fbpx

วาทกรรมเฟกนิวส์กับบรรยากาศแห่งความ(ไม่)กลัว

อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ มักเรียกเรื่องราวหรือแม้แต่นักข่าวที่เขาไม่ชอบว่า ข่าวกุ ข่าวปลอม ข่าวบิดเบือน หรือเฟกนิวส์ (fake news) ขณะที่ที่ปรึกษาประธานาธิบดีตอนนั้นได้สร้างคำว่า ‘ความจริงทางเลือก’ (alternative facts) เพื่อกลบเกลื่อนข้อมูลเท็จที่รัฐบาลเป็นผู้ปล่อยให้กับสื่อมวลชน

ในทำนองเดียวกัน ประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตอร์เตของฟิลิปปินส์ก็นิยมตีตรานักข่าวที่วิพากษ์วิจารณ์เขาว่าเป็นพวกผลิตเฟกนิวส์ และยังดำเนินคดีกับหลายคนในข้อหาหมิ่นประมาทจากเนื้อหาที่เผยแพร่ออนไลน์

ปรากฏการณ์แบบเดียวกันกำลังเกิดขึ้นในสังคมไทย

ท่ามกลางกระเสกังขาและวิกฤตศรัทธาของประชาชนจากนโยบายเรื่องวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของรัฐไทย เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคมที่ผ่านมา รัฐบาลได้ประกาศใช้ข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งบังคับใช้ในช่วงสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 เพื่อดำเนินการกับข้อมูลข่าวสารบิดเบือนผ่านสื่อต่างๆ ซึ่งทางองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนด้านข่าวสาร 6 องค์กรก็ได้ร่วมกันออกแถลงการณ์ขอให้รัฐบาลทบทวนข้อกำหนดดังกล่าวโดยอ้างถึงผลกระทบต่อสิทธิในการรับรู้ข่าวสารและเสรีภาพในการแสดงออกของสื่อสารมวลชนและประชาชน

หลังการเคลื่อนไหวของกลุ่มประชาชนเพื่อประท้วงรัฐบาลในเรื่องการบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19 และการจัดหาวัคซีนที่มีคุณภาพในวันที่ 18 กรกฎาคม ซึ่งปรากฏว่ามีการปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สกัดม็อบด้วยรถฉีดน้ำ แก๊สน้ำตา และกระสุนยาง ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บหลายรายรวมถึงนักข่าวด้วย นำไปสู่กระแสอันร้อนแรงบนโลกออนไลน์อีกระลอก โดยเฉพาะในกลุ่มที่ไม่สนับสนุนรัฐบาล

อีกสามวันต่อมา ทางกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ออกมาเตือนประชาชนโดยเฉพาะผู้นำทางความคิดที่มีอิทธิพลในโลกออนไลน์ เน้นไปที่กลุ่มดารานักแสดงซึ่งมีผู้ติดตามจำนวนมากให้หลีกเลี่ยงการโพสต์ข้อมูลที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลและการดำเนินนโยบายในเรื่องวัคซีนบนโซเชียลมีเดีย โดยอ้างว่าอาจเป็นการบิดเบือนข้อมูลและเข้าข่ายเฟกนิวส์ สามารถถูกดำเนินคดีตามกฎหมายได้ ขณะเดียวกันก็แจ้งว่าเตรียมดำเนินคดีกับผู้โพสต์หรือแชร์ข้อความที่เข้าข่ายการกระทำความผิดตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งหมด 147 ราย จากเฟซบุ๊ก 15 รายและทวิตเตอร์ 132 ราย

อย่างไรก็ดี ดาราและผู้นำทางความคิดส่วนหนึ่งไม่ได้หยุดการวิพากษ์วิจารณ์ หากแต่ยังแสดงออกถึงความไม่พอใจและความคลางแคลงในการทำหน้าที่ของผู้มีอำนาจทางนโยบายอย่างต่อเนื่อง ดาราชายคนหนึ่งได้ตั้งคำถามกลับไปที่เพลง ‘เราจะทำตามสัญญา’ ของนายกรัฐมนตรีเมื่อสมัยเป็นหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ว่าเป็นเรื่องเท็จหรือไม่ และประชาชนอย่างเขามีสิทธิฟ้องรัฐบาลหรือไม่

ถึงกระนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่รัฐไทยสถาปนาเฟกนิวส์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ ‘ดิสอินฟอร์เมชัน’ (disinformation จะอธิบายต่อไป) ขึ้นมาเป็นวาทกรรม (หมายถึง ชุดความคิดและการสื่อความหมายซึ่งนำไปสู่การรับรู้ความจริงที่สร้างอำนาจให้คนกลุ่มหนึ่งและลดทอนอำนาจคนอีกกลุ่มหนึ่ง) สะท้อนความพยายามในการสร้างบรรยากาศแห่งความกลัวด้วยการอ้างการลงโทษตามข้อกฎหมาย ซึ่งหากทำได้สำเร็จก็น่าจะส่งผลในทางลบต่อการสื่อสารที่เสรี บรรยากาศแห่งการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และการตรวจสอบอำนาจบนฐานแห่งข้อมูลและการปรึกษาหารือในระบอบประชาธิปไตย

แน่นอนว่า ข้อมูลกุ ข่าวปลอม เรื่องราวที่เป็นเท็จ และสารที่บิดเบือน เป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์อย่างยิ่งในสถานการณ์โรคระบาดใหญ่ในปัจจุบัน เพราะย่อมนำไปสู่ความระส่ำระสายของการรับรู้ข้อเท็จจริง ทัศนคติอันไม่เชื่อถือต่อมาตรการของภาครัฐ และพฤติกรรมที่อาจจะไม่เอื้อต่อการควบคุมโรคระบาดในหลายมิติ

ทว่าเราก็ไม่ควรหลงประเด็น เนื่องจากสิ่งที่รัฐบาลกำลังตั้งคำถามและมุ่งจัดการอาจไม่ได้สะท้อนเฟกนิวส์หรือดิสอินฟอร์เมชันในรูปแบบและลักษณะที่เป็นปัญหาในระดับสากลเสมอไป นอกจากนี้ รัฐไทยยังได้ละเลยที่จะพิจารณาแนวทางอันหลากหลายในการจัดการกับดิสอินฟอร์เมชัน (หากพิสูจน์ได้ว่าเป็นตามนั้นจริง) นอกเหนือจากการใช้กฎหมายเพื่อปิดปากและลงโทษไปด้วย

เฟกนิวส์ และ ดิสอินฟอร์เมชัน ในความหมายที่เป็นสากล

เฟกนิวส์ ซึ่งแปลตรงตัวว่าข่าวเท็จหรือข่าวปลอมถูกทำให้แพร่หลายในสหรัฐอเมริกานับแต่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ใน ค.ศ. 2016 เนื่องจากมีข้อกล่าวหาและหลักฐานเชิงประจักษ์ว่ามีการกุข่าวและการแพร่กระจายของข้อมูลเท็จ ทั้งที่เป็นความผิดพลาดและประดิษฐ์ขึ้นอย่างเป็นระบบเพื่อส่งผลต่อมติมหาชนในช่วงการรณรงค์หาเสียงการเลือกตั้ง อย่างไรก็ดี ในเวลาต่อมาคำว่าเฟกนิวส์ถูกมองว่าเป็นการด้อยค่าความหมายของข่าว (news) ซึ่งต้องมีองค์ประกอบของความถูกต้อง เที่ยงตรง และการตรวจสอบเป็นพื้นฐาน ผู้เชี่ยวชาญและนักวิจัยด้านนี้โดยเฉพาะจากยุโรปจึงเสนอให้ใช้คำว่า ดิสอินฟอร์เมชัน (disinformation) แทนทั้งในวงการวิชาการและวิชาชีพ

ในส่วนของดิสอินฟอร์เมชัน แม้คำนี้จะถูกใช้มาตั้งแต่ ค.ศ. 1939 โดยนาซีเยอรมนีและถูกทำให้แพร่หลายในหน่วยสืบราชการลับของสหภาพโซเวียตภายใต้ชื่อว่า dezinformatsiya  แต่คำนี้เพิ่งจะได้รับความสนใจในระดับโลกเมื่อทศวรรษเศษๆ ที่ผ่านมานี้เอง โดยเป็นคำเรียกที่ครอบคลุมถึง ข้อมูลที่ผิดเป็นเท็จและบิดเบือนซึ่งสามารถจะนำไปสู่ผลกระทบในทางลบต่อระบบนิเวศข่าวสารจากความไม่จริงหรือผิดพลาดของข้อมูล ตลอดจนผลเชิงพฤติกรรมในระดับสังคม ไม่ว่าจะเป็น ผลเสียต่อการพัฒนาประชาธิปไตย สุขภาวะของคนในสังคม ชุมชนของชนกลุ่มน้อยและผู้ด้อยโอกาส หรือเสรีภาพในการแสดงออก เป็นต้น

ดิสอินฟอร์เมชัน อาจมีการดำเนินการเป็นโครงการหรือขบวนการอย่างเป็นระบบ เช่น มีการจัดการเนื้อหาทั้งทางอักษร เสียง ภาพ อาจมีการสร้างทฤษฎีสมคบคิดหรือสร้างข่าวลือเพื่อส่งผลต่อมติมหาชน ส่วนใหญ่จะมีการวางแผนและจัดการโดยผู้ปฏิบัติการทั้งในภาครัฐและไม่ใช่ ทั้งโดยปัจเจกบุคคลและกลุ่มบุคคล และในพื้นที่ออนไลน์มักจะเป็นการใช้เครื่องมือทางเทคโนโลยีอย่างบอต (bot) และอัลกอริทึมที่แนะนำหรือฟีดข้อมูลให้โดยประมวลจากแนวโน้มหรืออคติทางการรับรู้ของผู้ใช้ ซึ่งอาจส่งผลในการสร้างสิ่งแวดล้อมแบบฟองสบู่ตัวกรอง (filter bubble) อันเป็นเสมือนกระจกสะท้อนด้านเดียวที่คัดเลือกและฟีดเนื้อหาให้ผู้ใช้จากโปรไฟล์ส่วนบุคคล แบบแผนการใช้แพลตฟอร์ม และการเชื่อมโยงจากลักษณะร่วมระหว่างผู้ใช้ในเครือข่าย ทำให้ผู้ใช้ได้ปะทะสังสรรค์กับเฉพาะข้อมูลที่ถูกจริตหรือแม้แต่ช่วยตอกย้ำอคติใดๆ ที่มีด้วยการเชื่อมโยงกับเพจหรือผู้ใช้อื่นที่มีอคติแบบเดียวกัน

ในภาวะโรคระบาดใหญ่ ดิสอินฟอร์เมชันที่แพร่ระบาดและสร้างผลกระทบกว้างขวางนำไปสู่ปรากฏการณ์ของ ดิสอินฟอร์เดมิก (disinfodemic)  ซึ่งเป็นการผสมคำระหว่าง disinformation กับ epidemic ซึ่งแปลว่าโรคระบาด งานวิจัยภายใต้การสนับสนุนและเผยแพร่โดย UNESCO  เรื่อง ‘Disinfodemic: Deciphering Covid-19 disinformation’ ได้ระบุประเด็นแก่นสำคัญ 9 ประการที่มีอยู่ในเนื้อหาของภาวะดิสอินฟอร์เดมิก ดังนี้

ที่มา : Julie Posetti and Kalina Bontcheva. (2021). “Disinfodemic: Deciphering Covid-19 disinformation. Policy Brief 1”. Paris: UNESCO.

เพราะฉะนั้น หากทางกระทรวงดีอีจะดำเนินคดีกับผู้ถูกกล่าวหาว่าสร้างเฟกนิวส์ภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินอันเกี่ยวข้องกับโรคระบาด ก็ควรจะมีฐานคิดซึ่งมีการวิจัยซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากลแบบนี้เป็นแนวทาง

แนวทางการรับมือกับดิสอินฟอร์เมชันทำได้อย่างไรบ้าง

งานวิจัยที่จัดทำให้ UNESCO ในปี 2020 ระบุว่านอกจากการใช้กฎหมายและมาตรการของรัฐในการจัดการกับดิสอินฟอร์เมชัน ยังมีแนวทางอื่นๆ ที่มีประสิทธิภาพในการจัดการกับดิสอินฟอร์เมชัน ซึ่งคำนึงถึงเสรีภาพในการแสดงออก เสรีภาพของสื่อ ตลอดจนการส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานทางวิชาชีพของสื่อ และการรู้เท่าทันสื่อและข้อมูลข่าวสาร ซึ่งสามารถสรุปให้เห็นตามภาพด้านล่าง โดยภาพรวม แนวทางเหล่านี้เน้นไปที่การตอบสนองตามผู้กระทำการที่อยู่เบื้องหลังดิสอินฟอร์เมชัน เช่น อุตสาหกรรมอินเทอร์เน็ต รัฐบาล ภาคประชาสังคม และกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ เป็นต้น

รายละเอียดโดยสังเขปของแนวทางที่เป็นสากลในการตอบสนองกับดิสอินฟอร์เมชัน
(ที่มา: Kalina Bontcheva and Julie Posetti, 2020, “Balancing Act: Countering Digital Disinformation while Respecting Freedom of Expression,” Broadband Commission research report on ‘Freedom of Expression and Addressing Disinformation on the Internet’.
 Geneva and Paris: ITU and UNESCO, p.38.)

ด้วยความเข้าใจเกี่ยวกับดิสอินฟอร์เมชันโดยเฉพาะในบริบทโรคระบาดดังกล่าวไปข้างต้น จึงไม่ใช่การกล่าวเกินจริงไปที่จะพิจารณารัฐในฐานะผู้ปฏิบัติการหลักฝ่ายหนึ่ง งานวิจัยเกี่ยวกับดิสอินฟอร์เมชันในเอเชียชี้ให้เห็นว่า รัฐคือตัวเล่นหลักในการสร้างและทำให้ดิสอินฟอร์เมชันยั่งยืน และในสถานการณ์ของสังคมที่ขัดแย้งแบ่งขั้วสูง ปฏิบัติการดิสอินฟอร์เมชันที่ทำเป็นระบบจนขยายอิทธิพลกว้างขวางสามารถส่งผลต่อสื่อวารสารศาสตร์วิชาชีพซึ่งกลายมาเป็นเหยื่อของการเผยแพร่ข่าวกุข่าวลวงเสียเองจนประชาชนเสื่อมศรัทธา เพราะไม่เห็นความแตกต่างระหว่างข่าวจริงกับข่าวปลอมที่ถูกกุหรือประดิษฐ์ขึ้น

ในสถานการณ์เช่นนี้ ผู้ที่มีอำนาจทางกฎหมายและนโยบายย่อมอยู่ในภาวะได้เปรียบที่จะสร้างและทำให้วาทกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อระบอบอำนาจของตนแผ่ขยายเป็นวาทกรรมหลักเพื่อส่งอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิดและพฤติกรรมของคนในสังคม เพราะพวกเขาไม่เพียงจะครอบครองและครอบงำการสื่อสารในช่องทางหลักๆ ของสังคม หากแต่ยังมีอำนาจตามกฎหมายในการปิดกั้นการแสดงออกด้วยการกำหนดว่าอะไรพูดได้หรือไม่ได้ด้วย

การตีตราทุกคนที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลหรือแสดงทัศนะอันกังขากับแนวทางการจัดหาและจัดสรรวัคซีนไปจนถึงประสิทธิภาพของวัคซีนว่า กำลังบิดเบือนข้อมูลข่าวสารและกำลังสร้างเฟกนิวส์นั้น นอกจากจะไม่ใช่แนวทางที่เคารพสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามรัฐธรรมนูญแล้ว ยังเป็นเสมือนการราดน้ำมันเข้าไปในกองไฟที่ลุกโชนอยู่แล้ว เพราะสะท้อนให้เห็นกรอบคิดว่ารัฐเท่านั้นที่มีความชอบธรรมในการนิยามความจริง ขณะที่ประชาชนผู้ใช้สื่อออนไลน์ (รวมถึงผู้นำทางความคิดและผู้มีชื่อเสียงด้วย) ที่แสดงออกซึ่งความไม่พอใจกับนโยบายที่กระทบกับชีวิตและสุขภาพของพวกเขาถูกด้อยค่าว่าเป็นเพียงคนโกหกและบิดเบือนข้อมูล (เพราะสร้างเฟกนิวส์) ทั้งๆ ที่หลักฐานเชิงประจักษ์ก็ปรากฏให้เห็นว่าประชาชนกำลังประสบกับความยากลำบากอย่างไร วัคซีนที่มีคุณภาพมีให้พอเพียงหรือไม่

อันที่จริง การพยายามข่มขวัญและดิสเครดิตผู้ท้าทายอำนาจรัฐด้วยวิธีต่างๆ ในช่วงความนิยมขาลงไม่ใช่เรื่องใหม่ในสังคมไทย สมัยอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร อยู่ในช่วงความนิยมขาลงก่อนจะถูกรัฐประหารในปี 2549 ก็ปรากฏว่ามีการฟ้องหมิ่นประมาททั้งสื่อมวลชนและนักเคลื่อนไหวทางสังคมพร้อมเรียกค่าเสียหายเป็นจำนวนรวมหลายร้อยล้านบาท ยังไม่รวมการครอบครองซื้อสื่อหรือการเซ็นเซอร์สื่อ ซึ่งตอนนั้นความพยายามเหล่านี้ก็ค่อนข้างจะประสบผลในการสร้างบรรยากาศแห่งความกลัว เพราะคนจำนวนไม่น้อยไม่อยากเสี่ยงกับการถูกฟ้องร้อง ต้องขึ้นโรงขึ้นศาล หรือถูกปิดรายการ เสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็เลยเงียบลงไปประมาณหนึ่ง

แต่ด้วยภูมิทัศน์สื่อที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างพลิกโฉม ทำให้การมีส่วนร่วมและการแสดงออกผ่านพื้นที่ออนไลน์ขยายขอบเขตเป็นเครือข่ายที่โยงใยกว้างขวางจนสะสมต้นทุนทางสังคมร่วมกันได้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เหล่านี้ประกอบกับสภาพการแบ่งขั้วทางความคิดและความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่สืบเนื่องยาวนานในสังคมไทยทำให้การสถาปนาวาทกรรมเฟกนิวส์อาจไม่ประสบผลในระดับที่เทียบเคียงกันกับกรณีอดีต เพราะความไม่ทนกำลังแปรเปลี่ยนเป็นความไม่กลัว และนำไปสู่วาทกรรมแบบต่อต้านซึ่งสามารถขยายผลที่ไม่อาจคาดเดาได้ต่อไป

MOST READ

Thai Politics

3 May 2023

แดง เหลือง ส้ม ฟ้า ชมพู: ว่าด้วยสีในงานออกแบบของพรรคการเมืองไทย  

คอลัมน์ ‘สารกันเบื่อ’ เดือนนี้ เอกศาสตร์ สรรพช่าง เขียนถึง การหยิบ ‘สี’ เข้ามาใช้สื่อสาร (หรืออาจจะไม่สื่อสาร?) ของพรรคการเมืองต่างๆ ในสนามการเมือง

เอกศาสตร์ สรรพช่าง

3 May 2023

Politics

23 Feb 2023

จากสู้บนถนน สู่คนในสภา: 4 ปีชีวิตนักการเมืองของอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล

101 ชวนอมรัตน์สนทนาว่าด้วยข้อเรียกร้องจากนอกสภาฯ ถึงการถกเถียงในสภาฯ โจทย์การเมืองของก้าวไกลในการเลือกตั้ง บทเรียนในการทำงานการเมืองกว่า 4 ปี คอขวดของการพัฒนาสังคมไทย และบทบาทในอนาคตของเธอในการเมืองไทย

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

23 Feb 2023

Thai Politics

20 Jan 2023

“ฉันนี่แหละรอยัลลิสต์ตัวจริง” ความหวังดีจาก ‘ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์’ ถึงสถาบันกษัตริย์ไทย ในยุคสมัยการเมืองไร้เพดาน

101 คุยกับ ‘ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์’ ถึงภูมิทัศน์การเมืองไทย การเลือกตั้งหลังผ่านปรากฏการณ์ ‘ทะลุเพดาน’ และอนาคตของสถาบันกษัตริย์ไทยในสายตา ‘รอยัลลิสต์ตัวจริง’

ภาวรรณ ธนาเลิศสมบูรณ์

20 Jan 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save