อาร์ม ตั้งนิรันดร เรื่อง
Shin Egkantrong ภาพประกอบ
เชื่อไหมครับว่า เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ ‘4 พฤษภาคม 1919’ ซึ่งครบรอบ 100 ปีในปีนี้ เป็นแรงบันดาลใจสำคัญให้ทั้งผู้สนับสนุนและผู้ต่อต้านพรรคคอมมิวนิสต์จีนในคราเดียว
4 พฤษภาคม 1919 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของประวัติศาสตร์จีนสมัยใหม่ ในตอนนั้นนักศึกษาจีนราว 3,000 คน รวมตัวกันประท้วงความอ่อนแอของรัฐบาล เหตุเพราะรัฐบาลยอมโอนอ่อนตามมหาอำนาจในการประชุมภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 จนส่งผลให้ญี่ปุ่นมีสิทธิเหนือมณฑลซานตง รับช่วงต่อจากเยอรมันที่แพ้สงคราม แทนที่จะให้มณฑลซานตงกลับคืนสู่จีน
การประท้วงดังกล่าวนำไปสู่การเรียกร้องว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีการปฏิวัติวัฒนธรรมใหม่ เพราะวัฒนธรรมเก่าหรือวัฒนธรรมแบบขงจื๊อเป็นต้นเหตุของความล้าหลัง วัฒนธรรมใหม่ที่จีนต้องการ ได้แก่ นายประชาธิปไตย (Mr.Democracy) และนายวิทยาศาสตร์ (Mr.Science)
เหตุการณ์ 4 พฤษภาคม 1919 จึงมีความซับซ้อนอยู่ในตัวเอง เพราะเป็นการต่อต้านจารีตเก่าของจีนและต่อต้านมหาอำนาจตะวันตกไปพร้อมกัน ภายใต้รากฐานความคิดเช่นนี้ สุดท้ายจึงมีกลุ่มปัญญาชนรุ่นใหม่กลุ่มหนึ่งริเริ่มศึกษาความคิดมาร์กซิสต์ ซึ่งตอบโจทย์ครบถ้วน คือเป็นความคิดของตะวันตกที่ชาติตะวันตกส่วนใหญ่ไม่เอา ขณะเดียวกันก็เป็นความคิดที่ดูเป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่คติความเชื่องมงายแบบโบราณอย่างจีน
100 ปีผ่านไป สิ่งที่น่าสนใจที่สุดก็คือ ปัญญาชนจีนในต่างกลุ่มเลือกตีความเหตุการณ์ 4 พฤษภาคม 1919 แตกต่างกัน ชวนให้คิดทบทวนว่า เราควรถอดบทเรียนจากประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญนี้อย่างไร?
ปัญญาชนฝ่ายที่สนับสนุนแนวทางของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเลือกตีความว่า หัวใจหลักของเหตุการณ์ 4 พฤษภาคม 1919 คือจิตวิญญาณชาตินิยม ที่ต่อต้านจักรวรรดินิยม (มหาอำนาจตะวันตกและญี่ปุ่น) และศักดินานิยม (ระบบจารีตเก่าที่ทำให้จีนอ่อนแอ) ซึ่งมีเป้าหมายหลักให้จีนเป็นชาติที่แข็งแกร่งและคนในชาติมีวัฒนธรรมความคิดที่ไม่งมงาย เมื่อตีความเช่นนี้ การคงความศรัทธามั่นคงในพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งได้วางแบรนดิ้งตัวเองเป็นพรรคชาตินิยมเต็มตัว พร้อมที่จะพาจีนกลับสู่ความยิ่งใหญ่และแข็งแกร่ง จึงกลายเป็นทางเลือกในปัจจุบัน!
เพราะเหตุนี้ไม่แปลกที่เราจะเห็นประธานาธิบดีสีจิ้นผิงออกมาจัดงานฉลองยิ่งใหญ่และกล่าวสุนทรพจน์ในวาระครบรอบ 100 ปี เหตุการณ์ 4 พฤษภาคม 1919 โดยเน้นย้ำว่าเหตุการณ์นี้เป็นต้นกำเนิดของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ทั้งยังโหมจิตวิญญาณความรักชาติและปลุกความปรารถนาที่จะให้ชาติจีนกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง
ขณะที่อีกฝ่าย ปัญญาชนที่ต่อต้านแนวทางปัจจุบันของพรรคคอมมิวนิสต์จีนตีความหัวใจหลักของเหตุการณ์ 4 พฤษภาคม 1919 ไว้ว่า เป็นจิตวิญญาณเสรีที่จะต่อต้าน ตั้งคำถามกับอำนาจหรือสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน พร้อมที่จะทบทวนตัวเองและแสวงหาทางเลือกใหม่ เพราะหัวใจของวัฒนธรรมประชาธิปไตยและวัฒนธรรมวิทยาศาสตร์คือการถกเถียงเรียนรู้ เปี่ยมด้วยความสงสัยไม่แน่ใจในสิ่งที่เป็นอยู่ ยอมรับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และยอมให้มีพื้นที่สำหรับความเห็นต่าง
วันที่ 4 พฤษภาคม ค.ศ.1989 หรือเมื่อ 30 ปีที่แล้ว คนรุ่นใหม่ในจีนตอนนั้นจึงพากันออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย จนนำไปสู่เหตุการณ์ปราบปราบผู้ชุมนุมเทียนอันเหมินอันลือลั่น ซึ่งยังคงเป็นเหตุการณ์และประเด็นต้องห้ามที่จะพูดถึงในจีนจนปัจจุบัน
อีกมิติหนึ่งที่น่าสนใจและควรเน้นย้ำเกี่ยวกับเหตุการณ์ 4 พฤษภาคม 1919 ก็คือ กระแสในอดีตที่เรียกร้องให้ปฏิวัติวัฒนธรรมความคิดของคนในชาติอย่างถอนรากถอนโคนนั้น ทำให้ปัญญาชนจีนในวันนี้เริ่มทบทวนว่า แท้จริงแล้วการถอนรากถอนโคนวัฒนธรรมเก่าเป็นคุณมากกว่าโทษ หรือเป็นโทษมากกว่าคุณกันแน่?
ปฏิเสธไม่ได้ว่าความยิ่งใหญ่ของเหตุการณ์ 4 พฤษภาคม 1919 อยู่ที่การให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงทางความคิด ไม่ใช่เพียงแค่การเปลี่ยนระบบการปกครองหรือเปลี่ยนรัฐบาลอย่างผิวเผิน หากแต่เป็นการเรียกร้องให้คนทั้งชาติเปลี่ยนค่านิยมพื้นฐานในระดับฐานราก จากค่านิยมเก่ายุคโบราณมาเป็นค่านิยมใหม่ที่เข้ากับยุคสมัยใหม่ ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นรากฐานสำคัญให้จีนกลายเป็นสังคมที่มีพัฒนาการด้านเศรษฐกิจและวิทยาศาสตร์ที่รวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์โลก และทำให้คำว่า ‘ความเป็นสมัยใหม่’ (modernity) กลายเป็นเป้าหมายสำคัญทางการเมืองของจีนตราบจนปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ปัญญาชนจีนบางส่วนมองว่าการถอนรากเหง้าของชาติอย่างสุดโต่งเป็นความผิดพลาดสำคัญของปัญญาชนคนรุ่นใหม่ในเวลานั้น ในด้านหนึ่ง การถอดรื้อจารีตเก่าของขงจื้อทำให้จีนขาดอัตลักษณ์ที่หลอมรวมชาติ ขณะเดียวกันความคิดค่อนไปทางหัวรุนแรงที่ต้องการถอนรากถอนโคนสิ่งเก่าทั้งหมดก็ส่งผลให้จีนเกิดความวุ่นวายต่อเนื่องยาวนานด้วย
อาจารย์ของผมที่มหาวิทยาลัยปักกิ่งเคยตั้งข้อสังเกตว่า จีนอาจจะไม่ต้องจมทุกข์เกือบ 100 ปี ถ้าในช่วงปลายราชวงศ์ชิง จักรพรรดิและชนชั้นนำจีนเปิดรับการปฏิรูปภายใต้รัฐธรรมนูญอย่างค่อยเป็นค่อยไปแบบประเทศญี่ปุ่น ซึ่งน่าจะทำให้จีนมีเอกภาพ คงอัตลักษณ์หลอมรวมชาติ พร้อมกันนั้นก็ยังก้าวเดินไปข้างหน้าโดยไม่ติดกับดักโลกยุคเก่า
เวลาต่อมา สังคมจีนยังต้องเผชิญความโหดร้ายและความวุ่นวายในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรมของเหมาเจ๋อตง (ค.ศ.1966-1976) ซึ่งเหมาเจ๋อตงย่อมได้รับแนวคิดปฏิวัติถอดรื้อวัฒนธรรมความคิดมาจากเหตุการณ์ 4 พฤษภาคมในอดีต
แม้แต่ในปัจจุบันเองก็ดูเหมือนว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ครั้งหนึ่งเคยต้องการล้มล้างแนวคิดขงจื๊อ จะกลับมาเลือกข้างขงจื๊อ โดยพยายามตีความขงจื๊อในเรื่องความเป็นระเบียบเรียบร้อยและความสมานฉันท์ของสังคมเพื่อรักษาอำนาจของพรรคคอมมิวนิสต์ไว้ ในขณะเดียวกัน ปัญญาชนหัวก้าวหน้าบางส่วนก็พยายามตีความแนวคิดของขงจื๊อในทางที่เสรีนิยมมากขึ้น
ปัญญาชนหัวก้าวหน้าหลายคนในจีนยังหวังว่าแนวทางการเปลี่ยนแปลงจีนไม่จำเป็นต้องเกิดการปฏิวัติล้มพรรคคอมมิวนิสต์ แต่ต้องพยายามส่งเสริมและผลักดันให้พรรคคอมมิวนิสต์เปลี่ยนแปลงตนเองไปในทิศทางเสรีนิยมมากขึ้นต่างหาก (แนวคิดนี้ดูไม่มีวี่แววจะเป็นจริงได้ในยุคสีจิ้นผิง ซึ่งจีนเปลี่ยนไปในทางอำนาจนิยมและปิดกั้นทางความคิดมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก)
นี่แหละครับ เมื่อเราทบทวนประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นความคิดขงจื๊อหรือความคิด 4 พฤษภาคม ล้วนมีความซับซ้อนในตัวเอง เปิดให้เราต้องเลือกตีความในทางที่สร้างสรรค์และเป็นคุณแก่สังคมในการเดินหน้าต่อไป
โลกเราไม่ได้มีทางเลือกอยู่แค่ จะปฏิวัติหรือไม่ปฏิวัติ จะล้มล้างของเดิมหรือจะคงอยู่ในโลกเก่า แท้จริงแล้วเราสามารถเลือกการปฏิรูปไปข้างหน้า หรือเลือกที่จะมองหาคุณค่าใหม่ในสิ่งเก่าก็ได้
ทุกการตีความจึงเป็นการต่อสู้ และทุกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์จึงมีทางเลือกหลากหลายในการถอดบทเรียน
ในอนาคต เมื่อเลือกทางเดินที่เปลี่ยนไป เหตุการณ์ 4 พฤษภาคม 1919 ก็พร้อมจะมีความหมายใหม่เสมอ