เมื่อกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมาเอ็มมา ราดูคานู (Emma Raducanu) หญิงสาวอายุเพียง 18 ปี สร้างประวัติศาสตร์ในวงการเทนนิสของโลก กลายเป็นแชมป์รายการแกรนด์สแลม หญิงเดี่ยวอายุน้อยที่สุดนับตั้งแต่มาเรีย ชาราโปวาได้แชมป์วิมเบิลดันเมื่ออายุเพียง 17 ปี ในปี ค.ศ. 2004 แต่ที่สร้างความตื่นเต้นกันมากในประเทศอังกฤษคือเอ็มมาเป็นนักเทนนิสหญิงสัญชาติอังกฤษคนแรกในรอบ 44 ปีที่ได้แชมป์หญิงเดี่ยวในรายการใหญ่ของโลก ทั้งๆ ที่ต้องลงแข่งรอบคัดเลือก (qualifying) ก่อนที่จะได้เข้าสนามแข่งเพราะเป็นผู้เล่นที่ไม่มีอันดับ (unseeded) จึงกลายเป็นม้ามืดที่พุ่งเข้าสู่แชมป์ในสนาม US Open ที่นครนิวยอร์ก
เอ็มมา ราดูคานู สร้างประวัติศาสตร์ในวงการเทนนิส กลายเป็นนักเทนนิสคนแรกของโลกที่เข้าแข่งในรายการแกรนด์สแลมโดยสามารถผ่านเข้ารอบคัดเลือกแล้วยังชนะทุกรอบเข้าสู่รอบชิงแชมป์รวดเดียวในปีแรกที่ลงสนาม โดยไม่แพ้แม้แต่เซ็ตเดียว
นอกจากสร้างประวัติศาสตร์เป็นดาวรุ่งพุ่งแรงในวงการเทนนิสของโลกแล้ว เอ็มมา ราดูคานูสาวเลือดผสมโรมาเนียและจีนกลายเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจทางด้านสังคมวิทยาในยุคที่อังกฤษถอนตัวออกจากอียู เพราะกระแสชาตินิยมต่อต้านคนต่างชาติ (immigration) เข้าเมืองในอังกฤษและในยุคที่กลุ่มอนุรักษ์ผิวขาวในอเมริกา (white supremacist) ต่อต้านคนเข้าเมือง บรรดาสาวกของโดนัล ทรัมป์ที่แม้ว่าจะแพ้เลือกตั้งแต่ก็ยังไม่ลดละที่จะสร้างกระแสตีกลับมาเพื่อมีอำนาจอีกครั้ง
พลวัตรอบตัวสาวน้อยคนนี้ที่น่าสนใจคือ พ่อเป็นชาวโรมาเนียที่ถือว่าเป็นประเทศชั้นสองของยุโรปและมารดาเป็นชาวจีนอพยพ เธอใช้นามสกุลของพ่อ พูดภาษาโรมาเนียและภาษาจีนแมนดารินได้คล่อง แม้ว่าเธอเกิดในแผ่นดินแคนาดา แต่ครอบครัวย้ายมาอยู่ลอนดอนตั้งแต่เธออายุเพียง 2 ขวบจึงถือหนังสือเดินทางอังกฤษ เรียนโรงเรียนอังกฤษ วิชาเอกคณิตศาสตร์และเพิ่งรู้ผลสอบมัธยมปลาย ได้คะแนนคณิตศาสตร์ระดับ A Star และวิชาเศรษฐศาสตร์ระดับ A เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมนี้เอง
สามเดือนก่อนหน้านี้ ในสังคมอังกฤษหรืออเมริกา แทบจะไม่มีใครรู้จัก เอ็มมา ราดูคานู เพราะเธอไม่เคยอยู่ในเรดาร์ของสื่อมวลชนทั้งสองฟากฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก สื่อในอังกฤษเพิ่งจะให้ความสนใจเมื่อตอนที่เธอผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศที่สนามวิมเบิลดันเมื่อสองเดือนก่อนเท่านั้น
เอ็มมาถือสัญชาติอังกฤษก็จริงแต่ไม่มีสายเลือดอังกฤษเลย เป็นสาวลูกผสมโรมาเนียและจีน แต่ไปเกิดในแคนาดา เธอไม่เรียกตัวเองว่าเป็นแคนาเดียน และไม่ถือว่าเป็นโรมาเนียนหรือจีน แม้ว่าจะเดินทางไปเยี่ยมญาติที่บ้านเกิดของพ่อและแม่ทุกปีและพูดภาษาของพ่อแม่ได้ ซึ่งทำให้ประชาชนจำนวนหนึ่งในทั้งสองประเทศถือว่าเอ็มมาเป็นฮีโร่ของพวกตนเช่นกัน แต่เอ็มมาเติบโต เรียนหนังสือ และฝึกตีเทนนิสในลอนดอน เธอจึงแสดงออกอย่างชัดเจนด้วยการถือธงชาติอังกฤษไปลงสนามชิงแชมป์เทนนิส US Open ที่นิวยอร์ก เธอจึงถือว่าตนเองเป็นผลผลิตที่ได้รับการหล่อหลอมมาจากสิ่งที่เรียกว่า British values อันเป็นค่านิยมที่ส่งเสริมความเปิดกว้าง (openness) ความเท่าเทียม (equality) ความหลากหลาย (diversity) และการหล่อหลอมรวม (inclusiveness)
British values เป็นประเด็นที่มีการถกเถียงกันมากตอนที่มีการแข่งขันฟุตบอลยูโรเมื่อสามเดือนก่อน กรณีที่แฟนบอลชาวอังกฤษผิวขาวออกอาการเหยียดผิวเมื่อนักเตะทีมชาติอังกฤษผิวดำสามคนทำให้แฟนๆ ผิดหวังที่พ่ายแพ้แก่ทีมชาติอิตาลีในสนามบ้านตัวเอง ซึ่งแกเร็ธ เซาธ์เกต ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษประกาศว่าการเหยียดผิวเหล่านั้นเป็นพฤติกรรมที่น่ารังเกียจ ไม่สอดคล้องกับ British values และไม่ถือว่าพวกเขาเป็นชาวอังกฤษที่รักชาติ (patriot) อย่างแท้จริง
ในสหราชอาณาจักร การโต้เถียงกันเรื่องค่านิยม British values เป็นกรณีพาดหัวข่าวในสื่ออยู่เนืองๆ เพราะเป็นการผลักดันให้สังคมก้าวไปข้างหน้า ไม่หลงสาละวนอยู่ในหล่มชาตินิยม (nationalism) ที่แคบและล้าหลัง แม้กระนั้นก็ยังมีนักการเมือง คนทำสื่อ และกลุ่มประชาชนอนุรักษนิยมขวาจัดบางกลุ่มยังแสดงอิทธิฤทธิ์ออกอาละวาดทางสื่อและโซเชียลมีเดียอยู่เป็นระยะๆ กระแสการโจมตีผู้อพยพซึ่งมักจะถูกหาว่ามาแย่งงาน แย่งสวัสดิการสังคมในอังกฤษ มีส่วนช่วยให้ฝ่ายรณรงค์ Brexit ประสบความสำเร็จในการลงประชามติ
ผู้คนจำนวนหนึ่งที่ไปลงประชามติให้ถอนอังกฤษออกจากยุโรป ก็เพราะไม่ต้องการคนต่างชาติอย่างพ่อแม่ของเอ็มมาเข้ามาทำมาหากินสร้างครอบครัวในประเทศอังกฤษ แย่งงานและสวัสดิการ โดยเฉพาะคนที่มาจากประเทศอย่างโรมาเนีย ซึ่งถือว่าเป็นชาติชั้นสองของสหภาพยุโรป ทั้งๆ ที่คนเข้าเมืองเหล่านั้นส่วนใหญ่ขยันขันแข็งอดทน ทำงานเสียภาษีเข้ากระทรวงการคลังมากกว่าคนผิวขาวที่ออกมารังเกียจกีดกันเสียอีก
ปรากฏการณ์เอ็มมา ราดูคานู ได้ทำลายภาพลวงตาของกลุ่มคนที่ยังติดหล่มชาตินิยมแคบๆ ของชาติพันธุ์คนผิวขาวที่ถือว่าพวกตนเท่านั้นที่มีความเป็นมนุษย์เหนือกว่าคนผิวพันธุ์อื่น เนื่องจากยุคสมัยหนึ่งพวกตนได้สร้างอาณาจักรและยึดแผ่นดินเป็นเจ้าอาณานิคมในหลายดินแดนทั่วโลก แต่ภาพลวงตาเหล่านี้ค่อยๆ ถูกทำลายไป เห็นได้จากคู่ชิงแชมป์ของเอ็มมา คือเลย์ลาห์ เฟอร์นันเดซ สาวอายุ 19 สัญชาติแคนาดา แต่พ่อเป็นชาวเอกวาดอร์ แม่เป็นชาวฟิลิปปินส์ เช่นเดียวกับเอ็มมา เธอไม่ได้ถือสัญชาติของพ่อหรือแม่
ในรอบหลายปีที่ผ่านมาค่านิยมเสรีนิยมก้าวหน้าในอังกฤษได้สร้างความเท่าเทียม เปิดโอกาสให้ลูกหลานของผู้อพยพที่เรียนหนักและทำงานหนักต่อสู้กับอคติต่างๆ จนประสบความสำเร็จก้าวเข้าสู่ตำแหน่งสำคัญของประเทศ อย่างรัฐมนตรีหลายคนในรัฐบาลของบอริส จอห์นสัน เช่น รัฐมนตรีมหาดไทย คลัง พาณิชย์ ศึกษา สาธารณสุข รวมไปถึงผู้ว่าการกรุงลอนดอนซึ่งเป็นลูกของผู้อพยพเข้ามาทำงานเป็นคนขับรถเมล์ในลอนดอน หนักเอาเบาสู้กับอคติรอบตัว ขยันขันแข็งส่งลูกเรียนจนได้ดี มีการงานดีกว่าเพื่อร่วมรุ่นผิวขาว
นักประพันธ์ชาวอังกฤษชื่อดัง จอร์จ ออร์เวลล์ เคยกล่าวว่า ชาตินิยมเป็นพฤติกรรมของคนกลุ่มหนึ่งที่ถือว่ามนุษย์ควรถูกจัดแบ่งแยกเป็นพวกคนดี พวกคนไม่ดี และที่ร้ายไปกว่านั้นคือพฤติกรรมของมนุษย์กลุ่มนี้ที่มักจะยกตัวเองขึ้นมาเป็นเจ้าของประเทศชาติแต่เพียงผู้เดียว แต่ไม่ยอมรับผิดชอบชั่วดี มุ่งทำอย่างเดียวคือขยายผลประโยชน์ของพวกตน
จอร์จ ออร์เวลล์ยังเตือนด้วยว่า อย่าสับสนระหว่างชาตินิยม (nationalism) กับความรักชาติ (patriotism) เพราะมีผู้คนจำนวนมากที่หลงผิดไม่สามารถแยกความแตกต่างและบางคนก็ใช้สลับกัน เพราะสองคำนี้เป็นอุดมการณ์ที่ต่างกันโดยสิ้นเชิงและเป็นแนวคิดที่บางครั้งก็ขัดแย้งกันเองด้วย
ในความเข้าใจของ ออร์เวลล์ คำว่า patriotism หมายถึงความเชี่อความผูกพันกับถิ่นที่อยู่อาศัยและวิถีชีวิตของถิ่นนั้น โดยเป็นความเชี่อแบบตั้งรับ (defensive) ไม่ก้าวร้าวไม่นิยมใช้ความรุนแรง ไม่มีความมุ่งมาดที่จะบังคับให้ผู้คนอื่นๆ มาเชื่อหรือมาผูกพันให้มีความคิดตามแบบตนเอง แต่ฝ่าย nationalism นั้นเป็นอุดมการณ์ยกชูชาติที่แฝงด้วยแรงปรารถนาถึงความยิ่งใหญ่ ชอบที่จะแสวงหาอิทธิพลและอำนาจเพื่อที่จะไปบีบบังคับให้คนอื่นหันมารับความเชื่อตามแบบที่ตนต้องการ ผู้คนที่เลื่อมใสลัทธิชาตินิยมมักจะสร้างอัตลักษณ์ให้ตนเองโดดเด่นมีอำนาจและไม่ละอายใจที่จะใช้ความรุนแรงกับคนเห็นต่าง บางครั้งถึงขั้นทำลายล้างผลาญกัน
ออร์เวลล์กล่าวด้วยว่า ผู้คนที่ลุ่มหลงในลัทธิชาตินิยมมักจะหิวกระหายอำนาจและมักจะหลอกตัวเองอยู่เสมอ ไม่ซื่อสัตย์ทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น แม้จะมีความจริงและมีหลักฐานที่พิสูจน์ได้ จนถึงมีหลักตรรกะมาหักล้างความเชื่อของเขาอยู่ตรงหน้า แต่พวกเขาก็ยังจะติดหล่มหลงเชี่อในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง ทั้งนี้เพราะพวกเขาผิดหลงไปว่ากำลังรับใช้สิ่งที่ยิ่งใหญ่มากกว่าตัวเขาเอง จึงเชี่อมั่นอย่างไม่เสื่อมคลายว่า พวกเขาต้องเป็นฝ่ายถูกเสมอ [1]
คำอธิบายแยกแยะลักษณะความรักชาติและชาตินิยมของนักประพันธ์อังกฤษผู้โด่งดังตีพิมพ์ออกมาในขณะที่เกิดกระแสชาตินิยมในเยอรมนีและญี่ปุ่น จนนำไปสู่ความขัดแย้งอันเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของมวลมนุษยชาติ มีผู้ก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ และบาดแผลยังคงบาดลึกมาจนถึงทุกวันนี้ แต่ประวัติศาสตร์มักจะซ้ำรอยเสมอ ทุกวันนี้กระแสชาตินิยมในยุโรป อเมริกา และในเอเชียยังคงผุดโผล่มาให้เราเห็นอยู่บ่อยๆ เพราะยังมีผู้คนอีกเป็นจำนวนมากที่เชื่อว่าในความเป็นมนุษย์นั้นพวกตนอยู่ในระดับที่เหนือกว่าหรือชาติตนเหนือกว่าชาติอื่น กระทั่งในชนชาติเดียวกันก็มีความเชื่อที่ว่าพวกตนเท่านั้นเป็นคนดี ส่วนคนอื่นๆ เป็นคนไม่ดีถ้ามีความคิดหรือมองโลกที่แตกต่างไปจากตน
ความคิดเช่นนี้ก็คงไม่ต่างไปจากพวกที่เชื่อว่าหากยืนตรงในโรงภาพยนตร์หรือยืนเคารพธงชาติทุกเช้าจะทำให้พวกตนเป็นคนดีมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่เหนือกว่ามนุษย์คนอื่น เกิดมีอำนาจขึ้นในตัวเองอย่างทันใด สามารถออกไปไล่ล่าทำร้ายร่างกายคนอื่นได้หรือลุแก่อารมณ์ทำผิดกฎหมายใดๆ ก็ได้โดยไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะนึกลำพองใจว่าตนเองกำลังรับใช้สิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก
อิทธิพลทางความคิดจากนักเขียนอย่างออร์เวลล์ และนักปรัชญา ศิลปิน นักกีฬาหัวก้าวหน้าคนอื่นๆ ในเวลาต่อมา อย่างผู้จัดการทีมชาติฟุตบอลอังกฤษ ก็มีส่วนในการเสริมสร้างสิ่งที่เรียกว่า British values คอยทัดทานกระแสชาตินิยมที่โผล่หัวอันน่าเกลียดออกมาเป็นระยะๆ ในขณะเดียวกันสถาบันหลักๆ ของชาติก็พยายามปรับตัวให้เท่าทันกับค่านิยมของโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อย่างเช่นทันทีที่เอ็มมาได้ชัยชนะรอบชิงสร้างประวัติศาสตร์ในเวทีโลก สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่ 2 ทรงมีพระอักษรแสดงความยินดีส่งสารถึงเอ็มมา ตีพิมพ์ในเว็บไซต์ของสำนักพระราชวังบักกิงแฮมว่าพระองค์ชื่นชมความสำเร็จที่เกิดขึ้นจากความมุมานะในขณะที่อายุยังน้อย และถือว่าเอ็มมาจะเป็นตัวอย่างที่จะสร้างแรงบัลดาลใจให้กับเยาวชนรุ่นใหม่ต่อไป
ความสำเร็จอีกก้าวหนึ่งของนักกีฬาที่เป็นลูกของผู้อพยพ ผู้เป็นแรงบัลดาลใจของเยาวชนรุ่นใหม่ๆ ในอังกฤษอีกคนคือ มาร์คัส แรชฟอร์ด ศูนย์หน้าทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ผู้ซึ่งได้รับพระราชทานเครื่องราชย์ MBE จากสมเด็จพระราชินีเมื่อปีที่แล้ว แม้ว่าจะรณรงค์ต่อต้านนโยบายการลดทอนสวัสดิการคนจนของรัฐบาลที่ทำให้นายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสันต้องเสียหน้าและเสียคะแนนเสียงก็ตาม
เมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา คณะกรรมการกำกับดูแลมาตรฐานการเรียนการสอบของอังกฤษ (AQA) ซึ่งเป็นหน่วยงานอิสระมีมติว่าจะให้บรรจุบทบาทและผลกระทบของการใช้สื่อรณรงค์ของมาร์คัส แรชฟอร์ด ลงในหลักสูตรการเรียนการสอบวิชาสื่อสารมวลชนในโรงเรียนระดับมัธยมปลายของอังกฤษ โดยมุ่งไปที่กลยุทธ์ของแรชฟอร์ดในการใช้สื่อสังคมเป็นปากเป็นเสียงให้แก่เด็กนักเรียนยากจนและตอบโต้การดูถูกเหยีดผิวในวงการกีฬา
การรณรงค์จัดหาอาหารกลางวันฟรีให้แก่เด็กนักเรียนในช่วงฤดูปิดภาคเรียนการศึกษา สร้างกระแสตอบรับในสังคมวงกว้างเขย่าฐานเสียงของ ส.ส. ในพื้นที่และทำให้รัฐบาลจำใจต้องปรับเปลี่ยนนโยบบายถึงสองครั้งในหนึ่งปี จึงเป็นเรื่องที่น่าศึกษาว่า ศูนย์หน้าทีมแมนยู ใช้ media profile ของตนแบบใดในการลดปมด้อยของเด็กนักเรียนยากจนที่ต้องไปลงทะเบียนขอรับอาหารกลางวันฟรีที่โรงเรียน โดยใช้ประสบการณ์ชีวิตวัยเด็กของเขาเอง รวมไปถึงวิธีการใช้สื่อสังคมดึงเอาสื่อกระแสหลักลงมารายงานข่าวการรณรงค์ได้อย่างกว้างขวาง ขยายวิธีคิดที่แหลมคมของเขาในวงกว้าง จนเปลี่ยนนโยบายของรัฐบาลได้สำเร็จ
↑1 | George Orwell’s Notes on Nationalism 1945 |
---|