บทความชวนดูงานศิลปะและนวัตกรรมจากโลกที่หนึ่ง ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีให้สังคมและชีวิตคน ผ่านสายตานักออกแบบมัลติมีเดียจากโลกที่สามในนามกลุ่ม Eyedropper Fill
Eyedropper Fill เรื่อง
กองเพลิงที่ลุกท่วมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบราซิล อายุกว่า 200 ปี ในกรุงรีโอ เด จาเนโร ได้พรากเอาโบราณวัตถุจากทั่วโลกบางส่วน จากทั้งหมดกว่า 20 ล้านชิ้น ฟอสซิลไดโนเสาร์ ข้าวของเครื่องใช้ดึกดำบรรพ์ งานศิลปะ จดหมายเหตุ ฯลฯ หายไปในชั่วคืน ทิ้งเหลือบางชิ้นในสภาพเสียหายยากฟื้น
สิ่งที่สูญไปใช่เพียงวัตถุ แต่คือประวัติศาสตร์ ความรู้ ความทรงจำทั้งของชาวบราซิลและของมนุษยชาติ ประธานาธิบดีบราซิลทวีตข้อความว่า “นี่เป็นวันสุดเศร้าของชาวบราซิล” ในขณะที่ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์พูดผ่านสื่อว่ามันเป็น “โศกนาฏกรรมทางวัฒนธรรม”
ในขณะเดียวกันประชาชนทั่วโลกก็โต้กลับว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นผลงานของรัฐบาลบราซิลเองที่ตัดงบประมาณพิพิธภัณฑ์จากการคอร์รัปชันและปัญหาภายในประเทศ จนอาคารและสาธารณูปโภคอยู่ในสภาพทรุดโทรมไม่พร้อมใช้ ข่าวรายงานว่า ระบบน้ำดับเพลงในอาคารพิพิธภัณฑ์ไม่ทำงาน ไม่เพียงเท่านั้น หัวจ่ายน้ำทั้งสองหัวใกล้อาคารยังไม่สามารถใช้ได้เมื่อรถดับเพลิงมาถึง
ท่ามกลางอุณหภูมิระอุหลังกองไฟมอด ยังไม่มีใครรู้ว่าความเสียหายที่ประเมินค่าไม่ได้จะฟื้นคืนกลับมาเช่นไร มิหนำซ้ำงบประมาณบริหารพิพิธภัณฑ์ที่จำกัดยังทำให้การจัดเก็บข้อมูลในรูปแบบภาพถ่ายมีน้อยมาก ขณะนั้นเองนักศึกษาในบราซิลกำลังลุกขึ้นมาพร้อมภารกิจกอบกู้ความทรงจำที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้นี้
กลุ่มนักศึกษาจาก Universidade Federal do Estado do Rio de Janeiro ลงประกาศถึงผู้เคยเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ ขอรับภาพถ่าย ภาพวิดีโอ หรือแม้กระทั่งรูปเซลฟี่กับโบราณวัตถุที่นักท่องเที่ยวทุกคนเคยถ่ายไว้ เพื่อร่วมกันสร้าง ‘Digital Archive’ ของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบราซิลขึ้นมา
ในฝั่ง Wikipedia ก็กำลังทวีตประกาศข้อความเช่นเดียวกัน หนังสือพิมพ์บราซิลรายงานว่าขณะนี้มีภาพถ่ายนับพันถูกส่งไปในช่องทางต่างๆ ทั้งจากนักท่องเที่ยว คนท้องถิ่น หรือแม้แต่หน่วยงานใหญ่ อย่าง National Geographic UNESCO หรือรัฐบาลฝรั่งเศส ก็กำลังยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือภารกิจชุบชีวิตพิพิธภัณฑ์ในครั้งนี้
พร้อมกัน เครือข่ายผู้สร้าง 3D Model ทั่วโลกอย่าง Sketchfab ก็กำลังรวบรวมโมเดลสามมิติโบราณวัตถุจากพิพิธภัณฑ์ที่สมาชิกเคยสร้างและอัปโหลดไว้ ทั้งหน้ากากอียิปต์ ไหโบราณ รูปปั้น รวมไปถึงสถาปัตยกรรมภายนอกของอาคารพิพิธภัณฑ์ ทั้งหมดอยู่ในรูปแบบไฟล์ดิจิทัลที่ใกล้เคียงของจริงทั้งวัสดุ พื้นผิว และรายละเอียด
ภาพจาก : https://sketchfab.com/nebulousflynn/collections/museu-nacional-do-rio-de-janeiro
ราวกับว่า ซากพิพิธภัณฑ์ท่ามกลางควันไฟ กำลังถูกชุบชีวิตขึ้นมาใหม่ ด้วยความทรงจำของทุกคนบนโลก
ภารกิจที่บราซิลยังมองไม่เห็นแสงปลายอุโมงค์ พร้อมกันนั้นบทความใน The New York Times ก็รายงานว่า ขณะนี้วัตถุที่มีส่วนประกอบของพลาสติกในพิพิธภัณฑ์ทั่วโลกกำลังเสื่อมสภาพ ไล่ไปตั้งแต่งานศิลปะ ยันชุดนักบินอวกาศ (อ่านได้ที่นี่)
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กันนี้ ตีรวนประเด็นเกี่ยวกับ ‘กระบวนการเก็บรักษา’ สมบัติล้ำค่าในพิพิธภัณฑ์ขึ้นมาให้เราได้ถกเถียงกันใหม่
อย่างที่เรารู้กันว่ากระบวนการเก็บรักษาดั้งเดิมของพิพิธภัณฑ์นั้นโฟกัสไปที่การคงสภาพของ ‘ต้นฉบับ’ หรือ ‘ของแท้’ ไว้ให้สมบูรณ์ที่สุด เช่น การควบคุมความชื้นและอุณหภูมิ ควบคุมแสง การรักษาความปลอดภัยหรือระบบป้องกันภัยพิบัติ
กระบวนการอีกส่วนที่ไม่ได้เป็นเป็นเรื่องใหม่แต่ยังไม่ถูกพูดถึงมากเท่าไหร่ โดยเฉพาะกับประเทศที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับพิพิธภัณฑ์ นั่นคือกระบวนการ ‘Digitize’ หรือ ‘ทำให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล’ พิพิธภัณฑ์ชั้นนำของโลกหลายแห่งที่มีงบประมาณสนับสนุนมากพอ ใช้กระบวนการที่ว่านี้เพื่อ ‘แบ็คอัพ’ ข้อมูลของพิพิธภัณฑ์ไว้อีกชั้น ทั้งในรูปแบบของภาพถ่าย 3D Scan เพื่อจัดเก็บเป็นโมเดลสามมิติ หรือการบันทึกแต่ละห้องของพิพิธภัณฑ์ด้วยกล้อง 360 องศา
โปรเจ็กต์ Google Art & Culture คือตัวอย่างที่รวมทุกรูปแบบที่ว่ามา เราจะเห็นว่ากระบวนการนี้ไม่ได้เพียงทำหน้าที่ ‘ข้อมูลสำรอง’ ในวันที่วัตถุจริงสูญสลายเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์ให้ทุกคนสามารถเข้าไปศึกษาประวัติศาสตร์เมื่อไหร่ก็ได้ จากทุกมุมโลก
รูปแบบการเก็บรักษาที่ยังเป็นที่ถกเถียงกันมากก็คือ การสร้าง ‘ของเทียม’ ของโบราณวัตถุขึ้นมา ฝั่งหนึ่งบอกว่าการศึกษาประวัติศาสตร์ควรต้องศึกษาจากของแท้ไม่ใช่หรือ อีกฝั่งก็แย้งว่า แล้วถ้าเรารู้ว่าวันหนึ่งของแท้จะไม่อยู่ จะดีกว่ามั้ยถ้าเราสามารถสำรองวัตถุที่ว่า ในรูปแบบที่จับต้องได้ ไม่ใช่แค่ข้อมูล
กรณีที่เมคเซ้นส์มากๆ คือซุ้มประตูเมือง Palmyra ในซีเรีย อายุเก่าแก่กว่า 2,000 ปี สถาบันโบราณคดีดิจิทัล (Institute for Digital Archeology) คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าว่า ร้อยทั้งร้อยซุ้มประตูคงต้องถูกผู้ก่อการร้ายทำลายเข้าสักวัน ทีมเก็บรักษาของสถาบันจึงรีบนำกล้อง 3 มิติไปบันทึกเก็บภาพของซุ้มประตูไว้
ในที่สุดซุ้มประตูก็ถูกทำลายเสียหายตามคาด แต่ด้วยไฟล์ภาพสามมิติในมือ ทีมงานของสถาบันเลยสามารถที่จะสร้างขึ้นใหม่ด้วยเครื่องพิมพ์สามมิติในขนาดย่อมกว่าเดิมเล็กน้อย และนำไปจัดแสดงกลางจัตุรัสต่างๆ ในนครนิวยอร์กให้คนทั่วไปได้ศึกษา ในวันที่ซุ้มประตูของจริงไม่เหลือไว้ให้ชม
พอเห็นทั้งหมดแล้วก็เปลี่ยนมุมมองที่มีต่อ ‘ความเป็นดิจิทัล’ ไปเหมือนกัน ในวันที่เรายังมี ‘ของจริง’ อยู่ในมือ คงไม่มีใครให้ค่ากับ ‘ไฟล์ดิจิทัล’ ที่ไม่มีตัวตน แต่ทันทีของจริงหายไปไม่หวนคืน ไฟล์ดิจิทัลจึงกลายเป็นพระเอกขี่ม้าขาวมากอบกู้ความทรงจำของชาวโลก ข้อมูลใน ‘cloud’ ทั้งภาพถ่าย วิดีโอ คลิปเสียง ฯลฯ ของพวกเรา แท้จริงก็เหมือนพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่และเก็บเรื่องราวไว้มากที่สุดในโลกดีๆ นี่เอง
เมื่อพูดถึงการเก็บรักษาประวัติศาสตร์ ก็อดไม่ได้ที่จะมองกลับมาที่บ้านตัวเอง ไม่ต้องมองไปไกลถึงพิพิธภัณฑ์ที่ร้างไร้คนเข้า แต่กับอาคารเก่า โรงหนังเก่า ชุมชนเก่าใกล้ตัวที่ยังหลงเหลืออยู่ เท่าที่เราเห็นวิธีการจัดการประวัติศาสตร์ในบ้านเรา ก็พอจะทำใจล่วงหน้าได้ว่า ‘ต้นฉบับ’ ประวัติศาสตร์เหล่านี้ อีกเดี๋ยวคงมีชะตากรรมไม่ต่างจากซุ้มประตูในซีเรีย หรือของในพิพิธภัณฑ์บราซิล ที่พร้อมจะหายไปในชั่วข้ามคืน
แต่คงจะดีถ้าเราได้เก็บบันทึกไว้ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งในตอนที่มันยังอยู่ เด็กที่เกิดในอนาคตจะได้รู้ว่าประวัติศาสตร์ของเขาหน้าตาเป็นแบบไหน ไม่ว่าจะด้วยภาพถ่าย โมเดลสามมิติ คลิปเสียง หรือเสมือนเข้าไปเดินเล่นข้างในได้อีกครั้งด้วย Virtual Reality
อ้างอิง
https://www.wired.co.uk/article/palmyra-arch-london-pictures-monument-syria