แทบทุกครั้งที่เราเห็นข่าวอาชญากรรมสะเทือนขวัญ ก็มักได้ยินเสียงเรียกร้องให้ลงโทษผู้ก่อเหตุในระดับที่เขาหรือเธอผู้นั้นไม่มีโอกาสลืมตาอ้าปากในสังคม ตัวอย่างเช่นคดีข่มขืนซึ่งคนจำนวนไม่น้อยมองว่ามีโทษเบาเกินไป จนนำไปสู่การเรียกร้องให้ “ข่มขืนเท่ากับประหาร” บนโลกออนไลน์
กระแสดังกล่าวได้รับการตอบรับอย่างดีในสภาฯ โดยมีการประกาศพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญาว่าด้วยเรื่องการกระทำชำเรา เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2562 โดยเพิ่มโทษการก่อคดีข่มขืนสูงสุดเป็นการประหารชีวิต หากเหยื่อผู้ถูกกระทำถึงแก่ความตาย
แต่เราเคยตั้งคำถามกับตัวเองไหมครับว่า เราคาดหวังอะไรจากการเพิ่ม ‘บทลงโทษ’ ต่ออาชญากรผู้กระทำความผิดต่อกฎหมายบ้านเมือง?
บางคนอาจตอบอย่างตรงไปตรงมาว่าอาชญากรเหล่านั้นทำผิดร้ายแรงและควรรับโทษให้สมน้ำสมเนื้อ บางคนมองว่าโทษที่เพิ่มขึ้นจะสร้างความเป็นธรรมแก่เหยื่อ บางคนก็อาจเสนอเพื่อความสะใจ แต่เสียงส่วนใหญ่จะเทไปทางเหตุผลที่ว่า เพื่อให้เกิดความ ‘เกรงกลัวต่อกฎหมาย’ ซึ่งจะช่วยป้องปรามไม่ให้เกิดเหตุอาชญากรรมเช่นนี้อีกในอนาคต
‘การป้องปราม (Deterrence)’ คือเป้าหมายในอุดมคติของระบบกฎหมาย เพราะหากการป้องปรามได้ผล นอกจากสังคมจะมีความสงบร่มเย็นเพิ่มขึ้นแล้ว ภาครัฐยังไม่ต้องแบกรับต้นทุนมหาศาลเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรม ไม่ว่าจะเป็นการตามจับ พิจารณาคดี ไปจนถึงค่าใช้จ่ายในเรือนจำ
ตามแบบจำลองเศรษฐศาสตร์คลาสสิค การเพิ่มโทษคือแนวทางหนึ่งที่จะทลายแรงจูงใจไม่ให้เกิดอาชญากรหน้าใหม่ในอนาคต อย่างไรก็ดีหลักฐานเชิงประจักษ์กลับสวนทางกับข้อค้นพบดังกล่าว โดยมีสาเหตุสำคัญคือ อาชญากรส่วนใหญ่ไม่ได้เป็น ‘เศรษฐมนุษย์’ ผู้ซึ่งตัดสินใจกระทำการบางอย่างโดยใช้เหตุผลเป็นตัวตั้ง แต่เป็นปุถุชนคนธรรมดาที่การกระทำหลายต่อหลายครั้งเกิดจากความไม่ยับยั้งชั่งใจ
อ่านอาชญากรด้วยแบบจำลองเศรษฐศาสตร์
แกรี เบกเกอร์ (Gary Becker) นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลผู้วางรากฐานแบบจำลองเศรษฐศาสตร์ว่าด้วยการตัดสินใจก่ออาชญากรรมโดยมีผลงานชิ้นสำคัญเพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรมของอาชญากรซึ่งตีพิมพ์ตั้งแต่ราว 50 ปีก่อน โดยใช้สมมติฐานพื้นฐานของเศรษฐศาสตร์สำนักนีโอคลาสสิคว่าด้วยมนุษย์เป็นผู้มีเหตุมีผล
แบบจำลองของเบกเกอร์มองการตัดสินใจก่ออาชญากรรมคล้ายกับการตัดสินใจเล่นพนัน โดยมนุษย์จะชั่งน้ำหนักระหว่างผลประโยชน์ ต้นทุน และความไม่แน่นอนก่อนเลือกว่าจะกระทำการหรือไม่ หากประโยชน์ที่ได้รับมากกว่าต้นทุนที่ต้องจ่าย มนุษย์ผู้มีเหตุมีผลย่อมตัดสินใจก่ออาชญากรรม
ผลประโยชน์จากการก่ออาชญากรรมมีความหลากหลายขึ้นอยู่กับประเภทของคดีที่ก่อ บ้างเป็นการกระทำเพื่อเงิน เช่นการปล้นชิงทรัพย์ บ้างเป็นการสนองความต้องการทางใจ เช่นความรู้สึกคึกคะนอง การยอมรับในหมู่เพื่อน หรือการแก้แค้นเอาคืน บ้างเป็นการสนองตัณหาของผู้กระทำ เช่นการข่มขืน ปัจเจกชนแต่ละบุคคลย่อมให้ค่าผลประโยชน์เหล่านี้แตกต่างกันไป ซึ่งเป็นค่านิยมที่รัฐไม่สามารถเข้าไปยุ่มย่ามได้
ส่วนต้นทุนของการก่ออาชญากรรมมีตั้งแต่ค่าวัสดุอุปกรณ์ เช่นอาวุธ หรือต้นทุนทางจิตใจอย่างความรู้สึกผิด ความกระวนกระวาย หรือความหวาดกลัว และยังรวมถึงต้นทุนค่าเสียโอกาส ซึ่งหมายความว่า แทนที่จะเอาเวลาไปทำงานสุจริตก็ต้องใช้เวลานั้นวางแผน กระทำการ รวมถึงกลบเกลื่อนอาชญากรรมที่ตนเองก่อ
แต่ต้นทุนรัฐสามารถกำหนดได้ผ่านกระบวนการยุติธรรม คือ ‘ต้นทุนที่คาดหากอาชญากรถูกลงโทษ’ ซึ่งสามารถแบ่งประเภทได้เป็นต้นทุนทางตรง ได้แก่เม็ดเงินในกรณีที่ต้องเสียค่าปรับ หรือราคาของการสูญเสียอิสรภาพหากต้องติดอยู่หลังตาราง ส่วนต้นทุนทางอ้อมคือ ‘ตราบาป’ ในฐานะอดีตอาชญากรผู้พ้นโทษซึ่งอาจเผชิญกับการเลือกปฏิบัติจากครอบครัว เพื่อน และนายจ้าง อีกทั้งยังส่งผลต่อรายได้หลังจากพ้นโทษอีกด้วย
อย่างไรก็ดี ต้นทุนไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อมก็ต้องถูกถ่วงน้ำหนักด้วย ‘ความน่าจะเป็น’ ที่คนร้ายจะถูกจับ ดำเนินคดี และลงโทษ ดังนั้น หากโทษของการก่ออาชญากรรมคือจับคุก 10 ปี อาชญากรมืออาชีพที่มีโอกาสถูกจับเพียง 5 เปอร์เซ็นต์ย่อมมีต้นทุนที่ต้องจ่ายต่ำกว่าอาชญากรมือสมัครเล่นที่มีโอกาสถูกจับ 50 เปอร์เซ็นต์
จากแบบจำลองดังกล่าว รัฐมี 3 ทางเลือกในการ ‘ป้องปราม’ ไม่ให้ประชาชนผันตัวไปเป็นอาชญากร ทางเลือกแรกก็คือการเพิ่มต้นทุนทางตรง โดยการเพิ่มโทษปรับและจำคุกให้รุนแรงยิ่งขึ้น ทางเลือกที่สองคือเพิ่มโอกาสในการถูกจับกุมและดำเนินคดีผ่านการเพิ่มประสิทธิภาพหรืองบประมาณหน่วยงานด้านการบังคับใช้กฎหมาย และทางเลือกสุดท้ายคือการเพิ่มต้นทุนค่าเสียโอกาส โดยลดอัตราการว่างงาน เพิ่มสวัสดิการ และให้ความสำคัญกับสิทธิแรงงาน เพื่อจูงใจให้คนทำอาชีพสุจริต
เบกเกอร์ให้บทสรุปว่า ทางเลือกที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการป้องปรามอาชญากรรม คือระบบยุติธรรมที่โอกาสในการถูกจับกุมต่ำ แต่บทลงโทษรุนแรง โดยให้เหตุผลว่าการที่จะเพิ่มความน่าจะเป็นในการถูกจับกุมและลงโทษนั้น สังคมต้องลงทุนเป็นเม็ดเงินมหาศาล ทั้งการใช้งานตำรวจ ทนายความ ผู้พิพากษา และอีกสารพัด ซึ่งต้นทุนส่วนเพิ่มนี้อาจถูกนำไปหักกลบลบกันกับผลประโยชน์ที่ได้รับจากอาชญากรรมที่สามารถป้องปรามได้ ต่างจากการกำหนดบทลงโทษที่รุนแรง ซึ่งดำเนินการง่ายกว่าและต้นทุนต่ำกว่า โดยที่ผลลัพธ์ของ ‘ต้นทุนที่คาดหากอาชญากรถูกลงโทษ’ มีค่าเท่ากัน
คนจำนวนไม่น้อยโดยเฉพาะฝ่ายอนุรักษ์นิยมมักเห็นดีเห็นงามกับข้อเสนอดังกล่าว แต่หลักฐานเชิงประจักษ์หลายต่อหลายชิ้นชี้ผลลัพธ์ในการป้องปรามจากการเพิ่มโทษไปคนละทิศละทาง โดยยังหาข้อสรุปไม่ได้ ต่างจากการเพิ่มกำลังตำรวจ หรือการเพิ่มโอกาสในตลาดแรงงานซึ่งช่วยลดอัตราการเกิดอาชญากรรมได้อย่างชัดเจน
เข้าใจอาชญากรด้วยแนวคิดเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม
การศึกษาชิ้นหนึ่งใช้วิธีทบทวนวรรณกรรมตลอด 20 ปี เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างการก่ออาชญากรรมกับ 3 ปัจจัยในการป้องปราม ได้แก่อัตราโทษ การเพิ่มกำลังตำรวจ และโอกาสทางเศรษฐกิจในตลาดแรงงาน
สำหรับปัจจัยเรื่องอัตราโทษผลการศึกษาเชิงประจักษ์ยังไร้ข้อสรุป โดยมีการศึกษาจำนวนหนึ่งพบว่าการเพิ่มโทษภายใต้บริบทที่จำเพาะเจาะจง เช่น กฎหมายลงโทษหนักหากกระทำผิดครั้งที่สาม (Three-strikes Law) ซึ่งมีการบังคับใช้ในบางรัฐของสหรัฐอเมริกา โดยระบุว่าผู้ก่ออาชญากรรมร้ายแรงต่อเนื่องเป็นครั้งที่สามจะต้องได้รับโทษขั้นต่ำคือจำคุกอย่างน้อย 25 ปีถึงจำคุกตลอดชีวิต การศึกษาพบว่ากฎหมายดังกล่าวมีประสิทธิผลในการป้องปรามไม่ให้อาชญากรที่กระทำผิดสองครั้งตัดสินใจกระทำผิดครั้งที่สาม
หากพิจารณาในมุมมองของกรณีทั่วไป สหรัฐอเมริกาได้ทำการทดลองครั้งใหญ่โดยเพิ่มโทษทั้งการปรับและจำคุกตั้งแต่ราว 40 ปีก่อน แต่ผลลัพธ์ในกลับไม่เป็นไปตามที่แบบจำลองทำนาย เพราะรัฐบาลกลับมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับจำนวนผู้ต้องขังที่ก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ในทางกลับกัน งานวิจัยหลายชิ้นต่างเห็นพ้องต้องกันว่า การเพิ่มจำนวนตำรวจและการกระจายหน่วยลาดตระเวนจะสามารถป้องปรามการก่ออาชญากรรมได้อย่างมีประสิทธิผล นอกจากนี้ มีการศึกษาเชิงทดลองโดยปรับกลยุทธ์การลาดตระเวนของตำรวจให้เน้นไปที่พื้นที่เสี่ยงซึ่งอาจเกิดอาชญากรรม รวมถึงเน้นการป้องปรามมากกว่าจับกุม ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้คือจำนวนคดีละเมิดในพื้นที่ดังกล่าวลดลงอย่างมาก เช่นเดียวกับโอกาสในตลาดแรงงาน การศึกษาส่วนใหญ่ต่างค้นพบข้อสรุปเดียวกันว่าอัตราการว่างงานจะขยับไปในทิศทางเดียวกับอัตราการเกิดอาชญากรรม ส่วนค่าจ้างนั้นคือตัวแปรสำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจก่ออาชญากรรม
สงสัยไหมครับว่าทำไมแบบจำลองของเบกเกอร์ถึงทำนายพฤติกรรมของอาชญากรได้ไม่แม่นยำ?
คำตอบแบบกำปั้นทุบดินก็คือ มนุษย์ที่หายใจอยู่บนโลกแตกต่างจากมนุษย์ในแบบจำลองแบบฟ้ากับเหว นักเศรษฐศาสตร์รุ่นหลังจึงพยายาม ‘ผ่อนคลาย’ สมมติฐานที่ว่ามนุษย์นั้นมีเหตุมีผลซึ่งจะชั่งตวงวัดอย่างถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจ แล้วเพิ่มมิติด้านพฤติกรรมมนุษย์เข้าไปในแบบจำลอง เกิดเป็นสำนักใหม่ที่เราคุ้นหูในระยะหลังคือ ‘เศรษฐศาสตร์พฤติกรรม’ โดยมีปัจจัยสำคัญคืออัตราคิดลดในหัวของอาชญากร
‘อัตราคิดลด (Discount Rate)’ เป็นแนวคิดสำคัญในแวดวงเศรษฐศาสตร์และการเงินบนพื้นฐานที่ว่า เงินในแต่ละช่วงเวลานั้นมีมูลค่าแตกต่างกัน เช่น การได้เงิน 100 บาทในวันนี้จะมีค่ามากกว่าการได้เงิน 100 บาทในอีกสิบปีข้างหน้า จากปัจจัยเรื่องค่าเสียโอกาส เงินเฟ้อ หรือความเสี่ยง การตัดสินใจที่อาจส่งผลระยะยาวจึงต้องคิดลดมูลค่าทั้งต้นทุนและผลประโยชน์ในอนาคตให้กลายเป็นมูลค่าปัจจุบัน แล้วจึงนำมาหักกลบลบกันเพื่อประกอบการตัดสินใจ
แบบจำลองนีโอคลาสสิคมองอัตราคิดลดดังกล่าวเป็นค่าคงที่ แต่ในทางจิตวิทยา คุณลักษณะหนึ่งที่อาชญากรมีร่วมกันคือการขาดความยับยั้งชั่งใจ ผู้ที่มีโอกาสก่ออาชญากรรมสูงมักเป็นกลุ่มที่ไม่สามารถควบคุมตนเองได้ซึ่งมักจะมองเห็นประโยชน์และต้นทุนที่อยู่ตรงหน้าโดยไม่สนใจผลพวงที่จะตามมาในอนาคต นักเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมมองว่าคนกลุ่มนี้จะมีการคิดลดแบบ ‘ไฮเปอร์บอลิค’ (Hyperbolic Discounting) ที่อัตราคิดลดจะพุ่งสูงขึ้นอย่างมากเมื่อเวลาผ่านไป
ดังนั้น การเพิ่มโทษจำคุกจาก 15 ปี เป็น 25 ปี อาจไม่ส่งผลต่อการตัดสินใจแต่อย่างใด เพราะต้นทุนดังกล่าวถูก ‘คิดลด’ จนแทบไม่หลงเหลือถึงปัจจุบัน ต่างจากต้นทุนที่กองอยู่ตรงหน้า เช่น รายได้จากการทำงานสุจริตที่จะต้องสูญเสียไปหากผันตัวไปเป็นอาชญากร จึงไม่น่าแปลกใจที่ในภาวะเศรษฐกิจดี เราจะพบอัตราการเกิดอาชญากรรมที่ต่ำลง
ส่วนผลลัพธ์ด้านการป้องปรามจากการเพิ่มกำลังตำรวจและการลาดตระเวนในพื้นที่เสี่ยง สามารถอธิบายได้โดย ‘อคติจากความเด่น (Salience Bias)’ เพราะมนุษย์ปุถุชนจะจดจำสิ่งที่โดดเด่นออกจากสิ่งแวดล้อมปกติ เช่น หากเราพบเห็นตำรวจตามสถานที่ต่างๆ ก็อาจตีความได้ว่า ความน่าจะเป็นที่จะถูกจับกุมหากก่ออาชญากรรมสูงขึ้น โดยอาจสูงกว่าสถิติจริงๆ ด้วยซ้ำ ทำให้เราตัดสินใจไม่ก่ออาชญากรรม เพราะต้นทุนที่คาดมีค่าสูงขึ้นนั่นเอง
ดังนั้น การเพิ่มโทษให้หนักขึ้นแล้วหวังว่าจะช่วยป้องปรามไม่ให้เกิดอาชญากรรมซ้ำสอง แม้จะดูเป็นเหตุเป็นผลในทางทฤษฎี แต่ในทางปฏิบัตินั้น มนุษย์ไม่ได้เป็นสิ่งทรงภูมิปัญญาที่มีความสามารถในการประมวลผลแบบไร้ขีดจำกัด หลายครั้งที่การตัดสินใจเกิดจากอารมณ์ชั่ววูบ การเพิ่มโทษทัณฑ์ที่จะสร้างผลกระทบในอนาคตอันไกลแสนไกล อาจไม่ทำให้อาชญากรเลือดร้อนเปลี่ยนใจมาทำอาชีพสุจริต
ในทางกลับกัน ทางที่ดีที่สุดในการป้องปรามการก่ออาชญากรรม รัฐควรยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานและดูแลการจ้างงานโดยเฉพาะผู้ตกงานหรือผู้มีรายได้น้อย รวมถึงเพิ่มความเข้มข้นในการทำงานของตำรวจบริเวณที่เสี่ยงต่อการเกิดเหตุร้าย แน่นอนว่านโยบายเหล่านี้อาจไม่เร้าใจหรือเรียกคะแนนนิยมได้เท่ากับการแก้กฎหมายเพื่อเพิ่มโทษให้รุนแรง แต่ทางเลือกที่ฟังดูแสนน่าเบื่อนี่แหละครับที่มีประสิทธิผลที่สุดในรักษาความสงบเรียบร้อยในสังคม
ตัวอย่างการคำนวณการตัดสินใจของอาชญากร
สมมติว่านาย ป. ทำอาชีพรับจ้างอิสระที่เผชิญภาวะเศรษฐกิจซบเซา จนต้องมองหาลู่ทางผิดกฎหมายเพื่อประทังชีพ เขาคิดว่าจะทำการวิ่งราวนาฬิกาหรูซึ่งสามารถนำไปขายในตลาดมืดได้เรือนละ 400,000 บาท โดยมีโอกาสทำสำเร็จ 80 เปอร์เซ็นต์ เขาคาดว่ามีโอกาสถูกจับประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ ถ้าถูกจับ เขาจะต้องถูกจับคุก 5 ปี ซึ่งจะทำให้เขาสูญเสียรายได้จากงานสุจริตไป 300,000 บาท (เดือนละ 5,000 บาท) นอกจากนี้ เขายังต้องสูญเสียโอกาสอยู่กับคนรักและลูกน้อยคิดเป็นมูลค่าปัจจุบัน 1,000,000 บาทหลังจากเขาพ้นโทษ การที่เขาเคยเป็นผู้กระทำผิดอาจทำให้รายได้ในอนาคตลดลงคิดเป็นมูลค่าปัจจุบันราว 1,500,000 บาท
ในหัวของนาย ป. สามารถคำนวณมูลค่าสุทธิเพื่อประกอบการตัดสินใจได้ดังนี้
ผลประโยชน์: 400,000 x 80% = 320,000 บาท
ต้นทุน: (300,000 + 1,000,000 + 1,500,000) x 10% = 280,000 บาท
ดังนั้นการก่ออาชญากรรมของนาย ป. จะได้ประโยชน์สุทธิเท่ากับ 320,000 – 280,000 = 40,000 บาท หากนาย ป. เป็นมนุษย์ผู้มีเหตุมีผลย่อมเตรียมพร้อมเดินหน้าวางแผนขโมยนาฬิกาหรู
จากสมการเราจะเห็นว่ารัฐสามารถป้องปรามไม่ให้นาย ป. ก่ออาชญากรรมโดยการเพิ่มต้นทุน ไม่ว่าจะการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำหรือสวัสดิการให้แก่ผู้มีรายได้น้อย การเพิ่มโทษ หรือการเพิ่มอัตราการถูกจับกุม ซึ่งหากเพิ่มมากเพียงพอ ก็จะทำให้นาย ป. เปลี่ยนใจไปประกอบอาชีพสุจริตต่อไปนั่นเอง