อิสระ ชูศรี เรื่อง
กฤตพร โทจันทร์ ภาพประกอบ
ย้อนเวลากลับไปก่อนที่การระบาดของ ‘โควิด-19’ จะทวีความรุนแรงขึ้นจนทำให้มหาวิทยาลัยและสถานศึกษาต่างๆ ทยอยกันปิดการเรียนการสอน และค่อยๆ ลดกิจกรรมที่มีการมาประชุมกันของคนจำนวนมาก ก่อนหน้านั้นเล็กน้อยเกิดการชุมนุมของนักเรียน-นักศึกษาที่ดำเนินไปอย่างเข้มแข็งและมีข้อเรียกร้องที่เข้มข้น ไม่เฉพาะเรียกร้องให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ยังเรียกร้องไปไกลถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้กลับมาเป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น
ช่วงนั้นมีเหตุการณ์ที่ทับซ้อนกันระหว่างการเรียกร้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญและการร่ำร้องให้รัฐบาลเร่งบรรเทาความลำบากของประชาชนที่กำลังเผชิญปัญหาโรคระบาด มีกระแสเสียงโต้แย้งกันถึงการจัดลำดับความสำคัญระหว่างการแก้ไขกติกาสูงสุดทางการเมืองและการบริหารจัดการปัญหาโรคภัยไข้เจ็บ
กระแสเสียงหนึ่งบอกว่าการเมืองเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทุกมิติของการใช้ชีวิตในสังคม ถ้าการเมืองเลว การบริหารจัดการในทุกมิติก็ไม่มีทางจะดีได้ ขณะที่อีกกระแสเสียงหนึ่งบอกว่าไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาล ไม่ว่าจะเลือกตั้งหรือแต่งตั้งใครมาทำหน้าที่ทางการเมือง ชีวิตของประชาชนก็ย่อมดำเนินไปโดยการคัดหางเสือของตนเอง โดยไม่มีใครสามารถที่จะมาช่วยเหลือได้
อย่างไรก็ตาม ถ้าเราพินิจพิจารณาสถานการณ์โรคระบาดที่กำลังล้อมเราอยู่ให้ดี จะพบว่าการบริหารจัดการทางด้านสาธารณสุขนั้นมีความเกี่ยวข้องกับการเมืองอย่างแยกกันไม่ออก และไม่ได้เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ชีวภาพและการซ่อมบำรุงร่างกายเท่านั้น แต่มันเกี่ยวข้องกันกับการควบคุมและการตัดสินใจใช้ทรัพยากรทางเศรษฐกิจ และการใช้อำนาจทางการเมืองเข้ากำกับการเดินทาง การทำงาน และการใช้เวลาว่างของประชาชนอีกด้วย
โรคระบาดเป็นปัญหาระดับมหาชนและมีความเป็นการเมืองอย่างที่สุด จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เราจะเห็นรัฐบาลของประเทศต่างๆ ในโลกใช้วิธีที่คล้ายคลึงหรือแตกต่างกันมาจัดการกับการระบาดของไวรัสชนิดเดียวกัน โดยแตกต่างกันตามระบอบการปกครองและโครงสร้างอำนาจในประเทศนั้นๆ ยังไม่นับว่าวัฒนธรรมของประชาชนในแต่ละประเทศมีความหลากหลายแตกต่างกันจนส่งผลต่อแบบแผนการระบาดของไวรัส
มีบางคนกล่าวว่าเป็นหน้าที่ของรัฐโดยตรงที่จะต้องเข้ามาจัดการดูแลประชาชนในสถานการณ์โรคระบาด แทนที่จะปล่อยให้ประชาชนดูแลสุขภาพของตนเองเหมือนกับกรณีโรคภัยไข้เจ็บอื่นๆ ที่ไม่ใช่โรคติดต่อร้ายแรง
ในทางกลับกัน คนไทยอีกมากที่ไม่ยอมรับว่าการดูแลสุขภาพของประชาชนเป็นหน้าที่ของรัฐในภาคบังคับ ไม่ใช่สิ่งที่ทำตามความเมตตากรุณาของผู้นำเพื่อสงเคราะห์ผู้ตกทุกข์ได้ยาก หรือทำไมคนไทยจึงยอมรับเวลาที่ผู้นำรัฐบาลแสดงออกเหมือนคนที่มีหน้าที่แค่คอยแนะนำวิธีล้างมือหรือคนเยี่ยมไข้ที่กำลังปลอบใจคนป่วยและครอบครัว แทนที่จะแสดงความเป็นผู้นำในการเร่งต่อสู้กับโรคระบาดอย่างจริงจังกว่านี้
ผมกลับไปทบทวนดูใน “รัฐธรรมนูญ 20 ฉบับ” ที่ผ่านมาของไทยตั้งแต่ พ.ศ. 2475 – 2560 ว่ามีฉบับใดบ้างที่กล่าวถึงสิทธิ์ด้านสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องการกับโรคระบาดหรือโรคติดต่อร้ายแรง (คลังข้อมูลรัฐธรรมนูญที่เป็นไฟล์ข้อความที่ผู้ใช้สามารถสืบค้นข้อความด้วยคอมพิวเตอร์ได้นี้ เรียบเรียงขึ้นโดยนายวรรณพงษ์ ภัททิยไพบูลย์ นักศึกษาสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์และสารสนเทศ คณะวิทยาศาสตร์ประยุกต์และวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น วิทยาเขตหนองคาย)
จากข้อมูลในธรรมนูญการปกครองประเทศ รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว และรัฐธรรมนูญจำนวน 20 ฉบับ มีฉบับที่มีบทบัญญัติเกี่ยวกับ ‘สาธารณสุข’ หรือ ‘โรค’ หรือ ‘สุขภาพ’ หรือ ‘อนามัย’ หรือ ‘พยาบาล’ หรือ ‘แพทย์’ จำนวน 12 ฉบับ โดยรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่กล่าวถึงเรื่องนี้คือ “รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2492” ซึ่งระบุไว้ในมาตรา 62 และมาตรา 72
โดยมาตราแรกนั้นว่าด้วยการศึกษาอบรมประชาชนให้เป็นพลเมืองดีมีร่างกายแข็งแรง ในขณะที่มาตราถัดมาเป็นการระบุว่ารัฐมีหน้าที่โดยตรงเกี่ยวกับการจัดการโรคระบาด ซึ่งเป็นที่ประจวบเหมาะกับสถานการณ์ระดับโลกว่าข้อความนี้ปรากฏอยู่ในรัฐธรรมนูญไทยเพียงปีเดียวหลังจากมีการก่อตั้งองค์การอนามัยโลกขึ้นในปี พ.ศ. 2491
มาตรา 72 รัฐพึงส่งเสริมการสาธารณสุข ตลอดถึงการมารดาและทารกสงเคราะห์ การป้องกันและปราบโรคระบาดรัฐจะต้องกระทำให้แก่ประชาชนโดยไม่คิดมูลค่า (รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2492, เน้นโดยผู้เขียน)
รัฐธรรมนูญมาตราข้างต้นปรากฏเหมือนกันหมดทั้งข้อความในมาตรา 43 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2495 แต่หลังจากนั้นก็หายไปจากธรรมนูญการปกครอง พ.ศ. 2502 รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2511 และรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2515 แล้วจึงกลับมาปรากฏขึ้นอีกครั้งในวรรค 3 ของมาตรา 92 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2517 เพียงหนึ่งปีหลังจากการประท้วงใหญ่ของประชาชนเพื่อขับไล่รัฐบาลจอมพลถนอม เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2516 โดยมีการเปลี่ยนแปลงคำว่า “โรคระบาด” เป็น “โรคติดต่ออันตราย”
มาตรา 92 รัฐพึงส่งเสริมการสาธารณสุข ตลอดถึงการอนามัยครอบครัว และพึงคุ้มครองสุขภาพของบุคคล และสนับสนุนให้ประชาชนมีส่วนร่วมด้วย
รัฐพึงให้การรักษาพยาบาลแก่ผู้ยากไร้โดยไม่คิดมูลค่า
การป้องกันและปราบปรามโรคติดต่ออันตรายรัฐจะต้องกระทำให้แก่ประชาชนโดยไม่คิดมูลค่า
หน้าที่ในการส่งเสริมการสาธารณสุขและป้องกันปราบปรามโรคระบาดหายไปจากรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2519 และธรรมนูญการปกครอง พ.ศ. 2520 หลังการรัฐประหารของกลุ่มอำนาจอนุรักษ์นิยม และถูกนำกลับมาใหม่ในมาตรา 73 วรรค 2 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2521
มาตรา 73 (วรรค 2) การป้องกันและปราบปรามโรคติดต่ออันตรายรัฐจะต้องกระทำให้แก่ประชาชนโดยไม่คิดมูลค่า
เมื่อเกิดการรัฐประหารขึ้นอีกครั้งในปี พ.ศ. 2534 และมีการประกาศธรรมนูญการปกครองออกมา มาตรานี้ก็หายไปอีก (ซึ่งเป็นแบบแผนเดียวกันรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวอีกสองฉบับหลังการรัฐประหารอีกสองครั้งในปี พ.ศ. 2549 และ พ.ศ. 2557) จนกระทั่งกลับมาปรากฏใหม่ในมาตรา 83 วรรค 2 ของรัฐธรรมนูญที่ประกาศใช้ต่อมาในปีเดียวกัน ซึ่งมีข้อน่าสังเกตว่ามีการเพิ่มข้อความเรื่องการทำหน้าที่ป้องกันโรคติดต่อร้ายแรงให้ทันเหตุการณ์
มาตรา 83 (วรรค 2) การป้องกันและขจัดโรคติดต่ออันตรายรัฐจะต้องกระทำให้แก่ประชาชนโดยไม่คิดมูลค่าและทันต่อเหตุการณ์
มาตรานี้ปรากฏในลักษณะคล้ายๆ กันในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 พ.ศ. 2550 และ พ.ศ. 2560 โดยมีการเพิ่มหรือลดข้อความที่กำหนดขอบเขตหน้าที่และความรับผิดชอบในการป้องกันและขจัดโรคติดต่ออันตรายให้แก่ประชาชน
รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 มาตรา 52 (วรรค 3) การป้องกันและขจัดโรคติดต่ออันตรายรัฐต้องจัดให้แก่ประชาชนโดยไม่คิดมูลค่าและทันต่อเหตุการณ์ ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ
รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 51 (วรรค 3) บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับการป้องกันและขจัดโรคติดต่ออันตรายจากรัฐอย่างเหมาะสมโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายและทันต่อเหตุการณ์
รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 47 (วรรค 3) บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับการป้องกันและขจัดโรคติดต่ออันตรายจากรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
เป็นที่น่าสังเกตว่าหน้าที่ของรัฐทางด้านการสาธารณสุขซึ่งรวมถึงหน้าที่ในการป้องกันและขจัดโรคติดต่ออันตรายมักจะหายไปจากธรรมนูญการปกครองประเทศและรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวที่ถูกร่างและประกาศใช้โดยคณะรัฐประหาร
การกล่าวถึง “สุขภาพอนามัย” ในธรรมนูญฯ หรือรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราววมักจะกล่าวรวมๆ เป็นส่วนหนึ่งของการให้อำนาจรัฐในการจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการกระทำและการสื่อสารที่จะส่งผลเสียต่อสาธารณะ รวมทั้งสุขภาพอนามัยของประชาชน โดยไม่มีการกล่าวถึงการส่งเสริมสุขภาพอนามัยในส่วนที่เกี่ยวกับการควบคุมมลพิษ การพิจารณาผลกระทบของโครงการที่อาจจะส่งผลต่อสุขภาพของประชาชน หรือการส่งเสริมสุขภาพของประชาชนในเชิงรุก ซึ่งปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกในรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน พ.ศ. 2540 และเป็นต้นธารของการคุ้มครองสิทธิ์ที่จะมีสุขภาพดีของประชาชนที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 และ พ.ศ. 2560
ความน่าสนใจในประเด็นนี้ก็คือรัฐธรรมนูญที่ถูกร่างขึ้นในสมัยที่การปกครองมีความเป็นประชาธิปไตยมากกว่า มักจะทำให้เกิดแนวปฏิบัติที่เป็นมาตรฐานใหม่ของการขยายขอบเขตของสิทธิ์ทางด้านสุขภาพให้กับประชาชน เช่นในกรณีของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2517 และรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 กล่าวคือรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2517 สร้างมาตรฐานด้านสิทธิ์ทางสุขภาพที่สูงขึ้นกว่ารัฐธรรมนูญก่อนหน้านั้นและทำให้รัฐธรรมนูญฉบับต่อๆ มาต้องดำเนินการตามด้วยมาตรฐานที่ใกล้เคียงกัน และรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 สร้างมาตรฐานด้านสิทธิ์ทางสุขภาพที่สูงขึ้นไปกว่าเดิม ซึ่งกลายเป็นมาตรฐานที่ปรากฏต่อเนื่องในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 และ พ.ศ. 2560 (มีการกล่าวถึงแนวทางการปฏิรูปด้านสุขภาพให้มีมาตรฐานสูงขึ้น แต่ไม่ได้เพิ่มเติมสิทธิ์เกี่ยวกับสุขภาพที่มีมาตรฐานสูงกว่ารัฐธรรมนูญฉบับก่อนหน้านั้นมากนัก)
นอกจากนั้น การปรับปรุงมาตรฐานทางด้านสาธารณสุขและการบริการสุขภาพตามแนวทางสากลจะส่งผลดีต่อการยกระดับมาตรฐานการดำเนินการทางด้านนี้ของภาครัฐ ดังที่ปรากฏในการเพิ่มเติมหน้าที่ของภาครัฐทางด้านการสาธารณสุขในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2492 ซึ่งสอดคล้องกับการก่อตั้งองค์การอนามัยโลกขึ้นก่อหน้านั้นไม่นาน ในปี พ.ศ. 2491
ในกรณีของประเทศไทย การมีรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยที่มีประชาชนมีส่วนร่วมในกระบวนการร่าง และการยอมรับและปรับใช้มาตรฐานสากลที่สูงกว่ามาตรฐานชาติที่มีอยู่เดิม ย่อมส่งผลต่อการขยายบทบาทของรัฐในการดูแลประชาชนด้านการสาธารณสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบาทในการป้องกันและขจัดโรคระบาดอันตราย