fbpx

วัคซีนโควิด-จับเด็ก-รมต.แป้งมัน จะอำมหิตไปถึงไหน สิ่งที่สามัญชนนึกไม่ออก คิดไม่ได้

ต้องถือเป็นผลงานสำคัญชิ้นหนึ่งของคณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบันที่ประวัติศาสตร์จักต้องจดจำ กับมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ (ฉบับที่…) พ.ศ… แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 กำหนดให้ข้อมูลข่าวสารของราชการที่หากเปิดเผยแล้วอาจมีการนำไปใช้ในทางที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และข้อมูลด้านการถวายความปลอดภัย ข้อมูลความมั่นคงของรัฐด้านการทหารและการป้องกันประเทศ ด้านข่าวกรอง ด้านการป้องกันและปราบปรามการก่อการร้าย ด้านการต่างประเทศที่เกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐ ด้านการรักษาความปลอดภัยบุคคล และข้อมูลความมั่นคงด้านอื่น ตามที่คณะรัฐมนตรีประกาศกำหนด จะเปิดเผยไม่ได้

ลำพังสติปัญญามันสมองสามัญชนคนทั่วไปอย่างเราท่านทั้งหลาย คงยากจะเข้าใจได้ถึงลึกตื้นหนาบาง หลักการเหตุผล ความจำเป็นของรัฐที่นำพาชาติบ้านเมืองห่างไกลไปจากแสงสว่างและความโปร่งใสหนักข้อขึ้นทุกที โดยได้แต่จับตาแลดูกันไป

ไม่สามารถพูดจาแสดงความคิดเห็นอะไรได้มากมายนัก ภายใต้ระบอบปกครองซึ่งเผด็จการทหารยังเป็นได้เพียงแค่หุ่นเชิด

ขณะที่หลายประเทศฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนา 2019 ให้กับพลเมือง สร้างภูมิคุ้มกันให้กับประชากรได้ในระดับซึ่งสามารถประกาศยกเลิกข้อกำหนดบังคับให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ บางบ้านบางเมืองอนุญาตให้จัดคอนเสิร์ตได้โดยผู้เข้าชมไม่ต้องเว้นระยะห่าง ไม่ต้องใส่แมสก์

บางชาติเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวอีกครั้งหนึ่งแล้ว บางประเทศเปิดให้ทุกคนเข้าถึงวัคซีนโดยไม่มีเงื่อนไข ไม่ต้องลงทะเบียน ไม่มีค่าใช้จ่าย ฉีดให้ฟรี ไม่เว้นแม้จะเป็นคนต่างชาติหรือนักท่องเที่ยว เกิดธุรกิจทัวร์ฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้เป็นที่เอิกเกริก

สำหรับประเทศไทยน่ะหรือ จากข้อมูลเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม มีประชาชนได้รับการฉีดไปแล้ว 1 โดสจำนวน 1,296,440 คน คิดเป็น 1.95 % ของประชากรทั้งประเทศ ขณะที่มีผู้ได้รับการฉีดครบ 2 เข็ม จำนวน 513,454 คนหรือ เท่ากับ 0.77 % ของประชาชนทั้งหมด

ความฝันที่จะเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเพื่อกอบกู้ฟื้นฟูเศรษฐกิจมลายหายไป ทุกอย่างพังครืนพร้อมกับการกลับมาแพร่ระบาดอีกครั้งของไวรัสโคโรนา 2019 เป็นระลอกที่สาม ซึ่งเริ่มต้นมาจากคลัสเตอร์สถานบันเทิงย่านทองหล่อ โดยรัฐบาลกำลังมะงุมมะงาหราหาหนทางรับมือโรคซึ่งมีความรุนแรงกว่าทุกครั้ง

ยอดผู้ติดเชื้อรายวันพุ่งขึ้นไปทำสถิติสูงสุดถึง 2,839 ราย เมื่อวันที่ 24 เมษายน และมีผู้เสียชีวิตสูงสุด 34 ราย เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม เชื้อโรคแพร่กระจายจากการหาความสำราญของกลุ่มไฮโซลุกลามเข้าไปถึงชุมชนแออัด สร้างความยากลำบากในการควบคุมการแพร่ระบาดเป็นทวีคูณ ขณะที่ผู้ปกครองบริหารราชการแผ่นดินยืนกรานว่าจะไม่มีมาตรการล็อกดาวน์ปิดเมืองเหมือนกับรอบแรก

สถานการณ์ร้ายแรงถึงขนาดเกิดปัญหาโรงพยาบาลไม่มีเตียงเพียงพอรองรับผู้ป่วยโควิด-19 สวนทางกับการโหมประโคม โปรปะกันดาว่ามีเตียงว่างอยู่นับหมื่น

ผู้คนสลดหดหู่ สะเทือนใจไปตามๆ กันกับข่าวผู้เฒ่าคนชรา ลุงป้า ตายาย อาม่าอากง ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เสียชีวิตลงอย่างอเนจอนาถภายในที่พักอาศัย โดยไม่มีรถพยาบาลมารับตัวไปรักษา

บางคนอายุอานามไม่ได้มากมายอะไรเลย ยังอยู่ในวัยฉกรรจ์เสียด้วยซ้ำ หลังจากทราบผลตรวจว่าติดเชื้อโควิด -19 ได้โทรศัพท์สายด่วนติดต่อขอให้มารับตัวไปรักษา แต่รอคอยความช่วยเหลือวันแล้ววันเล่า จนกระทั่งอาการทรุดหนัก สิ้นใจตายอย่างโดดเดี่ยวเดียวดายระหว่างกักตัวอยู่ในที่พักตามคำแนะนำ

ผู้คนซึ่งเสียชีวิตหรือรอคอยการรักษาพยาบาลด้วยความว้าเหว่สิ้นหวังทั้งหลายล้วนแต่โนเนม ไม่มีชื่อเสียง ไร้อภิสิทธิ์ ปราศจากพลังทั้งทรัพย์สินเงินทอง อำนาจวาสนาบารมีที่จะไปแก่งแย่งแข่งขัน ช่วงชิงเพื่อเข้าถึงการรักษาพยาบาล ยื้อชีวิตตัวเองจากความตาย

ไหนจะยังมีโศกนาฏกรรมของผู้คนเพื่อนร่วมชาติอีกจำนวนหนึ่งซึ่งแม้จะมิได้เจ็บป่วยหรือเสียชีวิตโดยตรงจากโควิด-19 แต่การแพร่ระบาดของโรคส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม นำมาซึ่งหนี้สิน สิ้นเนื้อประดาตัว สุดท้ายก็เลือกจบชีวิตแก้ปัญหาให้กับตัวเองด้วยความสิ้นหวัง  

ที่กล่าวมาไม่ได้ชังชาติ แต่ชังน้ำหน้าผู้ปกครองบริหารราชการแผ่นดินไร้วิสัยทัศน์ ไม่เห็นหัวประชาชนต่างหาก

นึกไม่ออกเลยว่าคนเราต้องโหดเหี้ยมอำมหิตขนาดไหนถึงสามารถลอยหน้าลอยตาเสวยสุข เสพอำนาจอยู่บนความทุกข์ยากเดือดร้อน เจ็บไข้ได้ป่วย และความตายของประชาชนได้โดยไม่อินังขังขอบ

บนความเหนื่อยยาก เสียสละ ทุ่มเททำงานอย่างหนักของแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องตลอดจนอาสาสมัคร เพื่อต่อสู้กับไวรัสโคโรนา 2019 แต่ด้วยความไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาล การแทรกแซงระบบบริหารราชการแผ่นดินไม่ใช่หรือที่ทำให้ประเทศไทยมาถึงจุดนี้

ก่อนหน้านั้น ใครออกมาตั้งข้อสังเกต สงสัยว่าเหตุใดรัฐบาลจึงไปเห็นดีเห็นงามกับการที่บริษัทเอกชนรายหนึ่งจะตั้งโรงงานขึ้นมาผูกขาดผลิตวัคซีนโควิด-19 ขายให้กับทางราชการเป็นหลัก แถมยังอนุมัติเงินงบประมาณก้อนหนึ่งจำนวน 600 ล้านบาทประเคนให้อีกด้วย

ทำไมแผนการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับประชาชนคนไทยจึงมีความล่าช้า เพราะกว่าจะตั้งโรงงานดำเนินการผลิต ทยอยส่งมอบได้ก็เป็นเดือนมิถุนายน 2564 โดยระหว่างนั้นก็ไปซื้อหาวัคซีนจีน ซึ่งนักธุรกิจอภิมหาเศรษฐีคนหนึ่งร่วมลงทุนด้วยมาแก้ขัด

เวลานั้น ใครพูดอะไรไม่ได้เลย ทำราวกับเป็นวัคซีนเทวดา อย่าได้ไปแตะต้องเชียว จะเป็นจะตายกันให้ได้ ออกมาแก้ต่างแก้ตัวกันสารพัด กล่าวหาว่าเป็นฝ่ายตรงกันข้ามบ้าง ไม่สร้างสรรค์ ไม่หวังดีบ้าง ยกกฎหมายทมิฬขึ้นมาข่มขู่คุกคาม จะจับกุมคุมขังเข้าคุกเข้าตะรางกันเลยทีเดียว

ทำเอาชาวบ้านร้านตลาดได้แต่ก้มหน้าทำตาปริบ อยู่กันด้วยความว้าเหว่ สิ้นหวัง วังเวง

กระทั่งมาเจอโควิด-19 ระลอกสามเข้าเท่านั้น ด้วยจำนวนผู้คนเจ็บป่วยล้มตายลงเป็นจำนวนมาก โดยไม่มีวี่แววว่ารัฐจะจัดการกับการแพร่ระบาดของโรค

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อ 40 ซีอีโอบริษัทธุรกิจรายใหญ่ออกมาแสดงท่าทีระบุว่า การฉีดวัคซีนให้กับประชาชนของภาครัฐมีความล่าช้า เรียกร้องต้องการให้มีการจัดหาวัคซีนทางเลือกให้เพียงพอ เพื่อนำไปสู่การเปิดประเทศ กอบกู้ฟื้นฟูเศรษฐกิจต่อไป

นั่นล่ะ จึงได้ละล่ำละลักปฏิเสธผูกขาดวัคซีน ประกาศจะจัดหาเพิ่มเติมจากบริษัทนั้นบริษัทนี้ จะฉีดให้ได้ถึง 100 ล้านโดสภายในสิ้นปีบ้าง จะหามาเพิ่มเป็น 150 ล้านโดสบ้าง พร้อมยอมให้เอกชนจัดหาวัคซีนเป็นทางเลือก ฯลฯ

สารพัดจะทำเลยทีเดียวก็ว่าได้ จากแผนการเดิมที่สั่งซื้อวัคซีนจีนเอาไว้ราว 2.5 ล้านโดสฉีดให้กับประชาชนระหว่างรอโรงงานภายในประเทศที่สั่งซื้อเอาไว้ 26 ล้านโดสเดินเครื่อง เริ่มผลิต ทยอยส่งมอบได้ในเดือนมิถุนายน และจองซื้อเอาไว้อีก 35 ล้านโดส สิริรวมทั้งสิ้น 61 ล้านโดส

ถึงตอนนี้ก็ยังนึกไม่ออกจริงๆ ว่า คนเราต้องโหดเหี้ยม อำมหิตขนาดไหนถึงได้ตัดสินใจบริหารจัดการวัคซีนแบบนั้น โดยสามารถเอาชีวิตประชาชนคนไทยไปสังเวยความล่าช้าในการฉีดวัคซีนให้กับประชากร เพื่อประโยชน์อันใดก็ยังเป็นเรื่องลึกลับดำมืดอยู่จนทุกวันนี้

ไม่ใช่เฉพาะเรื่องของวัคซีนโควิด-19 แต่เพียงเท่านั้น 

ยังมีประเด็นเกี่ยวด้วยการจับกุมเด็กและเยาวชน นักเรียนนักศึกษา ประชาชนซึ่งออกมาเคลื่อนไหว เรียกร้องต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ยกร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยและปฏิรูปสถาบันกษัตริย์

พระราชกำหนดว่าด้วยการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งประกาศใช้บังคับเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 กลับถูกนำเอาไปเป็นเครื่องมือในการปราบปรามผู้ซึ่งมีความคิดเห็นทางการเมืองแตกต่างไปจากรัฐบาล ปิดปากฝ่ายตรงกันข้าม

ใช้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ในลักษณะเหวี่ยงแหครอบจักรวาล

จับกุมลูกหลาน เยาวชน คนรุ่นหลังไปคุมขังในคุกตะราง อยู่ในสภาพที่ไม่แตกต่างไปจากนักโทษซึ่งต้องคำพิพากษาถึงที่สุดแต่อย่างใด

ย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ปล่อยให้ทุกข์ทรมานจนต้องจำยอมรับเงื่อนไขเพื่อแลกเปลี่ยนกับการได้รับอิสรภาพชั่วคราว

จิตใจทำด้วยอะไรถึงโหดร้ายได้แม้กระทั่งเด็ก เยาวชน นักเรียนนักศึกษาซึ่งอยู่ในวัยลูกหลาน

เช่นเดียวกับประเด็นสมาชิกภาพ ส.ส. และความเป็นรัฐมนตรีของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า โดยหลักอธิปไตย ร.อ.ธรรมนัสต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกโดยศาลแขวงรัฐนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย ไม่ใช่คำพิพากษาของศาลไทย จึงไม่มีลักษณะต้องห้าม สมาชิกภาพ ส.ส.และความเป็นรัฐมนตรีไม่สิ้นสุดลง

งามหน้ากันทั้งประเทศเมื่อสำนักข่าวต่างชาตินำเสนอข่าวไปทั่วโลก

ไม่ว่าจะเป็น CNN: Thai court rules minister can keep job despite alleged heroin trafficking link หรือ BBC: Thailand court allows minister to keep post despite drug conviction ฯลฯ

อย่างไรก็ตาม ลำพังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญแล้วเป็นเพียงแค่ปลายทางของปัญหาที่เกิดขึ้นเท่านั้น

ประเด็นการเข้าสู่การเมือง ใช้อำนาจรัฐของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ถึงความถูกต้อง เหมาะสม ชอบธรรมหรือไม่ มาช้านาน  ขณะที่เจ้าตัวหาญกล้าพูดจาเต็มปากเต็มคำอ้างว่า ที่เป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา เพราะตัวเองเปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่หล่อเลี้ยงรัฐบาล

เหตุปัจจัยจึงอยู่ที่กระบวนการสืบทอดอำนาจ จนนำไปสู่การแต่งตั้งรัฐมนตรีซึ่งเคยต้องคำพิพากษาจำคุกในต่างประเทศด้วยข้อหาความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดเป็นสำคัญ

เอานักเดินยา พ่อค้าเฮโรอีนมาเป็นเสนาบดี

นึกไม่ออกอีกเหมือนกันว่าคนเราต้องอำมหิตขนาดไหน ถึงสามารถปู้ยี่ปูยำทำร้ายประเทศชาติบ้านเมืองได้อย่างนั้น

บ้านเมืองไม่วิบัติฉิบหายได้อย่างไร ช่วยเหลือปกปิดความชั่วร้ายกันเข้าไป ลูกหลานคนรุ่นหลังจะได้ไม่ต้องเปลืองเนื้อเปลืองตัว

MOST READ

Thai Politics

3 May 2023

แดง เหลือง ส้ม ฟ้า ชมพู: ว่าด้วยสีในงานออกแบบของพรรคการเมืองไทย  

คอลัมน์ ‘สารกันเบื่อ’ เดือนนี้ เอกศาสตร์ สรรพช่าง เขียนถึง การหยิบ ‘สี’ เข้ามาใช้สื่อสาร (หรืออาจจะไม่สื่อสาร?) ของพรรคการเมืองต่างๆ ในสนามการเมือง

เอกศาสตร์ สรรพช่าง

3 May 2023

Politics

23 Feb 2023

จากสู้บนถนน สู่คนในสภา: 4 ปีชีวิตนักการเมืองของอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล

101 ชวนอมรัตน์สนทนาว่าด้วยข้อเรียกร้องจากนอกสภาฯ ถึงการถกเถียงในสภาฯ โจทย์การเมืองของก้าวไกลในการเลือกตั้ง บทเรียนในการทำงานการเมืองกว่า 4 ปี คอขวดของการพัฒนาสังคมไทย และบทบาทในอนาคตของเธอในการเมืองไทย

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

23 Feb 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save