วจนา วรรลยางกูร เรื่อง
Shin Egkantrong ภาพประกอบ
“เหมือนที่ผ่านมาเราเห็นแก่ตัว เราเป็นทรานส์(transgender)…เหนื่อยนะ แต่ไม่เคยคิดเลยว่าถ้าเป็นคนพิการแล้วยังต้องต่อสู้กับภาวะความหลากหลายทางเพศอีกเหรอ ฟังแล้วรู้สึกโหดร้ายจังเลย ทำไมสังคมมันช่างลำบากเหลือเกิน ขึ้นบันไดก็ไม่ได้แล้วยังต้องมานั่งคิดอีกเหรอว่าคนจะยอมรับเพศสภาพเราได้ไหม”
บทสนทนานี้มาจากคลิปวีดีโอที่บันทึกถ้อยคำที่ ไอซ์ ผู้หญิงข้ามเพศ พูดกับ สว่าง นักกิจกรรมเพื่อสิทธิคนพิการ ถึงเรื่องคนพิการที่มีความหลากหลายทางเพศ ซึ่งเป็นประเด็นที่ไอซ์ไม่ได้นึกถึงมาก่อน
คลิปวิดีโอดังกล่าวเป็นการแลกเปลี่ยนระหว่าง ผู้หญิงข้ามเพศ, คนพิการ, เกย์ และคนหูหนวกที่มีความหลากหลายทางเพศ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการพยายามสลายเส้นแบ่งระหว่างกลุ่มเพศหลากหลายและคนพิการ ให้เห็นประเด็นร่วมกันเรื่องการถูกเลือกปฏิบัติ ซึ่งมีการจัดวงพูดคุย ‘Double Discrimination: LGBTI persons with disabilities’ โดย Very Inclusive Party กลุ่มนักศึกษาปริญญาโทหลักสูตรการพัฒนาระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ร่วมกับ SEA Junction
สิ่งหนึ่งที่พบจากบทสนทนานี้คือที่ผ่านมากลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบจากการเลือกปฏิบัติของสังคมยังไม่มีการแลกเปลี่ยนหรือการจับมือร่วมกันทำงานมากพอ นักกิจกรรมด้านคนพิการและนักกิจกรรมด้านความหลากหลายทางเพศต่างแยกกันทำงาน จนอาจทำให้คนพิการที่มีความหลากหลายทางเพศถูกละเลยและต้องเจอกับการเลือกปฏิบัติซ้ำสอง
น้อง เกย์หูหนวกเล่าไว้ในบทสัมภาษณ์ว่าคนที่พิการและมีความหลากหลายทางเพศเช่นเธอมีที่ทางในสังคมน้อยมาก ทั้งที่อยากเข้าร่วมสังคมเกย์แต่ก็มีอุปสรรคด้านการสื่อสาร เพราะเธอต้องใช้ภาษามือ ขณะที่การอยู่ในสังคมคนหูหนวกก็เจอการกลั่นแกล้งจากคนที่ไม่เข้าใจเรื่องความหลากหลายทางเพศ
“ผู้ชายในกลุ่มคนหูหนวกบางคนก็แกล้งเกย์ ฉันเป็นคนหูหนวก เขาก็เป็นคนหูหนวกเหมือนกัน แล้วทำไมต้องรังเกียจที่เราเป็นเกย์ ทั้งที่เราอยู่ในสังคมเดียวกันได้ เมื่อก่อนเรื่องนี้ทำให้หงุดหงิด แต่ตอนนี้ไม่ได้สนใจแล้ว เพราะฉันมีความสุขมาก ฉันมีร่างกายที่สวยงาม คนหูดีสื่อสารด้วยการพูด ส่วนฉันก็สื่อสารด้วยภาษามือ มันเป็นสิทธิที่เท่าเทียม ฉันไม่อายที่จะใช้ภาษามือ เรามีการศึกษา มีงานทำ มีภาษามือ มีล่าม คนหูดีจะต้องเข้าใจเรา” น้องสื่อสารผ่านภาษามือพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า
“ทางเลือกของเราไม่มีเลย”
ผักกาด คนพิการที่มีคนรักเพศเดียวกันกล่าวในวงแลกเปลี่ยน เธอมองว่าความพิการเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่นอกจากรัฐจะไม่สร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อคนพิการอย่างเพียงพอแล้ว เธอยังเจอการเลือกปฏิบัติและการล้อเลียนตั้งแต่เด็ก เมื่อเด็กคนอื่นที่โตมาโดยไม่เคยเจอคนที่แตกต่างจากตัวเองก็จะมองคนที่นั่งวีลแชร์อย่างเธอเป็นตัวประหลาด
ความพิการและความหลากหลายทางเพศยังคงถูกหยิบมาล้อเลียนด้วยความสนุกสนานทางสื่อต่างๆ ยิ่งสร้างความเจ็บปวดให้คนที่ถูกแบ่งแยกจากสังคม กระทั่งการพาดหัวข่าวที่ผักกาดเห็นว่าเป็นการย้ำถึงความไม่ปกติของคนพิการและ LGBT
“เราถูกทำให้เป็นคนที่แตกต่างจากคนอื่นในสังคม เวลาเกิดเหตุการณ์ต่างๆ สื่อจะพาดหัว ‘ไอ้เป๋ขายยาบ้า’ หรือถ้าเป็น LGBT ก็จะถูกหยิบเรื่องเพศมาพาดหัว ทำไมไม่พาดไปเลยว่าเป็นใคร เช่น ‘ผักกาดขายยาบ้า’ สังคมยังไม่มีพื้นที่ให้เราได้ยืนเต็มที่ อยากให้มองว่าเราเป็นคนเหมือนกัน”
ชีวิตของผักกาดเป็นภาพสะท้อนการถูกเลือกปฏิบัติที่ซ้ำซ้อนจากสังคม เธอไม่ได้เข้าสู่ระบบการศึกษาเพราะไม่เข้าถึงโรงเรียนที่มีสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวยต่อคนพิการ เมื่อไม่มีการศึกษาและการเดินทางในชีวิตประจำวันไม่สะดวกเธอจึงตกงาน
สิ่งที่ตอกย้ำชีวิตผักกาดมากขึ้นคือการถูกมองในแง่ลบเพียงเพราะเธอเป็น LGBT
“คนพิการมีความรักคนก็มองว่าไม่เจียมตัว ยิ่งชอบคนเพศเดียวกันเขายิ่งมองเราแตกต่างเข้าไปอีก แต่ร่างกายเราอ่อนแรงขยับได้แค่ปลายนิ้ว ใช้ชีวิตลำบากกว่าคนอื่น การมีคนมาช่วยในชีวิตประจำวันจะทำให้สะดวกมากขึ้น เขาเป็นแขน เป็นขา และเป็นเพื่อน เราสามารถเดินทางมาร่วมงานนี้ได้ก็เพราะเขา”
“เลิกคิดว่าเป็นเรื่องเวรกรรม”
ในสายตาของเพศหลากหลาย ศิริ นิลพฤกษ์ มองว่าจุดร่วมระหว่างคนพิการกับ LGBT คือการเป็นคนส่วนน้อยเหมือนกัน และจะเจอคำพูดบั่นทอนจิตใจคล้ายกันคือ “เขาว่ากันว่าเพราะคนสองกลุ่มนี้ทำบาปเมื่อชาติที่แล้ว” โดยมีการยกความเชื่อว่าคนที่เกิดมาเป็นคนหลากหลายทางเพศเพราะชาติที่แล้วลักลูกลักเมียเขา หรือเกิดเป็นคนพิการเพราะชาติที่แล้วไปทำร้ายคนอื่น
“คนพิการและ LGBT ถูกด่าว่าเป็นแบบนี้เพราะเวรกรรม เผชิญการถูกเลือกปฏิบัติ แล้วยังต้องทำงานให้หนักกว่าคนอื่นหลายเท่าเพื่อให้หน่วยงานเห็นความสามารถ เราต้องเลิกคิดว่าสิ่งที่เราเป็นนั้นเป็นเรื่องเวรกรรม เราต้องทำให้เห็นว่ามีเสียงของคนแบบเราเยอะ โดยเฉพาะในหน่วยงานราชการ ต้องสร้างความเข้าใจให้สามารถทำงานร่วมกันได้” ศิริกล่าว
ในสายตาของคนพิการ สว่าง ศรีสม นักกิจกรรมเพื่อสิทธิคนพิการ มองจุดร่วมในประเด็นนี้ว่า คนทั้งสองกลุ่มถูกมองเป็น ‘ความไม่ปกติ’ ของสังคม โดยมีต้นเหตุที่คนเหล่านั้นไม่เข้าใจเรื่องความหลากหลายของมนุษย์ หากพวกเขาเข้าใจว่ามนุษย์มีความหลากหลาย ก็จะเข้าใจได้ว่าทั้งคนพิการหรือคนหลากหลายทางเพศคือความปกติ
“ในอดีตความหลากหลายไม่ใช่เรื่องปกติเพราะคนไม่รู้ว่าจะปฏิบัติกับคนที่แตกต่างจากตัวเองยังไง เป็นความกลัวจากความไม่รู้ เช่น เมื่อก่อนคนพิการจะถูกขังในสถานสงเคราะห์ เพราะรัฐบาลล้มเหลวในการจัดหาสาธารณูปโภคเพื่อรองรับคนกลุ่มนี้ จึงง่ายกว่าที่จะเอาคนพิการไปรวมไว้ในที่หนึ่งโดยที่รัฐบาลไม่ต้องทำอะไรเลย แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง เราต้องการมีอิสระ เราต้องการอยู่ร่วมในสังคม แต่จะทำอย่างนั้นได้เราต้องเข้าถึงบริการสาธารณะต่างๆ” สว่างกล่าว
“ต้องเจ็บปวดอีกเท่าไหร่พวกเขาจึงจะรู้สึก”
“ผมเป็นเกย์ ตอนเป็นเด็กผมมีความเป็นเฟมินีนมากกว่านี้ แต่พอเห็นเพื่อนในโรงเรียนที่เป็นเกย์ออกสาวโดนกลั่นแกล้ง แล้วมองตัวเองที่เป็นคนอ้วน ใส่แว่น และเป็นเด็กเรียน แค่นี้ก็โดนแกล้งพอแล้ว ผมจึงไม่อยากโดนแกล้งมากกว่านี้ ผมเคยถูกละเมิดด้วยความรุนแรง พอไปแจ้งความเจ้าหน้าที่ถามว่าทำไมผมเป็นเกย์ ทั้งที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่ผมไปแจ้งความเลย”
เอกวัฒน์ พิมพ์สวรรค์ นักกิจกรรมกลุ่มโรงน้ำชา ในฐานะคนทำงานด้านความหลากหลายทางเพศมองปัญหาเรื่องนี้ว่าเป็นความเหลื่อมล้ำในโครงสร้างสังคมที่ไม่เป็นธรรม เมื่อคนมีอำนาจกลัวการเปลี่ยนแปลง จึงเกิดการเลือกปฏิบัติที่ทำให้คนทั้งสองกลุ่มนี้กลายเป็นพลเมืองชั้นสอง
“ต้องรอให้คนพวกนี้มีประสบการณ์เหมือนเราจึงจะเข้าใจเหรอ แล้ววันนั้นจะมีหรือเปล่า เมื่อเขาอยู่บนหอคอยแห่งความสุขสบาย เราต้องเจ็บปวดอีกเท่าไหร่พวกเขาจึงจะรู้สึก”
เอกวัฒน์เชื่อว่าความเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้เมื่อเจ้าของปัญหาได้เข้ามาจัดการปัญหาของตัวเอง ทั้ง LGBT และคนพิการเพียงแค่ต้องการเรื่องพื้นฐานในชีวิต รัฐต้องรับรองได้ว่าคนทั้งสองกลุ่มจะมีโอกาสและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เหมือนทุกคนโดยไม่มีการต่อรอง เพราะการต่อรองเรื่องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ขั้นพื้นฐานโดยถามว่าคนกลุ่มนี้มีฐานเสียงเท่าไหร่นั้นเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล
“เราต้องสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้เขา”
สิ่งที่บุคคลในวงพูดคุยแลกเปลี่ยนเห็นร่วมกันคือ คนที่ทำงานประเด็นคนพิการและประเด็นความหลากหลายทางเพศควรมีการทำงานร่วมกันมากกว่านี้
สว่าง ยอมรับว่าที่ผ่านมาในแวดวงคนพิการก็ไม่ได้ยอมรับ LGBT นัก คนทำงานด้านสิทธิคนพิการไม่ได้พูดถึงคนพิการที่เป็น LGBT พอมีการยอมรับน้อยการผลักดันเรื่องเพศสภาพของคนพิการก็เลยน้อยไปด้วย
“การจะให้คนสองกลุ่มทำงานร่วมกันเราต้องมีการแบ่งปันกันมากกว่านี้ เช่น ตอนนี้มีคนพิการจำนวนมากที่เริ่มต้นทำธุรกิจของตัวเอง แต่คนกลุ่มนี้มักขาดทักษะ เพราะเข้าถึงการศึกษาได้จำกัด ขณะที่คนหลากหลายทางเพศที่เข้าถึงการศึกษาและมีทักษะสามารถมาร่วมแบ่งปันกันได้ โดยเริ่มต้นที่การพูดคุยกันว่าจะทำอะไรได้บ้าง”
สว่างมองว่าการศึกษาเป็นปัญหาใหญ่ของคนพิการ โดยส่วนใหญ่จะเรียนชั้นประถมแล้วไม่เรียนต่อมัธยม สิ่งสำคัญคือคนพิการต้องการสถานศึกษาที่เอื้ออำนวยมากกว่านี้
“สำหรับคนพิการ แค่มีหนึ่งอัตลักษณ์ก็ยากแล้ว แต่พอมีสองอัตลักษณ์ก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ในการให้สังคมยอมรับทั้งเรื่องความพิการและความหลากหลายทางเพศ ในอนาคตจึงอยากให้คนพิการและคนที่มีความหลากหลายทางเพศมาทำงานร่วมกันมากขึ้นเพื่อสร้างความตระหนักให้สังคม” สว่างกล่าว
ด้าน เอกวัฒน์ สนับสนุนว่าสังคมควรสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้คนกลุ่มนี้ไม่ถูกแบ่งแยกและเลือกปฏิบัติตั้งแต่ในโรงเรียน บ้าน และที่ทำงาน
“มีน้องคนหนึ่งมีเพศกำเนิดคือหญิง อัตลักษณ์ทางเพศคือทอม และมีแขนข้างหนึ่งที่ใช้งานได้ไม่ดีนัก เขาโดนรังแกตั้งแต่เด็ก โดนล้อว่าเป็นง่อย เจอความรุนแรงทั้งที่โรงเรียนและที่บ้าน สมัครงานก็โดนเลือกปฏิบัติ โดนทุกสิ่งจนเขาไม่ไหวและต้องการพื้นที่ปลอดภัย เราต้องสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้เขา รัฐต้องทำสิ่งนี้ ทั้งโรงเรียน เจ้าหน้าที่ ทรัพยากรต่างๆ ต้องถูกเอาไปใช้จัดการสิ่งเหล่านี้ให้ได้”
เอกวัฒน์ มองว่าสังคมกำลังใช้ความกลัวกดคนเพื่อให้ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ทั้งกลัวจะถูกเลือกปฏิบัติ กลัวไม่มีทางเลือก กลัวล้มเหลว ฉะนั้นการเป็นตัวของตัวเองและลุกขึ้นมาเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงเมื่อเผชิญความไม่เป็นธรรมในสังคมจึงเป็นความกล้าหาญ
โดยเขากล่าวทิ้งท้ายว่า
“ไม่ว่าวันหนึ่งจะเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายและจิตใจเรา ทุกคนที่ลุกขึ้นมาต่อสู้คือคนที่กล้าหาญและเก่งมากแล้ว”