้รับความสนใจเป็นพิเศษ

ท็อดปิดท้ายว่าการวัดศักยภาพความคิดสร้างสรรค์นั้นทำได้ในทุกช่วงวัย แน่นอนว่าเครื่องมือการประเมินนี้มีความซับซ้อน แต่ก็ถือเป็นมิติใหม่ของการวัดผลสัมฤทธิ์ที่ผู้กำหนดนโยบายหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องน่าจะเก็บไว้พิจารณา เพราะเด็กคนหนึ่งไม่ควรถูกตัดสินจากความรู้ทางวิชาการเพียงด้านเดียว ดังที่ผู้อ่านคงเคยได้ยินคำกล่าวทำนองว่าถึงจะสอบตกวิชาคณิต แต่ก็อาจจะเป็นนักร้องที่มีชื่อเสียงได้ การศึกษาไทยควรมีพื้นที่ให้คนที่มีศักยภาพหลากหลายมากขึ้นเช่นกัน

References
1 แบบทดสอบความคิดสร้างสรรค์ของทอร์เรนซ์ (Torrance Tests of Creative Thinking: TTCT) พัฒนาขึ้นโดยเอลลิส พอล ทอร์แรนซ์ (Ellis Paul Torrance) ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาชาวอเมริกัน โดยแบบทดสอบจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ แบบทดสอบรูปภาพ (figural test) และแบบทดสอบภาษา (verbal test)

MOST READ

Social Issues

9 Oct 2023

เด็กจุฬาฯ รวยกว่าคนทั้งประเทศจริงไหม?

ร่วมหาคำตอบจากคำพูดที่ว่า “เด็กจุฬาฯ เป็นเด็กบ้านรวย” ผ่านแบบสำรวจฐานะทางเศรษฐกิจ สังคม และความเหลื่อมล้ำ ในนิสิตจุฬาฯ ปี 1 ปีการศึกษา 2566

เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล

9 Oct 2023

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

Education

20 Jul 2023

คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ในวิกฤต (?)

ข่าวการปรับหลักสูตรของอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ชวนให้คิดถึงอนาคตของการเรียนการสอนสายมนุษยศาสตร์ เมื่อตลาดแรงงานเรียกร้องทักษะสำหรับการทำงานจริง จนมีการลดความสำคัญวิชาพื้นฐานอันเป็นการฝึกฝนการวิเคราะห์วิพากษ์เพื่อทำความเข้าใจโลกอันซับซ้อน

เสียงเล็กๆ จากประชาคมอักษร

20 Jul 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save