เอกศาสตร์ สรรพช่าง เรื่อง
เดือนนี้น่าจะเป็นเดือนแห่งความสุขของคนอังกฤษ เพราะเจ้าชายพระองค์น้อยที่คนอังกฤษและทั่วโลกเห็นมาตั้งแต่พระองค์ประสูติจนเป็นหนุ่มน้อย และมาเป็นหนุ่มใหญ่ กำลังเสกสมรสกับคู่หมั่นนักแสดงชาวอเมริกันเมแกน มาร์เกิล (Meghan Markle)
เราจะไม่คุยกันเรื่องที่มาของความรักของคนทั้งสองนะครับ เพราะคิดว่าน่าจะหาอ่านกันได้เยอะแยะ โดยเฉพาะเมแกนนั้นชีวิตของเธอต้องเสียสละมากพอดูเพราะถูกขุดคุ้ยหนักหนาเอาการ แต่ที่น่าสนใจกว่าเรื่องราวชีวิตรักของทั้งสองก็คือ งานเสกสมรสครั้งนี้มีความสำคัญทางเศรษฐกิจไม่น้อยไปกว่าพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิกก็ว่าได้
ในแง่ของความอลังการของงานแต่งงานครั้งนี้อาจไม่มาก เพราะทั้งราชวงศ์และเจ้าชายแฮรี่มีความประสงค์ให้พิธีเสกสมรสของพระองค์นั้นเรียบง่าย ไม่ต้องใหญ่โต ซึ่งหากดูจากจำนวนแขกที่พระองค์จะเชิญ ที่มีเพียง 500 คนเมื่อเทียบกับงานแต่งงานของดยุคและดัชเชสแห่งเคมบริดจ์ก่อนหน้านี้เมื่อปี 2011 ซึ่งมีถึง 2,000 คนและยิ่งเทียบกับจำนวนแขกของพระบิดาและพระมารดาของพระองค์ (เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์และเจ้าหญิงแห่งเวลส์) ซึ่งเชิญแขกกว่า 5,000 คน ก็คือว่าขนาดของงานนั้นแตกต่างกันมาก
แต่ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ปฎิเสธไม่ได้ว่างานแต่งงานของราชวงศ์อังกฤษกับประเทศอังกฤษนั้นเกี่ยวเนื่องกันแบบแงะกันไม่ออก เพราะสินค้าส่งออกอย่างหนึ่งของอังกฤษที่ยังคงเสน่ห์จนถึงทุกวันนี้ก็คือสินค้าทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ราชวงศ์อังกฤษก็เป็นคุณค่าหนึ่งของประเทศ ที่ทำให้อังกฤษดูมีมนต์ขลังมากกว่าประเทศอื่นๆ ในยุโรป งานเสกสมรสของราชวงศ์จึงเป็นส่วนหนึ่งของความสนใจของผู้คนและประชาชนก็อยากมีส่วนร่วมตลอดมา
แง่หนึ่ง-พิธีเสกสมรสที่ดูเหมือนเป็นเรื่องของคนสองคน หรือของสองครอบครัว ความจริงแล้วไม่ใช่อย่างนั้น งานเสกสมรสเข้าไปเกี่ยวข้องถึงระดับรัฐบาล ที่ต้องดูแลความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกต่างๆ
ตามธรรมเนียมเดิมงานเสกสมรสของราชวงศ์สามครั้งหลังสุด เกิดขึ้นในวันธรรมดา (พระราชพิธีอภิเษกเสกสมรสของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์และเจ้าหญิงแห่งเวลส์ จัดขึ้นในวันพฤหัสบดี ส่วนงานเสกสมรสของดยุคและดัชเชสแห่งเคมบริดจ์นั้นเกิดขึ้นในวันพฤหัสบดี) ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่งานเสกสมรสถูกจัดขึ้นในวันเสาร์และไม่ถูกประกาศเป็นวันหยุด ในแง่หนึ่งนั้นดีกับการท่องเที่ยวและธุรกิจอาหารและผับบาร์ต่างๆ เพราะผู้คนน่าจะออกมาฉลองกันแน่นอน อีกทั้งนักท่องเที่ยวที่วางแผนจะเดินทางมาเพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของพิธีเสกสมรสนี้ ก็อาจตัดสินใจมาได้ง่ายขึ้นโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากประเทศในยุโรปด้วยกันเอง
สื่อในอังกฤษพูดถึงประเด็นนี้ครับว่า การจัดงานในวันเสาร์เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ฟุตบอลนัดสำคัญจะเกิดขึ้นวันนี้เช่นกัน แต่ก็มีคนทักว่าน่าจะดีมากกว่าแย่ เพราะคนน่าจะออกจากบ้านมาเฉลิมฉลอง คึกคักมากกว่าเดิม ซึ่งนั่นก็ยิ่งจะเป็นผลดีกับสินค้าที่ระลึกในงานเสกสมรสที่น่าจะออกมาวางจำหน่ายกันอย่างคึกคัก และรวมถึงธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกัน
ปี 2011 ซึ่งเป็นปีที่ดยุคและดัชเชสแห่งเคมบริดจ์เสกสมรส ธุรกิจเสื้อผ้าและรองเท้าผู้หญิงนั้นได้รับผลบวกจากงานดังกล่าว หน่วยงานที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับธุรกิจค้าปลีกของอังกฤษ British Retail Consortium (BRC) เคยรายงานไว้ว่าช่วงเดือนที่มีงานเสกสมรสของดยุคและดัชเชสแห่งเคมบริดจ์นั้น เดรสทุกชุดและรองเท้าทุกคู่ที่ดัชเชสแห่งเคมบริดจ์สวม (เผื่อคนลืม ดัชเชสแห่งเคมบริดจ์ ก็คือเคท มิดเดิลตั้น) ถูกนำมาทำใหม่ หรือแม้กระทั่งทำเลียนแบบแล้วขาย ซึ่งช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกมียอดการเติบโตที่พุ่งสูงขึ้นในรอบหลายปีซึ่ง BRC ก็คาดการณ์กันว่าก็น่าจะเกิดขึ้นในช่วงของงานเสกสมรสของเจ้าชายแฮรี่และเมแกน มาร์เกิลด้วยเช่นกัน
แม้ว่าจะเป็นงานเสกสมรสที่เล็กๆ แต่สิ่งที่พิเศษกว่าในงานครั้งนี้ก็คือตัวของเมแกนเองซึ่งเป็นหญิงสาวขาวอเมริกัน เธอเป็นหญิงอเมริกันคนที่สองที่เป็นนักแสดงและได้เสกสมรสกับราชวงศ์ในยุโรปต่อจากเกรซ เคลี่ ซึ่งนั่นก็ 62 ปีมาแล้ว ชื่อเสียงที่มีอยู่ไม่น้อยจากการแสดงซีรีส์ Suit ถึง 7 ฤดูกาล และด้วยความที่เธอเป็นลูกผสมหลากหลายเชื่อชาติ เป็นหญิงลูกครึ่งอเมริกันผิวขาวและอเมริกัน-แอฟริกัน เธอเคยพูดถึงเชื้อชาติของเธอว่า “พ่อของฉันเป็นคอเคเซียน (อเมริกันผิวขาว) และแม่ฉันเป็นแอฟริกัน-อเมริกัน…ฉันยอมรับและภูมิใจที่จะบอกว่าฉันคือใคร มาจากไหน เพื่อแสดงตัวว่าฉันเป็นผู้หญิงเลือดผสมที่เข้มแข็งและมั่นใจ” ซึ่งเธอจะเป็นผู้หญิงเลือดผสมคนแรกที่จะเข้าเสกสมรสกับราชวงศ์ที่มีอิทธิพลมากที่สุดและ (ในอดีต) ได้ชื่อว่าเป็นราชวงศ์ที่อนุรักษนิยมมากที่สุดราชวงศ์หนึ่งของโลก (แหม ราวกับตอนหนึ่งของแฮรี่ พอตเตอร์)
ผมคิดว่าน่าจะมีคนอังกฤษหัวอนุรักษนิยมที่ไม่ค่อยชอบใจนัก แต่ในแง่ของรัฐบาลน่าจะแฮปปี้เพราะส่งผลดีกับธุรกิจท่องเที่ยวของอังกฤษ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่มาจากสหรัฐอเมริกา The Association of Leading Visitor Attractions ของอังกฤษรายงานว่าจำนวนนักท่องเที่ยงที่มาจากสหรัฐเพิ่มสูงขึ้นกว่า 17% ตั้งแต่เจ้าชายแฮรี่และเมแกน ประกาศเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ซึ่งน่าจะเพิ่มสูงขึ้นในเดือนนี้อีกแน่นอน
ปรากฏการณ์อย่างนี้ก็เป็นเช่นเดียวกันเมื่อปี 2011 ช่วงปีแห่งการเฉลิมฉลองการครองราชครบ 60 ปีของสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่ 2 (Royal Jubilee) พร้อมๆ กับงานเสกสมรสของดยุคและดัชเชสแห่งเคมบริดจ์ การท่องเที่ยวของอังกฤษถึงกับทำเคมเปญเพื่อโปรโมท “ปีแห่งการเฉลิมฉลองของอังกฤษ” โดยใช้งบประมาณกว่า 100 ล้านปอนด์ (ราว 4 พันล้านบาท) เพื่อการประชาสัมพันธ์ แต่ผลที่ได้ก็คุ้ม เพราะเคมเปญนี้สามารถสร้างรายได้ที่มาจากการท่องเที่ยวอย่างมากมาย
ตัวเลขของนักท่องเที่ยวเฉพาะเดือนที่มีงานเสกสมรสนั้นเพิ่มขึ้น 350,000 คน นักท่องเที่ยวตลอดทั้งปีเพิ่มขึ้น 800,00 คน แถมยังเป็นแรงส่งอย่างดีให้กับโอลิมปิกที่จัดขึ้นที่ลอนดอน ในปี 2012 เรียกว่าเป็นขาขึ้นของธุรกิจการท่องเที่ยวของอังกฤษก็ว่าได้ รวมๆ แล้วงานแต่งงานของดยุคและดัชเชสแห่งเคมบริดจ์สามารถสร้างรายได้ให้กับอังกฤษไม่น้อยกว่า 2,000 ล้านปอนด์ (ราว 88,000 ล้านบาท)
คนอังกฤษตั้งแต่เจ้าของร้านที่ระลึกไปจนถึงนายกรัฐมนตรี ลึกๆ เชื่อว่าทุกคนคาดหวังว่าว่าสำหรับเจ้าชายแฮร์รี่และเมแกนน่าจะคงสามารถสร้างแรงส่งให้กับเศรษฐกิจของอังกฤษได้ไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะเมื่อมองถึงความเป็นคนอเมริกันและความเป็นนักแสดงของเมแกน
ราชวงศ์อังกฤษใช้เวลาไม่ถึงครึ่งศตวรรษ เปลี่ยนภาพลักษณ์ให้เข้าถึงง่ายขึ้น จากราชวงศ์ผู้ห่างเหินและไว้ตัว กิจกรรมของราชวงศ์ดูห่างไกลและไม่ได้เป็นสิ่งที่น่าพิศมัยหรือเป็นมหกรรมระดับโลกอย่างนี้ (ยกตัวอย่างงานเสกสมรสของเจ้าชายแอนดรูว์และซาร่า เฟอร์กูสัน ในปี 1985 งานแต่งคราวนั้นแทบไม่ได้มีผลอะไรกับเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรเท่าไหร่นัก ทั้งๆ ที่ซาร่า เฟอร์กูสันเป็นนักประชาสัมพันธ์ชื่อดังขณะนั้น)
ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าการเสียชีวิตของเจ้าหญิงไดอาน่า ถือเป็นจุดเปลี่ยนอย่างแท้จริง ท่าทีที่เปิดกว้างขึ้นทั้งการยอมรับพระชายาใหม่ของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ คามิลลา ปาร์กเกอร์ ดัชเชสแห่งคอร์นวอล การทำงานการกุศลอย่างทุ่มเทของเจ้าชายวิลเลี่ยมและเจ้าชายแฮรี่ อีกทั้งการเปิดกว้างให้ประชาชนได้เข้าถึงราชวงศ์มากขึ้น ถือเป็นกุศโลบายอย่างที่แยบยลในการต่อลมหายใจและเพิ่มคุณค่าสถาบันกษัตริย์ พูดได้ว่าสถานภาพของสถาบันกษัตริย์ของอังกฤษนั้นเกือบจะเป็นแขนงหนึ่งของป๊อปคัลเจอร์ไปแล้วก็ว่าได้