อายุษ ประทีป ณ ถลาง เรื่อง
การที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ…. และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ… มิได้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560
ส่งผลทำให้แรงกดดันที่มีต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และรัฐบาลทหารภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผ่อนคลายลงไปไม่น้อยทีเดียว
โดยเฉพาะกระแสเรียกร้องต้องการให้มีการเลือกตั้ง ที่มีโอกาสสุ่มเสี่ยงให้เกิดการลุกฮือของประชาชน จนอาจนำไปสู่อุบัติเหตุทางการเมืองที่ผู้ปกครองเผด็จการมักจะย่ามใจไม่คาดคิดมาก่อน
จริงอยู่ว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นมาภายใต้สถานการณ์ความเป็นจริงของประเทศที่แตกร้าว ประชาชนแตกแยกทางความคิดอย่างรุนแรง ผู้คนยังไม่มีอารมณ์ความรู้สึกร่วมกันที่จะลุกขึ้นมาต่อต้านทัดทานอำนาจรัฐ แม้จะรู้ว่าไม่มีความชอบธรรมก็ตามที
มีความหวาดระแวงว่าตัวเองจะตกเป็นเครื่องมือของอีกฝ่ายหนึ่ง ทำให้ภาพความเคลื่อนไหวทางการเมืองจำกัดอยู่ในแวดวงคนหน้าเดิม ที่ออกไปให้จับกุมคุมขังกี่ครั้งกี่หนก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเสียที
แต่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียเลย ในท่ามกลางความรู้สึกอึดอัดปราศจากทางออกของประชาชน เช่น ทุกวันนี้ที่หันไปทางไหนก็เจอแต่ปัญหารุมเร้า ว้าเหว่วังเวง ทุจริตคอร์รัปชันไม่เว้นแม้แต่พระสงฆ์องคเจ้า พระราชาคณะระดับเจ้าคุณ เบียดบังโกงกินกันได้แม้กระทั่งอาหารกลางวันสำหรับเด็กนักเรียน ซึ่งเปรียบเสมือนลูกหลานของเรา
ที่อ้างว่าจะคืนความสุขให้กับประชาชนก็กลับไปตกอยู่กับคนส่วนน้อย เฉพาะลำพังแวดวงคณะผู้ปกครองระบอบ คสช. ตลอดจนบริวารว่านเครือ และอภิมหาเศรษฐีไม่กี่ตระกูล เสี่ยไม่กี่คน ทั้งที่ประกอบธุรกิจใหญ่โต และที่ไม่ได้ทำมาค้าขายอะไรทั้งสิ้น
ดังนั้น จึงสมควรอยู่หรอกที่ลูกหลานยุวชนคนรุ่นหลังจะออกมาเคลื่อนไหวกดดันให้เลือกตั้งเสียที
แล้วมีอย่างที่ไหน ตอนยึดอำนาจเขามา ล้มล้างรัฐบาลพลเรือน เคยสัญญาขอเวลาอีกไม่นาน แต่ผ่านมา 4 ปี กลับไม่มีวี่แววความชัดเจนเลยว่าจะคืนอำนาจอธิปไตยให้กับประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศได้เมื่อไรแน่
ผลของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ตลอดจนการออกมาตอกย้ำหลายครั้งหลายหน ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ราวกับกลัวใครเขาจะไม่เชื่อ จึงพอทำให้เริ่มวางใจกันว่า การเลือกตั้งทั่วไปน่าจะมีขึ้นตามโรดแมปที่ระบอบปกครอง คสช. กล่าวอ้างเอาไว้ คือ เดือนกุมภาพันธ์ ปีพุทธศักราช 2561 หรือใกล้เคียง หลังจากเลื่อนแล้วเลื่อนอีกมาหลายครั้งหลายหน
มิทันไร ราวกับผี ปีศาจ หรือฉลามได้กลิ่นคาวเลือด
ทั้งๆ ที่ยังถูกกดหัว ไม่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองโดยอิสระ แต่กลับปรากฏข่าวคราวความเคลื่อนไหวกันอย่างคึกคัก ทั้งพรรค และกลุ่มการเมืองเล็ก-ใหญ่ ใหม่และเก่า
ทว่า น่าสงสัยอยู่ไม่น้อยว่าเนื้อหาสาระของปรากฏการณ์ทางการเมืองที่เห็น ตลอดจนการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้น ซึ่งอยู่ภายใต้เกมที่ระบอบปกครอง คสช. เป็นผู้กำหนด ก่อผลเกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชนประการใดบ้าง นอกเหนือไปจากการได้บำบัดความใคร่ สำหรับบางคนให้สมกับความกระสันอยากเลือกตั้งกันมาหลายปีแล้ว
ได้เข้าคูหาเลือกตั้งหย่อนบัตรลงคะแนนถึงสปัสซั่ม บรรลุจุดสุดยอดไปตามๆ กัน
ในขณะที่นักการเมืองก็ขอเพียงแค่ให้มีการเลือกตั้งทั่วไปเท่านั้นเป็นพอ โดยไม่แยแสสนใจว่ากฎกติกาเป็นอย่างไร ใครเป็นคนกำหนดเกมให้เล่น
ปากกล้าด่าทอบริภาษเผด็จการสาดเสียเทเสีย วิพากษ์วิจารณ์รัฐธรรมนูญไม่เป็นประชาธิปไตย อย่างนั้นอย่างนี้ ร้องแรกแหกกระเชอ เอะอะโวยวายว่า ระบอบ คสช. โดยแม่น้ำทั้ง 5 สายวางแผนการสืบทอดอำนาจ หาบหาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้น
พูดจาฟังดูดี มีหลักการและเหตุผลทุกประการ
แต่กลับพร้อมลงสมัครรับเลือกตั้ง ร่วมอยู่ในเกมที่ตัวเองแสดงความชิงชังรังเกียจ
มีพรรคการเมืองไหน กลุ่มการเมืองใด พอจะเป็นที่หวังพึ่งพาให้กับประเทศชาติและประชาชนได้บ้าง มิพักพูดถึงพรรคการเมืองเก่าที่รู้เช่นเห็นชาติเป็นอย่างดี
ไม่ว่าจะเป็นพรรคเก่าแก่ที่ดีเอาเข้าตัวชั่วโยนให้คนอื่น เพิ่งหันมาวิพากษ์วิจารณ์ระบอบ คสช. และเลือกบอยคอตการเลือกตั้งเฉพาะเมื่อสมประโยชน์กับตัวเอง หรือจะเป็นพรรคเพื่อใครก็ไม่รู้ที่มักจะตะบี้ตะบันใช้อำนาจรัฐโดยไม่ฟังเสียงประชาชน สร้างเงื่อนไขนำไปสู่การรัฐประหารมาครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งถึงตอนนี้ก็ดูเหมือนจะยังมิได้สำนึกสำเหนียกในพฤติกรรมการกระทำของตัวเองแม้แต่น้อย
จะไปหวังพึ่งพาอะไรได้กับพรรคการเมืองใหม่ อย่างพรรคประชาชนปฏิรูป หรือพรรคพลังประชารัฐ ที่ไม่ได้มีความเชื่อมั่นศรัทธาว่าประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยแท้จริง
เช่นเดียวกับพรรครวมพลังประชาชาติไทยที่เริ่มต้นด้วยการตระบัดสัตย์
เพราะนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้นำคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ กปปส. เคยหลั่งน้ำตา ลาออกจาก ส.ส. ไปเคลื่อนไหวนอกสภา นำพาม็อบโค่นล้มรัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และระบอบทักษิณ ประกาศให้ประชาชนคนทั้งประเทศเข้าใจว่า ตัวเองจะไม่กลับมาเล่นการเมืองอีกเป็นเดิมพัน
แต่วันดีคืนเลวกลับมาบีบน้ำตาผลักดันจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นมา เป็นแหล่งชุมนุมของเหล่าบรรดา กปปส. และพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
น่าสนใจไปกับคำปราศรัยของนายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ที่ได้ประกาศตัวเป็นพรรคของพลเมือง ผู้เป็นพสกนิกรที่จงรักภักดี ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ สอดรับกับอุดมการณ์ของพรรคการเมืองดังกล่าวนี้ที่มุ่งเทิดทูนและปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์
คำพูดคำจา การให้สัมภาษณ์เต็มไปด้วยถ้อยคำว่า ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ชุดหนึ่ง กับอีกชุดคือ คำว่าปฏิรูป สามัคคี และประชาชน
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ …
ถ้าหากนายสุเทพถูกกล่าวหาว่าตระบัดสัตย์ อีกคนหนึ่งก็น่าจะถูกตั้งข้อสงสัยถึงความสัตย์ซื่อ หรือทรยศต่ออุดมการณ์ความคิดทางการเมืองของตนเอง
ฤาจะเป็นเทรนด์ใหม่ในยุคปฏิรูปทางการเมือง 2561
เพราะแม้แต่นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของนายทักษิณ ชินวัตร หลานชายคนโปรดของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังขยันหมั่นเผยแพร่การเข้าร่วมกิจกรรมเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ให้ปรากฏอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุดได้เชิญชวนประชาชนสวมใส่เสื้อลายฝีพระหัตถ์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 พร้อมกับเปิดเผยว่า ได้มีโอกาสไปซื้อเสื้อลายฝีพระหัตถ์ และถุงผ้าจากร้านจิตอาสา 904 “ตั้งใจว่าจะส่งไปให้คุณพ่อและอาปู” อีกด้วย
การเมืองไทยในยุคที่หลายคนพูดถึงคำว่าปฏิรูป ดูเหมือนกำลังพัฒนาไปในทิศทางที่น่าจับตายิ่งนัก
บางคนถึงขนาดคิดหวังพึ่งพาว่า วันที่ 22 มิถุนายนจะมีอภินิหารบางอย่าง มาดลใจให้ศาลฎีกามีคำสั่งไปในทิศทางที่ตัวเองคิดฝัน กรณีของคดีที่กลุ่มพลเมืองโต้กลับ รวม 15 คน เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. และนายกรัฐมนตรี กับพวกรวม 5 คน จำเลยในข้อหาความผิดฐานเป็นกบฏ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 113 และศาลอาญายกคำร้องไปก่อนหน้านี้
เพ้อไปถึงขนาดคิดฝันว่า เป็นกรณีของการพิพากษาว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นกบฏ ถูกจับเข้าคุกเข้าตะราง สาแก่ใจไปตามๆ กันในโลกโซเชียลมีเดีย
ฝันกันเป็นตุเป็นตะ ไม่ได้แตกต่างไปจากเมื่อครั้งที่แหงนถ่อ รอกองกำลังสหประชาชาติ กองเรือสหรัฐ มาช่วยเหลือม็อบเสื้อแดงแต่ประการใด
ที่น่าสมเพชเวทนา แทบจะไม่ปรากฏความพยายามใดๆ เลยที่จะอรรถาธิบายให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง
มอมเมามวลชนด้วยความหวังลมๆ แล้งๆ
อนาคตใหม่เห็นอยู่รำไร พร้อมกับอรุณเทพบุตร โพรมิทิอุส และทุนแสนดี ….