อรอนงค์ ทิพย์พิมล เรื่อง
กฤตพร โทจันทร์ ภาพประกอบ
จากกรณีนายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ นักกิจกรรมและผู้ลี้ภัยทางการเมืองหลังการรัฐประหารในประเทศไทยปี 2557 ถูกอุ้มหายจากหน้าที่พักในกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชาเมื่อช่วงเย็นวันที่ 4 มิถุนายนที่ผ่านมา นำไปสู่กระแส #saveวันเฉลิม ในสังคมออนไลน์ และมีการกล่าวถึงกรณีการบังคับบุคคลให้สูญหายที่เกิดขึ้นมาหลายครั้งในประเทศไทย อย่างไรก็ดี การใช้วิธีบังคับให้บุคคลสูญหายหรือการอุ้มหายไม่ได้เกิดขึ้นในประเทศไทยที่เดียว ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินโดนีเซียเป็นหนึ่งในประเทศที่เกิดความรุนแรงทางการเมืองหลายครั้ง โดยเฉพาะความรุนแรงที่กระทำโดยรัฐต่อประชาชน และหนึ่งในความรุนแรงนั้นคือการบังคับให้บุคคลสูญหาย
ยุคระเบียบใหม่ (1966-1998) ของประธานาธิบดีซูฮาร์โตเริ่มต้นด้วยความรุนแรง มีการกวาดล้างสมาชิกและผู้สนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซียจำนวนอย่างน้อย 5 แสนคนถึง 2 ล้านคน ซึ่งการกวาดล้างหมายถึงการสังหาร จับกุมคุมขัง และเนรเทศไปอยู่ถิ่นทุรกันดาร หลังจากนั้น ระบอบอำนาจนิยมของประธานาธิบดีซูฮาร์โตก็ใช้การควบคุมทางการเมืองเพื่อปราบปรามการเคลื่อนไหวและการแสดงออกทางการเมืองจากกลุ่มต่อต้านอย่างเข้มข้น แต่แม้จะถูกคุกคามข่มขู่อย่างหนัก นักเคลื่อนไหวในองค์กรพัฒนาเอกชนในอินโดนีเซียก็ทำงานอย่างแข็งขัน โดยเฉพาะองค์กรให้ความช่วยเหลือด้านกฎหมายแก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายที่เน้นการพัฒนาของรัฐบาล และองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน องค์กรต่างๆ เหล่านี้ค่อยๆ เติบโตและขยายเครือข่ายอย่างรวดเร็วในช่วงทศวรรษ 1980-1990
การบังคับบุคคลให้สูญหายช่วงปี 1997-1998 [1]
ช่วงก่อนการเลือกตั้งทั่วไปในปี 1997 และช่วงประชุมสภาที่ปรึกษาประชาชนในปี 1998 เพื่อลงมติเลือกประธานาธิบดี บรรดานักศึกษาและนักกิจกรรมได้เคลื่อนไหวต่อต้านการเลือกตั้งและต่อต้านการประชุมสภาที่ปรึกษาประชาชนดังกล่าว เพราะพวกเขาเห็นว่าการเลือกตั้งไม่มีความโปร่งใสและไม่เป็นธรรม แต่เป็นเพียงการจัดฉากให้ดูเหมือนว่ามีการเลือกตั้งเท่านั้น เพราะทุกครั้งที่ประชุมสภาที่ปรึกษาประชาชน ก็จะมีการลงมติเลือกซูฮาร์โตให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี และทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง นักศึกษาก็จะออกมาประท้วงอยู่เสมอ แต่การเลือกตั้งปี 1997 ซึ่งเป็นสมัยที่ 7 ของซูฮาร์โต เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ (1997-1998) ซึ่งเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาและทำให้การต่อต้านซูฮาร์โตและระบอบระเบียบใหม่รุนแรงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ในทางกลับกัน รัฐบาลก็ปราบปรามการเคลื่อนไหวต่อต้านด้วยความรุนแรงเช่นกัน
หนึ่งในวิธีที่รัฐบาลใช้ในการปราบปรามคือการอุ้มหายนักศึกษา นักกิจกรรม และสมาชิกพรรคการเมืองในช่วงปี 1997-1998 โดยสามารถแบ่งเป็น 2 ช่วง ได้แก่ 1) ช่วงเดือนกุมภาพันธ์-พฤษภาคม 1997 เป็นช่วงเวลาก่อนการเลือกตั้งและวันเลือกตั้งปี 1997 และ 2) ช่วงเดือนกุมภาพันธ์-พฤษภาคม 1998 เป็นช่วงเวลาสองเดือนก่อนการประชุมสภาที่ปรึกษาประชาชนปี 1998 ซึ่งเป็นช่วงเกิดการจลาจลและหลังการลาออกของซูฮาร์โต
ผู้ที่ถูกอุ้มหายเป็นนักศึกษา นักกิจกรรม และสมาชิกพรรคการเมืองที่มีแนวคิดต่อต้านรัฐ[2] ในช่วงเวลาที่มีการอุ้มหายนักศึกษาและนักกิจกรรม ได้มีการก่อตั้งองค์กรเพื่อคนหายและเหยื่อของความรุนแรง หรือ KontraS (Komisi Untuk Orang Hilang dan Korban Tindak Kekerasan) ขึ้นเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 1998[3] และในปัจจุบัน KontraS เป็นหนึ่งในองค์กรเอ็นจีโอที่มีบทบาทสำคัญ เข้มแข็ง และมีชื่อเสียงที่สุดองค์กรหนึ่งในอินโดนีเซีย[4] KontraS ระบุว่ามี 24 คนถูกอุ้มหายโดยเจ้าหน้าที่รัฐ มี 1 รายถูกพบว่าเสียชีวิต 9 รายได้รับการปล่อยตัวกลับมา และอีก 14 รายที่ยังไม่พบร่องรอยจนถึงวันนี้ และการอุ้มหายทั้งหมดเกิดขึ้นในช่วงที่นายพลวิรันโต (Wiranto) เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด ภายใต้ประธานาธิบดีซูฮาร์โต
เหยื่อการอุ้มหายที่ได้รับการปล่อยตัวกลับมาเล่าว่า พวกเขาถูกกลุ่มคนบุกมาจับตัวที่บ้านโดยใช้ความรุนแรง ฉุดกระชาก ผลักด้วยอาวุธ ปิดคลุมศีรษะด้วยผ้า ถูกบังคับพาไปสถานที่ต่างๆ และถูกทรมานร่างกายในขณะที่ผู้จับตัวไปสอบเค้นถามข้อมูลที่พวกเขาต้องการ
[box]
รายชื่อนักศึกษาและนักกิจกรรมที่ถูกลักพาตัว
- Aan Rusdiyanto (ได้รับการปล่อยตัวกลับมา)
- Andi Arief (ได้รับการปล่อยตัวกลับมา)
- Desmond Junaedi Mahesa (ได้รับการปล่อยตัวกลับมา)
- Faisol Reza (ได้รับการปล่อยตัวกลับมา)
- Haryanto Taslam (ได้รับการปล่อยตัวกลับมา)
- Mugiyanto (ได้รับการปล่อยตัวกลับมา)
- Nezar Patria (ได้รับการปล่อยตัวกลับมา)
- Pius Lustrilanang (ได้รับการปล่อยตัวกลับมา)
- Raharja Waluya Jati (ได้รับการปล่อยตัวกลับมา)
- Dedy Umar Hamdun (สูญหาย)
- Herman Hendrawan (สูญหาย)
- Hendra Hambali (สูญหาย)
- Ismail (สูญหาย)
- M Yusuf (สูญหาย)
- Noval Al Katiri (สูญหาย)
- Petrus Bima Anugrah (สูญหาย)
- Sony (สูญหาย)
- Suyat (สูญหาย)
- Ucok Munandar Siahaan (สูญหาย)
- Yadin Muhidin (สูญหาย)
- Yani Afri (สูญหาย)
- Wiji Thukul (สูญหาย)
- Abdul Naser (สูญหาย)
- Leonardus Nugroho (ถูกพบเสียชีวิตและมีแผลถูกยิง)
คณะกรรมการไต่สวนกรณีการบังคับบุคคลให้สูญหายช่วงปี 1997-1998
หลังการลาออกของประธานาธิบดีซูฮาร์โตเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 1998 ได้มีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมืองครั้งใหญ่ในประเทศอินโดนีเซีย มีการปฏิรูปทุกภาคส่วน มีการปล่อยนักโทษการเมือง รวมถึงการให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติไต่สวนกรณีการอุ้มหายช่วงปี 1997-1998 ซึ่งคณะทำงานได้ทำการไต่สวนและรวบรวมข้อมูลช่วงเดือนตุลาคม 2005 ถึง ตุลาคม 2006 และได้นำข้อมูลส่งมอบให้อัยการสูงสุดในปี 2006 มีหลักฐานเบื้องต้นที่ระบุว่าหน่วยงานทหารที่ชื่อว่า ‘Tim Mawar’ ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของพันโทปราโบโว ซูเบียนโต (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในปัจจุบัน และเป็นอดีตบุตรเขยของประธานาธิบดีซูฮาร์โต) มีส่วนเกี่ยวข้องกับการอุ้มหายนักศึกษาและนักกิจกรรมในช่วงปี 1997-1998
ทั้งนี้ ด้วยกระแสกดดันจากสังคมในยุคปฏิรูป รัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการไต่สวนหาข้อเท็จจริงต่อกรณีการอุ้มหายถึง 3 ชุด จากผลการสอบสวนที่ยืดเยื้อยาวนานพบว่า มีนายทหารผู้ที่ถูกระบุว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการลักพาตัว 11 คน และทั้ง 11 คนจาก Tim Mawar ถูกตัดสินจำคุก 12-22 เดือน ซึ่งทนายความนักสิทธิมนุษยชนได้ออกมาแสดงความคิดเห็นว่า การลักพาตัวและการบังคับบุคคลให้สูญหายเป็นการกระทำอย่างเป็นระบบ โดยระบอบการปกครองที่ต้องการรักษาอำนาจด้วยการใช้ความรุนแรงและวิธีนอกกฎหมาย แต่คนที่ถูกลงโทษกลับเป็นปัจเจกบุคคลที่รับคำสั่งให้ปฏิบัติ แต่ไม่ใช่ผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจหรือออกคำสั่ง และในที่สุดมีนายทหารเพียง 3 นาย (รวมปราโบโวซึ่งถูกให้ยุติการทำงานตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 1998 หนึ่งวันหลังการลาออกจากตำแหน่งของประธานาธิบดีซูฮาร์โต) ที่ถูกให้ออกจากราชการฐานพัวพันกับการอุ้มหายในช่วงปี 1997-1998 โดยที่ไม่ถูกนำขึ้นพิจารณาคดีในศาลทหาร ดังนั้น จึงไม่เป็นที่ประหลาดใจว่าทำไมนักเคลื่อนไหว นักกิจกรรม นักสิทธิมนุษยชนในอินโดนีเซียจึงต่อต้านปราโบโวในการลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดี และเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เมื่อประธานาธิบดี โจโก วีโดโด ประนีประนอมกับปราโบโว โดยให้เขาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
การอุ้มหายที่ไม่หายจากความทรงจำ
แม้การลักพาตัวและการบังคับบุคคลให้สูญหายในช่วงวิกฤตทางการเมืองของอินโดนีเซียจะผ่านไปกว่าสองทศวรรษ แต่บรรดาญาติเหยื่ออุ้มหายและประชาชนอินโดนีเซียยังคงเรียกร้องความเป็นธรรมจากรัฐ และแสดงความต้องการให้มีการดำเนินคดีทางกฎหมายกับผู้เกี่ยวข้องเพื่อคืนความยุติธรรมให้กับเหยื่อที่ถูกอุ้มหาย ทั้งนี้ การดำเนินคดีทางกฎหมายไม่ใช่แค่สำหรับเหยื่อที่ถูกอุ้มหายและครอบครัวเท่านั้น แต่เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความรู้สึกปลอดภัยในหมู่ประชาชนทั้งหมดว่า ผู้ที่กระทำผิดกฎหมายจะถูกลงโทษโดยไม่เลือกว่าเป็นใคร ทุกคนต้องเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมาย
อย่างไรก็ตาม เมื่อการเรียกร้องความยุติธรรมตามกระบวนการทางกฎหมายยังไม่บรรลุเป้าหมาย บรรดานักกิจกรรมและครอบครัวของเหยื่อที่ถูกอุ้มหายได้เคลื่อนไหวและแสดงออกในทางอื่น เช่น เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2019 สมาพันธ์ครอบครัวคนหายอินโดนีเซีย (Ikatan Keluarga Orang Hilang Indonesia) ได้ร่วมกับองค์กรอื่นๆ จัดคอนเสิร์ต ‘เยาวชนต่อต้านการลืม’ (Yang Muda Melawan Lupa) ขึ้นที่คาเฟ่แห่งหนึ่งในกรุงจาการ์ตา และยังมีการจัดนิทรรศการรูปเหยื่อนักกิจกรรมผู้ถูกลักพาตัวด้วย มีผู้มาร่วมงานคอนเสิร์ตดังกล่าวประมาณ 300 คน ผู้ริเริ่มในการจัดคอนเสิร์ตครั้งนี้กล่าวว่า จุดมุ่งหมายของงานนี้คือเพื่อให้เสียงของเหยื่อและครอบครัวเหยื่อที่ถูกอุ้มหายในปี 1997-1998 สะท้อนไปถึงคนรุ่นใหม่ เพราะว่าชาติอินโดนีเซียลืมเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นง่ายและเร็วเกินไป และไม่มีการบรรจุเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้ในแบบเรียนในโรงเรียนด้วย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องย้ำเตือนให้ไม่ลืม
กิจกรรมดังกล่าวมีศิลปินและนักดนตรีจำนวนมากเข้าร่วม และยังมี ‘มูกิยันโต (Mugiyanto)’ ซึ่งเป็นผู้ที่เคยถูกลักพาตัวและได้รับการปล่อยตัวกลับมาเข้าร่วมงานด้วย โดยเขาเล่าว่า “ผมถูกลักพาตัววันที่ 13 มีนาคม 1998 ขณะนั้นผมอยู่ที่อพาร์ทเมนต์ย่านจาการ์ตาตะวันออก ผมถูกลักพาตัวโดยคนประมาณ 10 คนในขณะที่ผมอยู่ในห้องเช่าของผม เวลาประมาณทุ่มครึ่ง” มูกิยันโตเล่าว่าเขาถูกพาไปสถานที่ที่เขาไม่รู้จัก ถูกสอบสวนและถูกทุบตีหากว่าคำตอบไม่เป็นไปตามที่ผู้ลักพาตัวคาดหวัง และในที่สุดเขาก็ได้รับการปล่อยตัว[5]
อย่างไรก็ดี ยังมีผู้ถูกอุ้มหายอีกหลายรายที่มีชะตากรรมแตกต่างจากมูกิยันโต เพราะไม่มีใครพบร่องรอยหรือเห็นวี่แววของพวกเขา และแม้จะผ่านมากว่าสองทศวรรษแล้ว แต่บรรดาญาติของพวกเขาก็ยังคงมีความหวังว่าจะได้ข่าวคราวและยังคงเรียกร้องความชัดเจนและความรับผิดชอบจากรัฐ
ขณะที่ผู้เข้าร่วมคอนเสิร์ตดังกล่าวได้ส่งเสียงสะท้อนว่า “ฉันคิดว่าการฝึกให้คนรุ่นใหม่ต่อต้านการลืมเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ในช่วงปี 1998 ฉันยังเล็กอยู่ อายุแค่ 4 ปี และยังไม่รู้เรื่องอะไร บังเอิญว่าฉันชอบอ่านเกี่ยวกับเหตุการณ์เดือนพฤษภาคมและคนที่ถูกลักพาตัว” และ “ฉันได้ยินข่าวกิจกรรมนี้ จึงคิดว่าน่าสนใจ อาจจะเพราะว่ามีผู้ที่เคยถูกลักพาตัวมาเล่าประสบการณ์ ทำให้ฉันได้รับฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงๆ และนั่นคือสิ่งที่ฉันอยากรู้”
แม้อินโดนีเซียจะมีการพัฒนาประชาธิปไตยหลังจากยุคเผด็จการของซูฮาร์โต และได้รับการยกย่องจากนานาชาติ แต่กรณีที่อ่อนไหวเช่นการเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับผู้ที่เคยถูกอุ้มหายในช่วงเกิดเหตุการณ์รุนแรงทางการเมืองกลับไม่เป็นผลเท่าที่ควร แม้จะมีการเคลื่อนไหวจากองค์กรต่างๆ ที่ลุกขึ้นมาเรียกร้องและตั้งคำถามกับรัฐบาลให้นำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษเพราะเรื่องนี้มีความเกี่ยวพันกับบทบาทของทหาร ที่ถึงแม้ว่าจะมีการปฏิรูปกองทัพ ลดบทบาทและอำนาจทหารในทางการเมืองแบบทางการ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทหารจะหมดอิทธิพลทางการเมืองและในประเทศโดยสิ้นเชิง
[1] จริงๆ แล้วการลักพาตัวและบังคับบุคคลให้สูญหายในยุคระเบียบใหม่ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นในช่วงปี 1997-1998 แต่เป็นการกระทำที่ต่อเนื่องและเป็นระบบ ซึ่งมีผู้ที่เชื่อว่าถูกอุ้มหายโดยรัฐมาก่อนหน้านี้ แต่ในช่วงปี 1997-1998 มีการทำงานขององค์กรและหน่วยงานต่างๆ อย่างขันแข็งและเป็นช่วงรอยต่อหลังการสิ้นสุดของยุคระเบียบใหม่และต่อด้วยยุคปฏิรูป ทำให้กระแสสังคมให้ความสนใจกับกรณีนี้มาก
[2] พรรคประชาธิปไตยประชาชน หรือ Partai Rakyat Demokratik (PRD) เป็นพรรคที่มีแนวคิดสังคมนิยมประชาธิปไตย พัฒนามาจากขบวนการนักศึกษาในทศวรรษ 1990 ประกาศตัวเป็นพรรคการเมืองในเดือนเมษายน 1996 ซึ่งยังอยู่ในยุคระเบียบใหม่ที่มีกฎหมายควบคุมการก่อตั้งพรรคการเมือง พรรค PRD จึงถือเป็นกลุ่มต่อต้านรัฐบาลและด้วยอำนาจของระบอบระเบียบใหม่ทำให้รัฐบาลจับตาดูความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด รวมถึงมีการคุกคามนักกิจกรรมและนักการเมืองของพรรคด้วย
[3] ในเวลาต่อมา KontraS ได้ขยายสาขาไปตั้งอยู่ในบางพื้นที่โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนสูง เช่น KontraS Aceh ที่เมืองบันดา อาเจะห์, KontraS Sumatra Utara ที่เมืองเมดาน, KontraS Sulawesi ที่เมืองมากัสซาร์, KontraS Surabaya ที่เมืองสุราบายา, KontraS Nusatenggara ที่เมืองคูปัง และ KontraS Papua ที่เมืองจายาปูรา
[4] ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการก่อตั้ง KontraS คือนักสิทธิมนุษยชนผู้มีนามว่า มูนีร์ ซาอิด ตาลิบ (Munir Said Thalib) เขาถูกลอบสังหารโดยการวางยาพิษในอาหารและเสียชีวิต (อายุ 38 ปี) ในขณะที่เขากำลังอยู่ในเครื่องบินจากจาการ์ตาสู่กรุงอัมสเตอร์ดัม เพื่อไปศึกษาต่อระดับปริญญาโทเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2004 เหตุการณ์นี้เกิดในสมัยประธานาธิบดีเมกาวตี ซูการ์โนปุตรี ที่ทหารกลับเข้ามามีอำนาจครอบงำทางการเมืองอีกครั้ง หลังจากที่ถูกลดบทบาทลงไปจากการตกเป็นเป้าหมายของการโจมตีและวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในช่วงการเรียกร้องการปฏิรูปโดยประชาชนในช่วงปี 1998-99
[5] https://www.voaindonesia.com/a/yang-muda-melawan-lupa-penculikan-aktivis-1998/4865215.html