เวียง-วชิระ บัวสนธ์ เรื่อง
หลายต่อหลายกรณีที่รัฐบาลทหารดำเนินการแบบปกปิดซ่อนเร้น บ้างรวบรัด แถมมากครั้งหลายหนก็ส่งลูกน้องของตนไปขัดขวางไม่ยอมให้สำรวจตรวจสอบข้อเท็จจริงหรือส่งเสียงท้วงติงเอาเสียเลยนั้น ล่วงผ่านมาถึงวันนี้ น่าทบทวนหวนคิดว่าแท้แล้วมีเหตุผลกลใด เป็นเพราะอะไร ไม่ว่ากรณีพรากสิทธิเสรีภาพ, อุทยานราชภักดิ์, โหวตร่างรัฐธรรมนูญ, จงใจเล่นงานนักศึกษาผู้ไม่สยบยอมต่อระบอบเผด็จการอย่างไผ่ ดาวดิน, หอชมเมืองฯ, รถไฟความเร็วสูง, หมุดฯ หาย ฯลฯ อีกทั้งงุบงิบตรากฎหมายหลายฉบับเพื่อรับใช้และสนองตัณหาใครบางพวกบางคน รวมถึงการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพอย่างสนุกมือรวมแล้วปาเข้าไปกว่าเจ็ดหมื่นล้าน
ถ้าเราพิจารณารัฐบาลในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง คำถามที่ตามมาในเรื่องนี้ก็คือ กว่าสามปีที่เรารู้จักหมอนี่ ไม่ว่าจะด้วยสมัครใจหรือตรงกันข้าม ทุกวันนี้เราแลเห็นโฉมหน้าค่าตาของพระเดชพระคุณท่านเป็นคนพันธุ์ไหน นิสัยใจคอเป็นเช่นไร คู่ควรแก่การคบหาสมาคมต่ออีกหรือไม่อย่างไร
ก่อนอื่นต้องไม่ลืมว่า คุณพี่คนนี้แกมีอำนาจกำหนดทางเดินชีวิต ความเป็นอยู่และเป็นไปของเราทั้งผองชนิดยากจะหลีกเลี่ยงได้ ต่อให้ไม่อยากข้องแวะยุ่งเกี่ยว ก็มิได้หมายถึงจะปราศจากผลกระทบแต่อย่างใด
ตามที่รับรู้กันเป็นอย่างดีมาแล้ว ว่าก่อนจะก้าวขึ้นมาเป็นใหญ่เป็นโตในทุกวันนี้ แกมีพรรคพวกบริวารหนุนหลัง อีกทั้งรถถังปืนกล ตลอดจนมวลชนประเภทจัดหาและอาสาสมัครนับไม่ถ้วน อย่าว่าแต่เครือข่ายเหนือกฎหมายในเงามืดอีกจำนวนหนึ่ง ถึงแม้มิได้รับฉันทานุมัติอย่างเป็นทางการจากประชาชนพลเมืองทุกหมู่เหล่า กระนั้นแกก็หาแยแสไม่ เพราะถือว่าตนเสียสละเข้ามาแก้ปัญหาหมักหมมประดามีจากการที่พวก ‘คนชั่ว’ ครองเมืองมาเกินกว่าสิบปี ด้วยความเชื่อสุดจิตสุดใจเช่นนี้ ทันทีที่เข้ามายึดอำนาจสำเร็จเสร็จสรรพ แกไม่เพียงเร่งแต่งเพลง ‘คืนความสุขฯ’ กล่อมประสาท หากยังสั่งให้สมุนบริวารรีบป่าวประกาศหลักคุณธรรม 12 ประการ เพื่อปลุกให้เพื่อนร่วมชาติลุกตื่นขึ้นเป็น ‘คนดี’ อีกด้วย
ถัดมา ชาวสวนยางพาราประสบปัญหาราคาตกต่ำย่ำแย่ สู้อุตส่าห์ส่งเสียงเรียกร้องให้ช่วยผ่อนหนักเป็นเบา เพราะเห็นว่าเคยเป็น ‘พวกกัน’ แกได้ยินแล้วควันออกหู ตะเพิดให้ไปขายบนดาวอังคารเอาเอง ถ้าอยากได้ราคาตามปรารถนา
ถัดมาอีก เริ่มมีกลิ่นไม่สู้ดีเกี่ยวกับกรณีจัดซื้อจัดจ้างอุทยานราชภักดิ์ ซึ่งอดีตลูกพี่แต่กลายมาเป็นลูกน้องของแกในยามนั้นรับบทเป็นแม่งาน แกหงุดหงิดรำคาญลูกอีช่างแซะทั้งหลายที่ชอบตั้งแง่สงสัยว่างวดนี้ไม่แคล้วมีนอกมีใน ยิ่งสมทบจากการที่หลานชายในไส้ของตนตั้งบริษัทรับเหมาก่อสร้างบังหน้า แล้วไปกวาดงานในกองทัพภาคที่ 3 รวมแล้วกว่าหนึ่งร้อยห้าสิบล้าน ซึ่งผู้เป็นพ่อหรือน้องชายแท้ๆ ของแกเคยเป็นเบอร์หนึ่งอยู่ที่นั่น แกพลันมองว่า ทั้งหลายเหล่านี้เป็นกระบวนการสร้างความวุ่นวาย ไม่เห็นแก่การปรองดองสมานฉันท์
บรรดาสื่อมวลชนคนใดสำนักไหนถามไถ่ไม่เข้าหู ทั้งโดนชี้หน้าทั้งถูกด่ากลับ ข้อน่าสังเกตอีกอย่างก็คือ เวลาเดินเหิน ชอบเชิดหน้าชูคอเหลือเกิน
กล่าวอย่างรวบรัดคงต้องว่า บุคลิกภายนอกของหมอนี่จัดเป็นจำพวกขี้ยัวะ มึงมาพาโวย คุ้มดีคุ้มร้าย ไม่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์สมฐานะผู้นำเอาเสียเลย พูดอีกแบบก็แทบไม่ต่างจากนักเลงโตคุมซ่องคุมซอยนั่นเอง
บุคลิกภาพแบบนักเลงใหญ่หรือหัวโจกจิ๊กโก๋ โดยเฉพาะการแจกจ่ายเงินอย่างสุรุ่ยสุร่าย แถมบางที่บางแห่งตรวจสอบไม่ได้อีกต่างหาก ว่ามีการนำไปใช้จ่ายเพื่อประโยชน์โพดผลอันจะตกแก่สังคมวงกว้างหรือหักค่าหัวคิวเข้ากระเป๋าเครือข่าย สองส่วนบวกรวมนี้ ไม่ได้มีนัยยะความหมายลึกซึ้งอะไรมากไปกว่าเป็นการแสดงออกทางอำนาจเท่านั้น
แล้วในแง่ผลงานล่ะ?
ถ้าการออกมาจ้อเป็นประจำหน้าจอทุกค่ำคืนวันศุกร์อะไรนั่นนับเป็นการทำงานชนิดหนึ่ง ก็ต้องยอมรับว่าเป็นคนขยันช่างจำนรรจาใช้ได้เลยทีเดียว ส่วนจะมีใครอยากฟังหรือไม่ ยังน่าสงสัย อย่างไรก็ดี พระพุทธองค์ได้ทรงสะกิดเตือนในเรื่องนี้ที่เรียกกันว่า ‘หลักกาลามสูตร’ เอาไว้รวม 10 ประการด้วยกัน ไม่ต่ำกว่าสองพันห้าร้อยหกสิบปีมาโน้นแล้ว กล่าวคือ อย่าด่วนหลงเชื่อน้ำลายใครสุ่มสี่สุ่มห้า
มีแต่รูปธรรมของผลงานที่ประจักษ์เป็นจริงเท่านั้น จึงจะช่วยชี้ชัด ว่านอกจากถนัดถลุงตังค์จนแทบเกลี้ยงคลังแล้ว มีอันใดที่ถือได้ว่าเป็นการส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้คนข้างมากให้ดีขึ้นจริงๆ
ดังกล่าวแต่ต้นแล้วว่า หลายต่อหลายกรณีที่คุณพี่ท่านนี้ดูจะนิยมวิธีการปกปิดซ่อนเร้น ไม่ชอบให้ใครสงสัยถามไถ่ในเชิงระแวงแคลงใจเอาเสียเลย ประเด็นจึงอยู่ตรงที่ ทั้งหลายทั้งปวงนี้มันมีอะไรลึกลับซับซ้อนนักหรือ?
ว่ากันตามวิสัยมนุษย์ปุถุชนทั่วไปที่ยังไม่ถึงขนาดเสียสติวิปลาสไปสิ้น ชั่วๆ ดีๆ สามัญสำนึกที่มีติดตัวย่อมแยกแยะได้ไม่ยากอยู่แล้วอันใดถูกผิดเหมาะควรหรือไม่
เอาละ สมมติว่าเราเห็นพ้องต้องกันว่าคุณรัฐบาลขี้ยัวะยังอยู่ในข่ายมนุษย์ปกติ เป็นไปได้ไหมว่า สาเหตุใหญ่ที่ทำให้คุณพี่ท่านนี้ดำเนินการหลายต่อหลายกรณีชนิดปกปิดซ่อนเร้นนั้น เป็นผลสืบเนื่องมาจากต่อมสามัญสำนึกทำงาน มิได้ด้านชา เรียกว่ารู้ผิดชอบชั่วดีก็ได้ กระทั่งเกิดภาวะตระหนักว่าคำพูดคำจาที่ตนสั่งการหรือมือที่จับปากกาลงนามอนุมัติในบทของผู้นำนั้น แท้แล้วมันมิได้ถูกต้องชอบธรรม ไม่ว่าในแง่กฎหมายหรือหลักการสากล แต่ก็จำต้องดำเนินการ หาไม่แล้วตัวเองนั่นแหละที่อาจจะหัวขาดเอาง่ายๆ
ภายใต้ภาวะตระหนักที่ว่า มันมีความไม่ชอบมาพากลปนเปื้อนอยู่ในกิจที่ตนได้ประกอบการสำเร็จเสร็จสมไปแล้วนั้น เมื่อบวกเข้ากับการถูกสถาปนาว่าเป็นคนดี กระทั่งเป็นความหวังเดียวที่ถูกโปรโมทว่าเป็นประหนึ่งเทวดาลงมาโปรดเพื่อกอบกู้บ้านเมืองให้คืนสู่ความผาสุกในช่วงก่อนหน้าวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 โน่นแล้ว จึงพลอยละอายใจหรืออดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดบาปอยู่ลึกๆ
เมื่อต่อมมโมธรรมสำนึกขับเคลื่อนไปในรูปรอยเช่นนี้ ทางออกเดียวที่หลงเหลืออยู่ก็คือ จำต้องปกปิดซ่อนเร้นชนิดไม่ให้ผู้ใดรู้เห็นเป็นดีที่สุด กล่าวอีกนัยหนึ่งก็อาจเทียบได้กับการประกอบกิจลามกจกเปรตในที่ลับ ไม่อยากให้ใครระแคะระคายแม้แต่น้อย เพราะมันเป็นเรื่องเสื่อมเสียน่าอับอาย ซ้ำร้ายอาจติดตัวไปชั่วลูกหลานวานวงศ์
โอชิมะ นางิสะ [大島 渚 Ōshima Nagisa 1932 – 2013] ผู้กำกับภาพยนตร์คนสำคัญระดับโลกชาวญี่ปุ่น เคยแสดงความเห็นในประเด็นนี้ไว้ว่า ‘ไม่มีสิ่งใดที่ได้รับการเปิดเผยออกมา (ต่อสาธารณะ) นับเป็นความอุจาดลามกหรอก ความลามกจริงๆ แล้วอยู่ตรงที่มันถูกปิดบังนั่นต่างหาก’*
พูดง่ายๆ ว่า ถ้ามองผ่านแว่นของโอชิมะ นางิสะ ย่อมมิอาจสรุปพฤติการณ์ของมนุษย์ที่ชื่อรัฐบาลเป็นอื่นไปได้เลย นอกเสียจากเป็นคนจำพวกนิยมความลามกเป็นเจ้าเรือนโดยแท้
กระนั้น ไม่ว่าเราจะมีคำตอบให้ตัวเองเช่นไรในการประเมินวินิจฉัยมุนษย์รายนี้ ถึงที่สุดแล้วคงปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่ามันเท่ากับส่องสะท้อน-ย้อนให้เห็นความเป็นเราไปในตัว พูดให้ชัดขึ้นก็คือ ความชอบความชังทั้งปวงที่เรามีต่อบุคคลจำพวกใด ย่อมแสดงว่าเราปรารถนาที่จะเป็นหรือไม่เป็นคนแบบนั้นนั่นเอง
กล่าวเช่นนี้ ผมคงต้องเรียนว่า ไม่มีเจตนาที่จะสรุปรวมว่าใครก็ตามที่ยังคงนิยมชมชอบรัฐบาลนี้อยู่ เท่ากับมีรสนิยมลามกหรือสันดานเดียวกัน!
—————————————
*ถ้อยดังกล่าวนี้มีนัยยะตอบโต้เสียงตำหนิประณามของมนุษย์จำพวกเพิ่งเสร็จจากฟังเทศน์ฟังธรรม แล้วทะเล่อทะล่าไปดูไปชมผลงานของเขา ซึ่งเดินเรื่องด้วยฉากประกอบกามกิจอย่างไม่บันยะบันยังแทบตลอดทั้งเรื่อง โดยเฉพาะในภาพยนตร์ชิ้นสำคัญ ‘In the Realm of the Senses’ [1976]