ชลธร วงศ์รัศมี เรื่อง
ติดตาม Dust Atlas ตอนแรกของซีรีส์ทางของฝุ่น ได้ที่ Dust Atlas: ทางของฝุ่น PM 2.5 ตอนที่ 1 “ฝุ่นและราคาชีวิตคนไทย”
ฝุ่นมีสองชนิด คือฝุ่นตามธรรมชาติและฝุ่นที่มนุษย์สร้างขึ้น
ฝุ่นเนบิวลา ฝุ่นดวงจันทร์ ฝุ่นทะเลทราย ฝุ่นวงแหวนดาวเสาร์ ฝุ่นละอองเกสรดอกไม้ เกสรหญ้า สปอร์จากเห็ดราที่เกิดขึ้นตามฤดูกาล ฯลฯ เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ฝุ่นที่เราจะติดตามการเดินทางนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ลมหรือพายุอาจช่วยพัดพาฝุ่นที่เกิดจากภาคธรณีของโลกให้มีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ แต่ถ้าเป็นฝุ่นละเอียด (fine dust) ที่ชื่อว่า PM 2.5 แล้ว ส่วนใหญ่ล้วนถูกคายทิ้งจากวิถีชีวิตมนุษย์
โทษประหารของลอนดอน
บันทึกเก่าแก่ที่สุดเท่าที่พบ บอกว่าฝุ่นละเอียดจากฝีมือมนุษย์ครั้งแรกๆ อาจมาจากการเผาไหม้ถ่านหิน
นักโบราณคดีเชื่อว่าราว 2,500 ปีก่อนคริสตกาล ชาวบาบิโลเนียนได้ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงแทนไม้ และ 1,000 ปีก่อนคริสตกาล ชาวจีนเป็นชาติแรกที่ทำเหมืองถ่านหินและขุดบ่อก๊าซธรรมชาติลึกนับร้อยเมตรสำเร็จ
แต่ชาติที่ทำให้คนทั้งโลกต้องพลิกแผ่นดินขุดหาถ่านหิน เพราะเห็นตัวอย่างการนำถ่านหินมาใช้ในชีวิตประจำวันอย่างแพร่หลาย คือสหราชอาณาจักร
ในปี 1272 มีบันทึกว่า ชาวลอนดอนไม่พอใจปัญหาหมอกควัน จนทำให้พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 แก้ปัญหาด้วยการลงโทษประหารชีวิตหากมีการเผาถ่านหินเกิดขึ้น แต่มาตรการดังกล่าวกลับไม่เป็นผล เพราะประชาชนที่ไม่มีทางเลือกอื่นเพื่อสร้างความอบอุ่นนอกจากนำถ่านหินมาเผาไฟ
ปี 1952 เกิดห้าวันแห่งหายนะของมหานครลอนดอน เมื่อหมอกสีเหลืองสกปรกปกคลุมทั่วลอนดอน ในยุคนั้น ลอนดอนขับเคลื่อนทุกอย่างด้วยถ่านหินคุณภาพต่ำที่มีปริมาณกำมะถันหรือซัลเฟอร์ไดออกไซด์อยู่สูง โดยใช้เป็นทั้งแหล่งกำเนิดกระแสไฟฟ้า เชื้อเพลิงในเครื่องจักรไอน้ำ และใช้ในเครื่องทำความร้อนในบ้าน
ถ่านหินเหล่านี้มีส่วนประกอบของซัลเฟอร์ไดออกไซด์ คาร์บอนไดออกไซด์ ไนโตรเจนออกไซด์ และสารพิษต่างๆ ซึ่งถูกปลดปล่อยออกมาตามปกติ แต่หย่อมความกดอากาศสูงที่เคลื่อนเข้าปกคลุมเหนือกรุง ลอนดอนช่วงนั้นยาวนานผิดปกติ ทำให้อากาศและสารพิษต่างๆ ถูกกดกักไว้ให้เคลื่อนตัวขึ้นสู่ท้องฟ้าด้านบนไม่ได้ คร่าชีวิตผู้คนมากถึง 12,000 คน เหตุการณ์นี้ได้ชื่อว่า “Great Smog of London”
หนังสือ Death in the air ซึ่งรวบรวมภาพถ่ายจากเหตุการณ์ดังกล่าว กล่าวถึงเหตุการณ์ว่าบางคนสิ้นลมหายใจในเตียงนอนของตัวเอง สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดเกี่ยวกับหมอกสังหารครั้งนี้คือคนที่ได้รับสัญญาณเตือนคนแรก ไม่ใช้นักการเมือง นักข่าว หรือแม้กระทั่งหมอ ทุกคนต่างคิดว่านี่คือหมอกทึบทึมอีกครั้งหนึ่ง เหมือนที่ลอนดอนเคยเจอมาตลอดหลายร้อยปี มีเพียงสัปเหร่อที่รู้สึกได้ว่าเขาต้องทำงานหนักจนผิดสังเกต
โรสแมรี ซาเจน เด็กหญิงอายุ 13 ปี ในขณะนั้นเป็นคนหนึ่งที่รอดชีวิตมาเล่าเหตุการณ์ ละแวกบ้านของโรสแมรีเป็นที่อยู่ของผู้ใช้แรงงานที่ถูกระเบิดจากช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเมื่อเยอรมนีบุกอังกฤษ สงครามทำให้พ่อของเธอต้องจากลูกไปเป็นทหาร และกลับมาพร้อมปอดที่เสียหายจากผลการสู้รบ เมื่อหมอกครั้งนี้ปกคลุมลอนดอน พ่อของโรสแมรีเริ่มทุรนทุราย เธอและแม่ไปหาหมอเพื่อขอยาไนโตรกลีเซอรินป้องกันอาการเจ็บหน้าอกด้วยภาวะหัวใจขาดเลือด แต่ระหว่างทางกลับบ้าน พ่อของเธอหมดลมหายใจลง หลังป่วยอยู่ในห้องนั่งเล่นในบ้านหลังเล็กๆ ของพวกเขาราวสองสัปดาห์
ปัญหามลพิษทางอากาศยังอยู่คู่กับอังกฤษต่อมา ท้องฟ้าซึมเซาที่ทำให้คนอังกฤษหดหู่ในฤดูหนาวไม่ได้เกิดจากธรรมชาติเท่านั้น แต่เกิดจากฝุ่นถ่านหินที่ช่วยสร้างความเกรียงไกรและแสนยานุภาพให้อังกฤษ ถ่านหินส่งให้อังกฤษเป็นผู้นำการปฏิวัติอุตสาหกรรม บุกเบิกการคมนาคม ถลุงเหล็กกล้าให้กลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานและหลอมอาวุธมาสู่กองทัพ ทว่าต้องแลกกับอากาศเลวร้ายเป็นเวลานับศตวรรษ
ด้วยประวัติศาสตร์ฝุ่นในอังกฤษ จึงไม่น่าแปลกใจที่คำว่าหมอกพิษ (smog) เกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศอังกฤษ เมื่อนายแพทย์อ็องรี อ็องตวน เดเวอ ซึ่งอาศัยอยู่ในกรุงลอนดอน ได้เข้าร่วมการประชุมเกี่ยวกับมลภาวะทางอากาศในปี 1905 และนำคำว่า smoke มารวมกับคำว่า fog หนังสือพิมพ์ Daily Graphic ใช้คำนี้ทันทีในวันรุ่งขึ้น และกลายเป็นคำที่ทั่วโลกใช้ในเวลาต่อมา
ยุคแห่งแสงไฟของเอดิสัน
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง พลังงานเชื้อเพลิงที่ใช้ในอเมริกามาจากถ่านหินถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ทศวรรษ 1880 อเมริกาใช้ถ่านหินเป็นแหล่งกำเนิดพลังงานในอุตสาหกรรมต่างๆ ขณะที่ประเทศอื่นบุบสลายจากสงครามโลก อเมริกาที่อยู่ห่างไกลเคลื่อนไปข้างหน้า
ปลายศตวรรษที่ 19 โทมัส เอดิสัน พัฒนาหลอดไฟฟ้าใช้ตามบ้านเรือนได้สำเร็จ ทำให้อเมริกาก้าวเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ เอดิสันเริ่มธุรกิจโดยนำหลอดไฟไปขายให้เทศบาลเพื่อนำไปทำเสาไฟข้างทาง ในที่สุดผู้คนทั่วโลกก็ต้องกล่าวถึงความสว่างไสวของอเมริกา
อเมริกาใช้ถ่านหินผลิตไฟฟ้าให้แสงสว่าง ใช้เดินรถรางในเมือง ขับเคลื่อนลิฟต์ในตึกสูง และหมุนเครื่องจักรในโรงงาน ปี 1899 สหรัฐอเมริกาประเทศเดียวผลิตถ่านหินเป็นจำนวน 32 เปอร์เซ็นต์ของถ่านหินที่ผลิตได้ทั้งโลก ถ่านหินให้กำเนิดอุตสาหกรรมรถยนต์ในอเมริกาและทำให้ในปี 1903 ลอสแองเจลิสกลายเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุด
เมื่อเวลาเดินทางมาถึงปี 1943 ใจกลางห้วงเวลาของสงครามโลกครั้งที่ 2 ในลอสแองเจลิส มีผู้คนราว 400 คนเสียชีวิตจากหมอกควันปริศนา ชาวอเมริกันเชื่อกันว่าญี่ปุ่นโจมตีอเมริกาด้วยอาวุธทางเคมี ก่อนที่นักวิทยาศาสตร์ต้องใช้เวลาหลายปีต่อมากว่าจะพิสูจน์ได้ว่าหมอกควันที่คร่าชีวิตพวกเขาเหล่านั้นเกิดจากยานพาหนะและโรงงานอุตสาหกรรมของพวกเขาเอง
แล้วฝุ่นก็ได้ก้าวมาอีกขั้น จากฝุ่นถ่านหินธรรมดาๆ ทำปฏิกิริยากับอากาศตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นในลอนดอนจนเกิดหมอกพิษ ฝุ่นที่เกิดขึ้นในลอสเอนเจอลิสเรียกได้ว่าเป็น “ฝุ่นโฟโตเคมี” ซึ่งเกิดจากก๊าซไอเสียจากโรงงานที่มีโลหะหนัก เช่น อะลูมิเนียม ทองแดง ตะกั่ว ควันรถที่มีไนโตรเจนออกไซด์ และสารอินทรีย์ระเหย (Volatile Organic Compounds : VOCs) ทำปฎิกิริยาโฟโตเคมีกับแสงแดด ทำให้เกิดมลพิษขั้นทุติยภูมิเช่น ฟอมัลดีไฮด์ พร็อกซีเอธิลไนเตรท และโอโซนระดับต่ำ (ground level Ozone) ซึ่งโอโซนเมื่ออยู่บนชั้นบรรยากาศจะช่วยปกป้องรังสีที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ แต่หากไม่ได้อยู่ในชั้นบรรยากาศเมื่อหายใจเข้าไปแล้วจะเป็นอันตราย
เหตุการณ์นี้ทำให้ลอสแองเจอลิสผ่านกฎหมายการควบคุมมลพิษในปี 1959 แคลิฟอร์เนียกลายเป็นรัฐแรกในอเมริกาที่กำหนดค่ามาตรฐานการปลดปล่อยมลพิษจากยานพาหนะ และได้กำหนดค่ามาตรฐานที่ยอมรับได้ในการปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ลดลงเรื่อยๆ จนปัจจุบันกำหนดไว้ที่ 210 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งต่ำกว่าค่ามาตรฐานของไทย 4 เท่า
รุ่งอรุณฝุ่นไทย
ขณะที่ชาติตะวันตกเริ่มถลุงเหล็กด้วยถ่านหิน ประเทศไทยซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์และมีความหลากหลายทางชีวภาพได้ถลุงเหล็กและโลหะต่างๆ ด้วยถ่าน
สมัยก่อนไทยมีถ่านที่หลากหลาย เช่น ถ่านตะบูนให้ควันกลิ่นหอม นิยมนำมาใช้อบขนมฝรั่งกุฎีจีน มีถ่านไม้ชาดให้ความร้อนสูงนับพันองศาเซลเซียส ซึ่งคนไทยใช้ถลุงเหล็ก โดยไม่ต้องใช้ถ่านหินถลุงซึ่งก่อมลพิษและเป็นอันตรายแก่ร่างกาย
และในเวลาที่ท้องฟ้าลอนดอนเจือปนไปด้วยฝุ่น ท้องฟ้าของประเทศไทยได้กลั่นน้ำค้าง
หากพิจารณาช่วงเวลาที่ประเทศไทยผจญวิกฤตฝุ่น PM 2.5 ครั้งล่าสุด เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคม 2561 ที่ผ่านมา นักอุตุนิยมวิทยาเห็นพ้องกันว่าภาวะนี้เกิดขึ้นเพราะเป็นช่วงที่กรุงเทพฯ ในระดับพื้นดินมีอุณภูมิต่ำรวมทั้งมีละอองน้ำและหมอกปกคลุมเหนือพื้นดินจำนวนมาก แต่ที่ระดับความสูงขึ้นไปอากาศกลับมีอุณภูมิสูงขึ้น จึงทำให้มลพิษที่พื้นดินระบายขึ้นไปไม่ได้และตกลงมาครอบคลุมเมืองไว้
อาจเป็นเรื่องบังเอิญที่เมื่อราวร้อยกว่าปีก่อน เมื่อสังฆราชปาเลอกัวซ์ พระสังฆราชชาวฝรั่งเศสผู้ประกาศศาสนาคริสต์มาเยือนสยามในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้บันทึกถึงสภาพอากาศในช่วงเดียวกันนี้ไว้ว่า
“ทุกๆ ปีในเดือนมีนาคม และมีระยะยาวนานประมาณ 15 วัน จะมีปรากฎการณ์เกี่ยวกับน้ำค้างอันน่าประหลาดพอใช้ กล่าวคือในตอนรุ่งเช้า บรรยากาศจะเต็มไปด้วยหมอกอันหนาทึบ นับตั้งแต่ดวงอาทิตย์เพิ่งเริ่มอุทัย ครั้นแล้วหมอกนี้ก็จะแปรสภาพเป็นน้ำค้างซึ่งตกกระเซ็นเป็นฝอยฝนไหลอาบหลังคาบ้านเรือนและใบไม้จนเปียกชุ่ม”
การทำงานของฤดูกาลที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ล้วนเคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต หากอากาศยังบริสุทธิ์ เมื่อฤดูกาลเดิมหมุนเวียนมาถึง สิ่งที่เราได้พบน่าจะเป็นความชื่นฉ่ำของน้ำค้าง ไม่ใช่กระสุนเม็ดจิ๋วขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน
ควันจากการบ่มยาสูบ ปล่องควันของเรือกลไฟ เขม่าจากโรงสีข้าวและโรงงานน้ำตาล ฝุ่นจากการทำปางไม้และอุตสาหกรรมต่อเรือ น่าจะเป็นมลพิษทางอากาศรุ่นแรกที่คนไทยรู้จัก ดังที่ปรากฏว่าปี 2353 คนจีนเริ่มปลูกอ้อย และต่อมาในทศวรรษ 2390 อ้อยกลายเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของกรุงเทพฯ ในทศวรรษ 2460 ทั้งบริษัทฝรั่งและจีนเริ่มสนใจธุรกิจอุตสาหกรรม เพราะต่างเห็นว่ากรุงเทพฯ ขยายตัวเป็นเมืองใหญ่เพียงพอที่จะเกิดความต้องสินค้าต่างๆ
ปาเลอกัวซ์กล่าวถึงความคับคั่งในสมัยรัชกาลที่ 4 ว่า “มีเรือกลไฟซึ่งแล่นขวักไขว่อยู่ในกลางแม่น้ำตลอดปี ไม่เป็นฤดูเรือตะเภาเข้าเหมือนสมัยก่อน โรงสีไฟซึ่งพ่นควันออกจากปล่องสูงเหนือหลังคาในแม่น้ำเจ้าพระยามีเรือกำปั่นไฟแล่นเข้าแล่นออกหนาแน่น ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่างเป็นทำเลตั้งโรงสีข้าวมาช้านาน แต่ละโรงเป็นโรงสีประเภทใช้แรงคน โรงสีประเภทใช้เครื่องจักรไอน้ำเพิ่งจะมีในปลายรัชกาลที่ 4 ผู้สร้างโรงสีไฟคนแรกในเมืองไทยชื่อ เอ. เนลซัน ซึ่งเดินทางมาถึงกรุงเทพฯ ใน ค.ศ. 1865”
แม้ว่าโรงสีข้าวและโรงงานน้ำตาลจะเป็นอุตสาหกรรมแรกๆ ของไทยแต่ยังเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้ของเหลือจากการเกษตรมาเป็นเชื้อเพลิง เช่น ฟืน ถ่าน และแกลบซึ่งให้ความร้อนสูงและเป็นพลังงานที่ใช้ผลิตไฟฟ้าในยุคแรกของไทยอยู่ร่วม 25 ปี
แต่ทั้งหมดนี้ยังไม่ใช่ต้นตอฝุ่นละเอียดที่แท้จริงของสังคมไทยซึ่งเกิดขึ้นหลายปีหลังจากนั้น
ฝุ่นแห่งการพัฒนา
กิจการเหมืองถ่านหินในเมืองไทย เริ่มต้นขึ้นพร้อมกับฝุ่นที่มากับยุคการทำให้เป็นสมัยใหม่ (Modernization) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สหรัฐอเมริกาเข้ามามีบทบาทในการวางโครงสร้างพื้นฐานให้ไทยหลายด้าน เช่น ถนนหนทาง เขื่อน และการวางผังเมืองที่รองรับการใช้รถยนต์
แม้ว่า พ.ศ. 2460 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญชาวต่างประเทศให้เข้ามาสำรวจเหมืองถ่านหินในประเทศไทยเป็นครั้งแรก แต่ยังไม่ได้มีเหมืองถ่านหินเกิดขึ้น ต่อมาในปี 2493 สมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม กรมโลหกิจ หรือกรมทรัพยากรธรณีในปัจจุบันได้รื้อฟื้นโครงการขึ้นมาดำเนินการอีกครั้ง และเปิดกิจการโรงไฟฟ้าถ่านหินแม่เมาะขึ้นในปี 2497 และโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ในปี 2507 ตามลำดับ
ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชียซึ่งมีสหรัฐอเมริกาหนุนหลังเป็นผู้ให้เงินกู้สำคัญในโครงการนี้ โรงไฟฟ้าถ่านหินช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรม อำนวยความสะดวกในการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยแทบทั้งระบบ และนำไฟฟ้ามาสู่ครัวเรือน ทว่าเฉกเช่นเดียวกับประวัติศาสตร์ถ่านหินที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แหล่งพลังงานราคาต่ำชนิดนี้ไม่เคยมอบความสะดวกสบายแก่มนุษย์ฟรีๆ
น้ำฝนที่รองไว้หน้าบ้านมีตะกอนสีดำคล้ำละลายปะปน ใบพืชเหี่ยวเฉาเป็นรอยด่างและหงิกงอ ฝุ่นละเอียดสีดำปกคลุมบ้านเรือนและเสื้อผ้าที่ตากไว้ อากาศเจือด้วยฝุ่นที่ไม่ต่างจากกระสุนกำมะถันเม็ดจิ๋วที่ทะลุทะลวงเข้าไปทำให้คัดคันจมูก แน่นหน้าอก หายใจไม่เต็มอิ่ม ไอจนหอบ ผิวหนังแสบคัน และยิ่งหายใจลำบากขึ้นในช่วงฤดูหนาวที่มีอากาศเบาบาง คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับประชาชนผู้อยู่รายรอบโรงไฟฟ้าถ่านหิน อ. แม่เมาะ จ. ลำปางพบเจอมาหลายปี
ชาวแม่เมาะได้รับผลกระทบจากโรงไฟฟ้าถ่านหินตั้งแต่รุ่นปู่จนถึงรุ่นหลาน ฝุ่นถ่านหินถูกปลดปล่อยมาสองรูปแบบ โดยมาจากปากปล่องโรงงานไฟฟ้า และการฟุ้งกระจายของฝุ่นจากการทำเหมือง พื้นที่ทิ้งดินที่เกิดขึ้นจากการระเบิดเปลือกดินเพื่อค้นหาถ่านหินในเหมืองแม่เมาะ มีสภาพไม่ต่างจากภูเขาประดิษฐ์สูงเท่าตึกสามชั้น ในภูเขาลูกนี้อัดอวลไปด้วยกำมะถัน ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ สารตะกั่ว แมงกานีส สารปรอท สารหนู ทองแดง แคดเมียม และสารโลหะหนักอันตรายต่อร่างกาย แม้จะมองด้วยตาเปล่าดูแล้วเหมือนดินทั่วไป
ดินที่เหลือจากการระเบิดเหมืองแร่ จะถูกแบ่งออกเป็นชั้นต่างๆ แล้วแยกไปตามสายพานที่เปิดโล่งเพื่อเตรียมทิ้ง โดยมีปลายทางของสายพานต่างกันตามประเภทของดิน เช่น ดินชั้นหน้า เป็นดินเม็ดเล็กร่วนที่สุด ฟุ้งกระจายง่ายที่สุด ส่วนดินที่อยู่ในชั้นลึกกว่า หรือชั้นก่อนถึงถ่านหิน เป็นดินแข็งขนาดใหญ่มีความร้อนและน้ำมันปะปนอยู่ ซึ่งจะสันดาปควันพิษผุดขึ้นมาจากใต้ดินให้เห็นเป็นระยะ ดินเหล่านี้เมื่อฟุ้งกระจายจะกลายเป็นฝุ่นทั้งฝุ่นขนาดเล็กและฝุ่นละเอียด พื้นที่รอบเหมืองถ่านหินแม่เมาะจึงเป็นพื้นที่ที่วัดค่าปริมาณฝุ่นละอองได้สูงเกินค่ามาตรฐานอยู่เสมอ ฝุ่นเหล่านี้สามารถพัดไปถึงชุมชนใต้ลมของเหมืองได้โดยง่าย และไหลเวียนอยู่ในอากาศที่ชาวแม่เมาะหายใจ
ปี 2535 ฝุ่นและก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ส่งผลให้ชาวบ้านหลายร้อยคนป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจ คณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้ กฟผ. ติดตั้งระบบดักจับก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ด้วยงบประมาณกว่าหมื่นล้านบาท ซึ่งระบบสามารถดักจับฝุ่นละอองขนาด PM 10 ซึ่งเป็นฝุ่นที่อันตรายที่สุดตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลกในขณะนั้นได้ ทว่าฝุ่นที่ระบายออกจากโรงไฟฟ้าถ่านหินแม่เมาะมีฝุ่น PM 2.5 ร่วมด้วย เกิดข้อถกเถียงว่าหากกฎหมายไม่กำหนดให้มีการวัดและกำหนดมาตรการป้องกัน PM 2.5 ร่วมด้วย จะทำให้ปริมาณมลพิษสูงขึ้นจนถึงขีดอันตราย แม้ตัวเลขจะยังอยู่ในเกณฑ์ก็ตาม
อีกหนึ่งข้อถกเถียงร้อนแรงในขณะนั้นคือ แม้ระบบดักจับซัลเฟอร์ไดออกไซด์สามารถดักจับฝุ่นละอองท่ีออกมาจากการเผาไหม้โดยตรง หรือฝุ่นปฐมภูมิ (Primary PM 2.5) ได้ แต่ไม่สามารถดักจับฝุ่นทุติยภูมิ (Secondary PM 2.5) ท่ีเกิดจากการทําปฏิกิริยาเคมีโดยมีสารกลุ่มซัลเฟอร์ไดออกไซด์ หรือกลุ่มไนโตรเจนและแอมโมเนียในอากาศเป็นสารตั้งต้นได้ ซึ่งฝุ่นละเอียดเหล่านี้เป็นเรื่องน่ากังวลในทางสาธารณสุข
6 ปีต่อมา ระบบดักจับก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ของโรงไฟฟ้าแม่เมาะขัดข้อง ก๊าซรั่วไหลออกมานอกโรงงาน สร้างผลกระทบกับชาวบ้านผู้อาศัยอยู่รอบโรงไฟฟ้าเป็นบริเวณกว้าง ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์จับตัวกับอนุภาคอื่นๆ และกลายเป็นฝุ่นพิษ ทำให้ผู้คนเกิดอาการหน้ามืด เวียนหัว ใจสั่น หายใจไม่ออก ผู้อยู่ในกลุ่มเสี่ยงอยู่แล้วอาการทรุดลงและบางคนเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว ความรู้เท่าทันฝุ่นละเอียดของผู้คนรอบแม่เมาะในระยะแรกนั้นนับว่าน้อยมาก แทบไม่มีใครใส่หน้ากากเพื่อป้องกันฝุ่น หลายคนลัดขั้นตอนไปที่การใส่หน้ากากออกซิเจน เมื่อพบว่าตนเองล้มป่วยลงแล้วด้วยโรคทางเดินหายใจ
การตัดสินคดีก๊าซรั่วไหลครั้งนี้มีความน่าสนใจ เพราะเป็นคดีสิ่งแวดล้อมคดีแรกๆ ที่ประชาชนเป็นฝ่ายชนะ ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการเกิดขึ้นของ “ศาลปกครอง” ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ในช่วงที่นักศึกษา นักวิชาการ และประชาชนมีความตื่นตัวในทางการเมืองและทางวิชาการอย่างกว้างขวาง รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517 ได้บัญญัติขึ้นท่ามกลางบรรยากาศดังกล่าว เนื้อหาของรัฐธรรมนูญฉบับนี้สนับสนุนให้มีการจัดตั้ง “ศาลปกครอง” ขึ้น อันเป็น “สถาบันถาวรในการรับเรื่องราวร้องทุกขจากประชาชนที่เดือดร้อนจากการใช้ดุลยพินิจทางบริหาร (administrative discretion) ของข้าราชการ”[1]
ในกรณีแม่เมาะมีการฟ้องร้องหลายคดี แต่คดีที่น่าสนใจเป็นพิเศษคือคดีที่ นายคำ อินจำปา และชาวแม่เมาะรวม 19 คน ยื่นฟ้องรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ทรัพยากรธรณีจังหวัดลำปาง อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ และการไฟฟ้าแห่งประเทศไทย ในประเด็นการละเมิดทางปกครองอันเกิดจาการละเลยของหน้าที่ตามกฎหมายฯ ในการควบควบคุมมลพิษ
หนึ่งในคำตัดสินของศาลปกครองที่น่าสนใจ กล่าวโดยย่นย่อคือ ศาลกล่าวว่า ฟังไม่ได้ ว่าชาวแม่เมาะป่วยเป็นโรคพิษซัลเฟอร์ไดออกไซด์ และโรงไฟฟ้าแม่เมาะไม่ได้ปล่อยทิ้งอากาศเสียและฝุ่นละอองเกินกว่ามาตรการที่กฎหมายกำหนด ตลอดจนแพทย์บางสำนวนกล่าวว่าประชาชนผู้ฟ้องคดีไม่ได้ป่วยโดยมีสาเหตุจากฝุ่นถ่านหิน แต่เมื่อปรากฎว่าเมื่อ พ.ย. 2535 – ส.ค. 2541 โรงไฟฟ้าแม่เมาะได้ปล่อยอากาศเสีย โดยมีค่าเฉลี่ยความเข้มข้นของซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในบรรยากาศเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด และผู้ฟ้องร้องทั้ง 19 รายอ้างว่าป่วยด้วยอาการของโรคทางเดินหายใจในช่วงนั้น โดยมีอาการโรดปอด ระคายเคืองตามเยื่อบุผนังตามร่างกาย และผู้เชี่ยวชาญเบิกความว่าก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์หากได้รับนานๆ อาจมีผลกระทบต่อสุขภาพ จึงน่าเชื่อว่า ผู้ถูกฟ้องคดีกระทำละเมิดตาม พ.ร.บ. ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535 มาตรา 96[2]
ผลการตัดสินครั้งนี้ทำให้ประชาชนได้รับสินไหมทดแทน 24.7 ล้านบาท เกิดการวางแนวคำตัดสินว่าซัลเฟอร์ไดออกไซด์ทำอันตรายต่อมนุษย์ได้จริง ทว่าโรงไฟฟ้าแม่เมาะเปิดดำเนินการต่อไปได้ จนกระทั่งเกิดการฟ้องร้องอีกครั้งเมื่อภายหลังกรมควบคุมมลพิษกำหนดค่ามลพิษที่ปลดปล่อยได้ในแม่เมาะให้สูงกว่าที่อื่นในประเทศไทยคือ 1,300 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ขณะที่พื้นที่อื่นๆ กำหนดไว้ที่ 780 ไมโครกรัม เป็นเวลา 50 เดือน
โรงไฟฟ้าแม่เมาะและประชาชนรายรอบ ยังคงมีข้อพิพาทดำเนินมาถึงปัจจุบัน ผู้คนรอบโรงไฟฟ้าแม่เมาะ นับว่าเป็นผู้เคยสัมผัสฝุ่น PM 2.5 กลุ่มแรกๆ ของไทย ประเด็นฝุ่น PM 2.5 และการปลดปล่อยค่ามลพิษได้รับการพูดถึงอย่างจริงจังในประเทศไทยเป็นครั้งแรกๆ จากกรณีนี้ ก่อนที่คนไทยจะได้รู้จักฝุ่น PM 2.5 มากขึ้นเรื่อยๆ ในเวลาต่อมา
ฝุ่นฟุ้งในไร่เลื่อนลอย
ในยุคสมัยแห่งการพัฒนา ประโยค “ชาวเขาตัดไม้ทำลายป่า เผาป่าเพื่อทำไร่เลื่อนลอย” ถูกตอกย้ำไว้ในแบบเรียนของเด็กไทยมาหลายทศวรรษ บดบังการลักลอบตัดไม้ของทุนร่วมกับรัฐ ซึ่งเป็นตัวการทำลายป่าที่แท้จริง
ทศวรรษที่ 2540 วาทกรรม “ชาวเขาเผาป่า” ได้รับการถอดรื้ออย่างหนัก โดยเฉพาะจากนักพัฒนาองค์กรเอกชนสายชุมชนนิยม จนข้อเท็จจริงว่าคนกลุ่มชาติพันธุ์มีวิถีชีวิตที่ช่วยรักษาป่าไว้มากกว่าทำลายเริ่มปรากฏ เช่น แม้จะมีการ “เผาไร่” เพื่อเพิ่มสารอาหารในดินก่อนการเพาะปลูก แต่การเผานั้นออกแบบมาแล้วอย่างรอบคอบ โดยใช้ภูมิปัญญาเลือกวันเผาที่ช่วงเช้าอาการแห้งแต่ช่วงบ่ายฝนตกช่วยชะล้างเถ้าและเขม่าควันจากการเผาได้ การเสริมย้ำความเข้าใจใหม่นี้ ส่งผลให้กระทรวงศึกษาธิการต้องนำคำว่า “ไร่เลื่อนลอย” ออกจากแบบเรียนแล้วแทนด้วยคำว่า “ไร่หมุนเวียน”
ทว่าภาพจำว่าชาวบ้านพื้นถิ่นเผาป่าก็ยากจะลบล้าง เมื่อเกิดหมอกควันในภาคเหนือ ชาวบ้านที่เผาเพื่อทำกิจกรรมกรรมทางการเกษตรยังชีพ เช่น เพื่อให้ผักหวานและเห็ดเผาะได้เติบโตกลับตกเป็นจำเลยแทน และรับข้อหาใหญ่อย่างการสร้างปัญหาหมอกควันซึ่งเกิดขึ้นต่อเนื่องแล้วร่วม 40 ปี และมีความรุนแรงขึ้นในช่วง 20 ปีหลัง โดยเฉพาะเชียงใหม่ในปี 2561 ถูกจัดอันดับให้เป็นเมืองที่มีมลพิษมากอันดับที่ 8 ของโลก
ทว่าต่อมาตัวการกำเนิดหมอกควันภาคเหนือที่แท้จริงเริ่มปรากฏในช่วง 5-10 ปีก่อน นั่นคือการเผาในวงจรการเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจที่รองรับความต้องการบริโภคแบบสังคมสมัยใหม่ เช่น การเผาตอซังข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ การเผาสิ่งที่เหลือจากการทำไร่อ้อยซึ่งเป็นพืชที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตอาหารอีกหลากหลายชนิด หรือกล่าวได้อีกอย่างว่าภาคเหนือและภาคอีสานคือพื้นที่รองรับการผลิตอาหารเพื่อสนองตอบต่อความต้องการของ “คนเมือง” ที่ไม่สามารถผลิตอาหารเองได้ โดยเฉพาะข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ซึ่งเป็นจุดตั้งต้นของห่วงโซ่การผลิตอาหารอื่นๆ ที่มีมูลค่ารวมนับ 8 แสนล้านบาทต่อปี
ประชาชนหลายพื้นที่ใน 9 จังหวัดภาคเหนือ เช่น เชียงราย เชียงใหม่ ลําพูน ลําปาง พะเยา แม่ฮ่องสอน ตาก แพร่ น่าน มีเหตุผลหลายประการที่เลือกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นทางออกของชีวิต ทั้งการขาดแคลนสาธารณูปโภคที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต การชลประทานไม่ทั่วถึงยากแก่การเพาะปลูกพืชชนิดอื่น การไม่ปลดปล่อยที่ดินให้ประชาชนถือครองทำกินขณะที่ประชากรเพิ่มขึ้น การขาดพลังจากตลาดและกิจการอื่นๆ ที่จะช่วยสร้างงานและความเจริญให้พื้นที่ได้ สิ่งเหล่านี้บีบบังคับให้ประชาชนหาทางออกด้วยตนเอง และเป็นทางที่รัฐ เอกชน และสถาบันทางการเงินการธนาคารเอื้อไว้ให้ นั่นคือการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
รัฐบาลหลายยุคสืบเนื่องมาถึงปัจจุบันสนับสนุนพืชเศรษฐกิจสำคัญ 4 ชนิด คือ อ้อย ข้าวโพด มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน ตามคำร้องของสภาหอการค้าไทยอย่างต่อเนื่อง และเมื่อสำรวจรายชื่อของประธานและรองประธานสภาหอการค้าไทย พบว่ามีเจ้าของอุตสาหกรรมน้ำตาลรายใหญ่และตัวแทนจากบรรษัทเกษตรกรรมยักษ์ใหญ่ของโลกหมุนเวียนอยู่ในรายชื่ออยู่เสมอ
“ยุทธศาสตร์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์” ถูกบรรจุไว้ในแผนการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนอาหารของคนไทยมาตลอดหลายปี ธนาคารเพื่อการเกษตรพร้อมให้เกษตรกรกู้ยืมเงินเพื่อปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ รัฐพร้อมประกันราคาข้าวโพด แม้จะออกกฎไม่ประกันราคาข้าวโพดที่เพาะปลูกในพื้นที่ชัน ซึ่งอาจเป็นพื้นที่ป่าหรือพื้นที่บนภูเขาได้ แต่เมื่อถึงเวลารับซื้อก็ยากจะพิสูจน์ว่าข้าวโพดได้มาจากพื้นที่ใด
สำหรับเกษตรกรที่ไม่มีที่ดินเป็นของตัวเอง การรุกเข้าไปบนภูเขาซึ่งไม่มีใครจับจอง แล้วปลูกพืชซึ่งมีวงจรการปลูกสั้น ได้ทุนคืนรวดเร็ว เติบโตบนพื้นที่ชันได้ ไม่ต้องพึ่งระบบชลประทานมาก มีเพียงน้ำฝนก็เพียงพอ มีแหล่งรับซื้อแน่นอนผ่านระบบพันธะสัญญาซึ่งเอกชนเสนอให้ มีการรับประกันราคาโดยรัฐ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความมั่นคงเล็กๆ น้อย ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตที่หาความมั่นคงได้ยากของพวกเขา
นับสิบปีมาแล้วที่ลำไยเริ่มหายไปจากจังหวัดน่าน เช่นเดียวกับพืชพื้นถิ่นในจังหวัดอื่นๆ เกษตรกรเปลี่ยนลักษณะการใช้พื้นที่ไปมากมายเพื่อปลูกข้าวโพดให้เพียงพอตอบสนองตลาดได้ พ.ศ. 2560 พบว่า พื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของไทยทั้งประเทศมีอยู่ประมาณ 7.2 ล้านไร่ กว่า 50 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 3.6 ล้านไร่ อยู่ในเขตป่าหรือที่ดินที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์
ตัวเลขเหล่านี้เพิ่มขึ้นควบคู่กับระดับหมอกหนาในภาคเหนือ โดยเริ่มตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมกราคม ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เกษตรกรเก็บเกี่ยวข้าวโพด ตระเตรียมพื้นที่สำหรับรอบการปลูกถัดไปให้แล้วเสร็จก่อนต้นฤดูฝน กําจัดเศษวัสดุทางการเกษตร วงจรเหล่านี้ดำเนินไปในช่วงปลายเดือนมกราคม-เมษายน ซึ่งเป็นช่วงที่ภาคเหนือเกิดวิกฤตหมอกควันเป็นประจำทุกปี
ในทางวิทยาศาสตร์ ได้จำแนกขนาดฝุ่นละอองไว้ 3 กลุ่มหลักด้วยกัน ได้แก่ 1) กลุ่มที่มีขนาดใหญ่กว่า 10 ไมครอน เช่นเศษฝุ่นจากการก่อสร้างหรือการระเบิดหิน ละอองเกสรดอกไม้ เถ้าลอย 2) กลุ่มฝุ่นหยาบ (Coarse Particle) หรือ ฝุ่นละอองขนาด 2.5 – 10 ไมครอน 3) ฝุ่นละเอียด (Fine Particle) หรือฝุ่นที่มีขนาดอนุภาคเล็กกว่า 2.5 ไมครอนหรือ PM 2.5 ฝุ่นที่เกิดการเผาป่าและการเผาไหม้ทางการเกษตรขนาดใหญ่มีสัดส่วนของฝุ่น PM 2.5 ค่อนข้างมาก และจากการสำรวจเฉพาะพื้นที่เชียงใหม่ ของคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ยังพบปริมาณสารพีเอเอชชนิดก่อมะเร็งที่มากับฝุ่นเหล่านี้อีกด้วย
เมื่อปัญหามลพิษคุกรุ่นขึ้น หลายฝ่ายเรียกร้องให้บรรษัทรับซื้อข้าวโพดแสดงความรับผิดชอบต่อห่วงโซ่อุปปาทานที่ก่อให้เกิดหมอกควันนี้ ทำให้ใน พ.ศ. 2558 บรรษัทผู้รับซื้อรายใหญ่ออกนโยบายว่าจะไม่รับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่มาจากพื้นที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์อีกต่อไป
การเลิกล้มการรับซื้อจากเกษตรกรผู้รับความต้องการของรัฐและทุนมาสนองตอบ กลายเป็นทางออกในการปัญหาหมอกควัน ความมั่นคงชั่วครู่ในชีวิตของเกษตรกรจำนวนมากจากไป ทว่าหนี้สินที่กู้ยืมมาลงทุนยังคงอยู่ พวกเขาได้กลายเป็นชาวไร่เลื่อนลอยอย่างแท้จริง
สำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้า ได้สัมภาษณ์ ทศพล เผื่อนอุดม นายอำเภอแม่แจ่มซึ่งแก้ปัญหาหมอกควันในพื้นที่ อ. แม่แจ่ม ได้สำเร็จ ทศพลกล่าวว่าปัญหาหมอกควันนั้นเกี่ยวข้องกับปัญหาการขาดแคลนที่ดินและความเหลื่อมล้ำต่างๆ โดยตรง
“ปัญหาหมอกควันคือปลายเหตุ มันเป็นภาพสะท้อนความไม่เป็นธรรม ความล้มเหลวในการพัฒนา เป็นภาพสะท้อนของการมองที่ไม่เข้าใจ เข้าถึง การเปลี่ยนแปลง ถ้าไม่แก้ไปถึงรากของปัญหา ให้คนมีที่ดินทำกิน มีน้ำใช้สำหรับการเกษตร มีอาชีพ และพัฒนาสาธารณูปโภคต่างๆ ที่ผ่านมาโครงสร้างพื้นฐานเบื้องต้น ทั้งระบบชลประทาน ไฟฟ้า ถนน ฯลฯ มาไม่ถึงที่นี่เพราะติดขัดการเป็นพื้นที่ป่าตามหลักกฎหมายป่าไม้”
“คนที่ทำเกษตรได้ทั้งปีจะไม่เผาไฟ เพราะทำกินได้ตลอด แต่คนที่ทำข้าวโพดช่วงนี้ตกงาน ก็จะนั่งคิดว่าปีที่แล้วเราทำข้าวโพด 50 ไร่ ปีนี้จะทำเพิ่มอีก 50 ไร่ วิธีการทำลายป่าของที่นี่ก็คือจะไปเฉาะต้นไม้ให้เป็นแผลแล้วเอาไตรโครเซสหยอดไปที่ต้นไม้ ต้นไม้ก็จะตายซาก ก็รุกคืบเข้าไป ปีต่อไปก็เผา และทำให้ดูเหมือนเป็นไฟป่า”[3]
ปัจจุบันนี้แม่แจ่มได้รับความร่วมมือจากหลายฝ่ายร่วมแก้ไขปัญหาหมอกควัน เช่น บรรษัทรับซื้อข้าวโพด หน่วยงานภาครัฐ องค์กรพัฒนาเอกชน และประชาชนของแม่แจ่มเองซึ่งมีทั้งชาวเชียงใหม่และประชาชนกลุ่มชาติพันธุ์ จนเกิดเป็น “แม่แจ่มโมเดล” ในระยะแรก และพัฒนามาเป็น “แม่แจ่มโมเดลพลัส” ในปัจจุบัน
แม่แจ่มเคยเป็นพื้นที่ลำดับต้นๆ ที่มีค่าความร้อน (Hot Spot) เกิดจากการเผาไหม้สูงสุดในภาคเหนือ แต่ปัจจุบันนี้กลายเป็นพื้นที่ที่มีค่าความร้อนต่ำที่สุดในภูมิภาค
ความสำเร็จนี้เกิดขึ้นได้เพราะการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างหลายประการ เช่น การแก้ไขปัญหาเรื่องสิทธิที่ดิน จากเดิมภาครัฐเป็นผู้รวมศูนย์ข้อมูลที่ดินแต่เพียงผู้เดียว ทำให้มีข้อมูลเฉพาะที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ์ ส่วนการใช้ประโยชน์จากที่ดินโดยไม่มีเอกสารสิทธิ์ในอำเภอแม่แจ่มซึ่งมีอยู่ถึง 437,712 ไร่ ไม่ได้รวมเข้าสู่ระบบ เปิดโอกาสให้พื้นที่เหล่านี้กลายเป็นพื้นที่ใส่เกียร์ว่าง เอื้อให้กระแสทุนชักนำได้ง่ายว่าอยากให้พื้นที่นั้นถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์ใด
เมื่อภาคประชาสังคมของชุมชนแม่แจ่มนำข้อเท็จจริงจากการสำรวจของชุมชนเองมาจัดทำอย่างเป็นระบบทำให้เห็นการใช้ที่ดินที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งสะท้อนถึงจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นและต้องการเอกสารสิทธิ์ที่เพิ่มขึ้นสอดคล้องกัน อีกทั้งยังเผยปัญหาการบุกรุกป่าในจุดที่ควรสงวนรักษาไว้
การยอมรับความจริงในขั้นแรก นำไปสู่การออกนโยบายจัดทำแผนขอใช้ประโยชน์ที่ดินตามมาตรา 19 เมื่อที่ดินทุกผืนถูกนับและจัดสรรอย่างถูกต้อง สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือประชาชนมีความมั่นใจในสิทธิเหนือที่ดิน เมื่อมีความรู้สึกมั่นคง ปลอดภัย จึงตัดสินใจปลูกพืชชนิดใดในพื้นที่ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องพืชที่กอบโกยผลประโยชน์ได้รวดเร็ว
การแก้ไขปัญหาเรื่องสิทธิที่ดินยังทำให้สาธารณูปโภคเข้าถึงที่ดินที่ไม่เคยเข้าถึงมาก่อน เอื้อให้ประชาชนทำมาหากินอย่างสะดวกมากขึ้น และทำให้แต่ละหน่วยงานกำหนดพื้นที่ความรับผิดชอบเรื่องป้องกันการเผาได้ชัดเจนและทั่วถึง เช่นสามารถรณรงค์การฝังกลบแทนการเผาได้อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ และจัดระเบียบ “ชิงเผา” ก่อนถึงฤดูหมอกควันได้ดี
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ปล่อยเงินกู้ให้เกษตรกรผู้หันมาปลูกพืชแนวทางอื่นๆ ส่งผลให้เกษตรกรเลิกการปลูกพืชเชิงเดี่ยว โดยเฉพาะข้าวโพด หันมาปลูกพืชผสมผสาน เช่น ไผ่ กาแฟ และพืชเศรษฐกิจ จนทำให้เนื้อที่และจำนวนเกษตรที่ปลูกข้าวโพดลดลงอย่างเห็นได้ชัด พื้นที่ป่าเพิ่มขึ้น ชาวบ้านเรียนรู้การเพิ่มมูลค่าสินค้าจากวัตถุดิบในท้องถิ่น เช่นการทำเฟอร์นิเจอร์และข้าวของเครื่องใช้จากไผ่ เรียนรู้เทคนิคการรักษาอายุไผ่ให้อยู่ได้นานถึง 5-20 เท่า โดยมีภาครัฐและเอกชนช่วยติดต่อตลาดไว้รองรับเกษตรกร อีกทั้งยังตั้งโรงงานเชื้อเพลิงอัดแท่งโดยแปรรูปจากผลผลิตทางการเกษตรเพื่อเป็นทางออกอื่นให้เกษตรกรนอกจากการเผา
เมื่อชีวิตมีทางเลือก และมีความมั่นคง หมอกควันก็หายไป เฉกเช่นกับในอังกฤษเมื่อหลายร้อยปีก่อน หากชาวลอนดอนมีสิ่งอื่นให้ความอบอุ่นนอกจากถ่านหิน พวกเขาก็คงไม่ใช้มัน
ทว่านอกเหนือจากแม่แจ่ม หลายพื้นที่การเผายังดำเนินต่อไป ปี 2560 ภาพจากดาวเทียม GISTDA บ่งชี้ว่า ไร่ข้าวโพดในจังหวัดน่าน เพิ่มขึ้นเป็น 1.5 ล้านไร่ หรือกลับมามากเท่าปี 2557 หลังจากที่ลดลงไปในปี 2558 ซึ่งเป็นปีที่กระแสสังคมกดดันเรื่องห่วงโซ่อุปปาทานที่ก่อให้เกิดหมอกควันอย่างหนัก
ผศ. ดร. วิษณุ อรรถวาณิช อาจารย์ภาควิชาเศรษฐศาสตร์การเกษตร คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวถึงประสบการณ์จากการลงพื้นที่ทางการเกษตรที่มีการเผาในหลายพื้นที่ว่า “เรายังเผากันอยู่ครับ และยังแก้ไม่ได้เพราะต้นทุนมันถูกกว่า ถ้าผมเป็นชาวไร่ ผมเผา ผมไม่มีต้นทุนอะไรเลย แต่ถ้าผมไม่เผา ผมต้องตัดเอง ต้องจ้างแรงงาน มีต้นทุนเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นคำถามที่ตามมาคือ รัฐบาลบอกไม่ให้เผา มีคนเชื่อไหม เอาใจเขามาใส่ใจเรา คุณต้องเสียเงินอีกร้อยบาทแทนการเผา เพื่อคนทั้งสังคมที่ดีขึ้น จริงๆ ก็ดูแฟร์นะ ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย แต่ถ้ามองในแง่ของเศรษฐศาสตร์การพัฒนา เขายากจน ภาครัฐมีแรงจูงใจไม่ให้เขาเผาไหม การแก้ปัญหาเราจะมองประสิทธิภาพอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมองความเสมอภาคคู่กันเสมอ และให้คนด้อยโอกาสไปด้วยกัน คือหัวใจสำคัญในการแก้ไขปัญหา”
อยู่กับความสบาย
มีผู้กล่าวไว้ว่า โลกในยุคปัจจุบันนี้เป็นโลกยุคที่มีความสะดวกสบายพรั่งพร้อมที่สุด หลายประเทศไม่มีสงคราม มีความมั่งคั่งที่สั่งสมมาจากช่วงยุคอุตสาหกรรมเบ่งบาน มีไฟฟ้า มีเทคโนโลยีทางการเกษตรที่ช่วยให้มนุษย์ไม่ขาดแคลนอาหารอีกต่อไป
แต่ฝุ่นที่กำลังจมทั้งโลกให้สำลักอยู่นี่เอง ที่กำลังเตือนว่าทรัพยากรธรรมชาติที่มนุษย์ตักตวงไปจากโลกและนำมาสร้างเป็นความเจริญ ความมั่งคั่ง อารยธรรมที่วิวัฒน์มาจนถึงทุกวันนี้ มีราคาที่ต้องรับผิดชอบ ซึ่งหลายประเทศเริ่มเรียนรู้ที่จะชดใช้หนี้ก้อนใหญ่นี้คืนแก่ธรรมชาติแต่โดยดี
สำหรับประเทศไทย อาจยากที่จะยอมรับ ว่าวันหนึ่งเราจะต้องใส่หน้ากากกันมลพิษเพื่อดำรงชีวิตต่อไป ในเมื่อสิ่งหนึ่งที่คนไทยภูมิใจที่สุดคือบ้านเมืองที่มีทรัพยากร ข้าวปลาอาหาร น้ำท่าอุดมสมบูรณ์ พื้นที่โล่งกว้าง ไม่คับแคบ อากาศดี ฝรั่งมังค่าต่างหลบหนีท้องฟ้าสีเทาเข้ามายิ้มกริ่มให้กับแสงแดดสดใสในบ้านเรา
แต่ยุคสมัยของการใช้ชีวิตร่วมกับฝุ่นของคนไทยได้เริ่มขึ้นแล้ว ท้องฟ้ากรุงเทพฯ เผือดแดดได้ง่ายกว่าเดิม ฝุ่นที่คิดว่าไกล อยู่เชียงใหม่ ลำปาง กระบี่ ฯลฯ เริ่มสัญจรเข้ามาขอตีสนิท
การเดินทางร่วมกันระหว่างฝุ่นกับคนไทยยังทอดยาวอีกไกล ทว่าการเดินทางขั้นแรกและสำคัญที่สุด คือการยอมรับความจริงถึงการมีอยู่ของปัญหาฝุ่น โดยไม่เพียรหลอกเครื่องวัดคุณภาพอากาศด้วยกลอุบายต่างๆ ให้แสดงค่าที่ไม่บ่งชี้ถึงอันตราย
และเช่นเดียวกับการใช้หนี้เจ้าหนี้รายอื่น ที่แม้จะเป็นหนี้ก้อนใหญ่นุงนังชวนท้อแท้แค่ไหน แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือยิ่งยอมรับว่าเป็นหนี้เร็วเท่าไหร่ และเพียรพยายามใช้หนี้เร็วเท่าไหร่ ยิ่งหายใจได้โล่งเร็วขึ้นเท่านั้น
*ติดตามตอนต่อไปของซีรีส์ Dust Atlas: ทางของฝุ่น PM 2.5 ตอนที่ 3 ใน “ฝุ่นข้ามพรมแดน” เมื่อฝุ่นเดินทางไกลและกลายเป็นปัญหานานาชาติ มนุษย์จะใช้หนี้ที่ธรรมชาติทวงคืนอย่างไร เร็วๆ นี้
และย้อนตามรอยตอนแรกได้ที่ Dust Atlas: ทางของฝุ่น PM 2.5 ตอนที่ 1 “ฝุ่นและราคาชีวิตคนไทย”
อ้างอิง
[1] คณะกรรมการพัฒนาระบบบริหารราชการแผ่นดิน. การจัดตั้งศาลปกครองตามนโยบายของรัฐบาล. (2536). กรุงเทพฯ
[3] Thai Publica. หมอกควัน ไฟป่า น้ำแล้ง เขาหัวโล้น กับโจทย์ที่ยากของ “แม่แจ่มโมเดล”. (2558).