fbpx
รับมือการศึกษาในยุค COVID-19 : ความเหลื่อมล้ำและทรัพยากรของผู้เรียนจะยิ่งสำคัญ

รับมือการศึกษาในยุค COVID-19 : ความเหลื่อมล้ำและทรัพยากรของผู้เรียนจะยิ่งสำคัญ

ภูมิศรัณย์ ทองเลี่ยมนาค เรื่อง

ภาพิมล หล่อตระกูล ภาพประกอบ

 

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ซึ่งทำให้เด็กนักเรียนจำนวนกว่า 1.57 พันล้านคน จากกว่า 188 ประเทศ หรือคิดเป็น 91.3% ของผู้เรียนจากทั่วโลก[1] จำต้องออกนอกโรงเรียนและหันไปสู่การศึกษาในรูปแบบนอกห้องเรียนแบบต่างๆ ส่งผลกระทบต่อนักเรียนทั่วโลก ว่ากันว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมาที่ระบบการศึกษาในโลกจะถูกกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นประเทศที่ระบบการศึกษามีความก้าวหน้าที่สุดในโลก เช่น ยุโรป สหรัฐอเมริกา เอเชียตะวันออก ไปจนถึงประเทศกำลังพัฒนาหรือประเทศยากจนก็ล้วนได้รับผลกระทบทั้งสิ้น

การที่นักเรียนต้องออกจากระบบการศึกษาในลักษณะเช่นนี้ ส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้ของเด็กและอาจรวมไปถึงต่อเศรษฐกิจของโลกอย่างมหาศาล

งานวิจัยในอดีตได้เคยทำการศึกษาถึงผลกระทบของการที่ต้องปิดโรงเรียนหรือเปิดเรียนล่าช้า พบว่าการปิดโรงเรียนในสหรัฐอเมริกา 1 เดือน ส่งผลกระทบต่อ GDP ของประเทศ ถึง 0.1-0.3%[2]  และการที่นักเรียนต้องอยู่บ้านนานๆ ยิ่งทำให้เกิดการลืมเลือนสิ่งที่เคยเรียนมา ทำให้ต้องมาทบทวนกันใหม่ซ้ำอีกครั้ง เรียกว่าปรากฎการณ์ความรู้ที่ถดถอยไปหลังจากปิดเทอมใหญ่ (summer slide)

งานวิจัยพบว่าการที่เด็กต้องออกจากโรงเรียนประมาณ 6 สัปดาห์ อาจจะทำให้ความรู้ของเขาหายไปถึงครึ่งปีการศึกษาเลยทีเดียว[3] ผลกระทบนี้มีความรุนแรงและน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง โดยเฉพาะต่อนักเรียนในกลุ่มด้อยโอกาส นักเรียนกลุ่มที่ต้องการการศึกษาแบบพิเศษ นักเรียนผู้พิการ มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ในด้านต่างๆ เด็กที่ต้องพึ่งพิงอาหารเช้า อาหารกลางวัน จากทางโรงเรียน ผู้ที่ต้องการการดูแลจากครูอย่างใกล้ชิด เด็กกลุ่มยากจนและเปราะบาง ผู้ขาดแคลนทรัพยากร ไม่มีคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ผู้ปกครอง สภาพแวดล้อมในบ้านมีปัญหา เช่น ยาเสพติด ความรุนแรงในครอบครัว

 

แนวทางการตอบสนองต่อ COVID-19 ในระบบออนไลน์

 

ในสถานการณ์ปัจจุบัน ระบบการศึกษาหลายแห่งในโลกหันไปใช้ระบบการเรียนการสอนผ่านออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาการปิดโรงเรียนเป็นการชั่วคราวเป็นหลัก เช่น ระบบห้องเรียนเสมือน (virtual classroom) การประชุมออนไลน์ การเรียนการสอนแบบผู้เรียนผู้สอนเข้ามาพร้อมๆ กัน การบันทึกการสอนแบบล่วงหน้า การใช้ระบบ MOOC (massive open online courses) การสั่งการบ้าน การวัดผลประเมินแบบออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ การให้นักเรียนอัดวิดีโอการทำกิจกรรมมาแชร์ในห้อง การเรียนด้วยตนเองผ่านแหล่งเรียนรู้ต่างๆ เป็นต้น (มีการจำแนกประเภทของการเรียนรู้ทางไกลโดย UNESCO[4]) ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ค่อนข้างใหม่สำหรับผู้เรียนและผู้สอนหลายคน และแต่ละระบบการศึกษาก็ตอบสนองได้แตกต่างกันตามระดับสาธารณูปโภคพื้นฐานและความคุ้นเคยกับระบบการเรียนการสอนแบบออนไลน์

ในกรณีของประเทศที่ต้องปิดโรงเรียนในช่วงที่ผ่านมา เช่น เกาหลีใต้ ฮ่องกง จีน อิตาลี หรือสหรัฐอเมริกา ในภาพรวมถือว่ามีความคุ้นเคยกับการเรียนการสอนแบบออนไลน์ที่สูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ โรงเรียนและนักเรียนมีอุปกรณ์และเครือข่ายความพร้อมพอสมควร แต่ก็ยังพบปัญหาของความเหลื่อมล้ำของการเข้าถึงดิจิทัล (digital divide) มากพอสมควรตามที่ปรากฎในข่าวต่างๆ ยังมีความเหลื่อมล้ำของการเข้าถึงการเรียนการสอนแบบออนไลน์ระหว่างนักเรียนหรือโรงเรียนที่อยู่ในกลุ่มยากจนด้อยโอกาสกับโรงเรียนที่มีความพร้อม ยกตัวอย่างเช่น ในสหรัฐอเมริกา โรงเรียนที่มีคุณภาพสูง เด็กมีเศรษฐฐานะดี เช่น Brooklyn Technical High School ในนิวยอร์ก นักเรียนถึง 98% ยังมีการเรียนการสอนทางออนไลน์อย่างต่อเนื่องในช่วงปิดโรงเรียน ในขณะที่โรงเรียน Maywood Center for Enriched Studies ในเมือง Los Angeles ที่เป็นโรงเรียนในกลุ่มด้อยโอกาส มีเด็กเพียง 45% ที่เข้ามาเรียนในระบบออนไลน์[5]

ในกรณีของประเทศจีนก็เช่นกัน ที่มีทั้งโรงเรียนและนักเรียนที่มีความพร้อมสูงและเด็กในกลุ่มยากจน ขาดแคลนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ไม่มีโทรศัพท์มือถือใช้ หรือต้องใช้ร่วมกับพ่อแม่หรือสมาชิกคนอื่นในครอบครัว[6] ยังไม่นับรวมถึงความเหลื่อมล้ำอื่นๆ เช่น ความพร้อมของพ่อแม่ในการสนับสนุนการศึกษาแบบเรียนทางไกล สภาพแวดล้อมในบ้านที่ส่งเสริมสนับสนุนการเรียน ผลกระทบที่เกิดจากปัญหาเศรษฐกิจของครัวเรือน สุขภาพจิตของนักเรียนที่ได้รับผลกระทบจากการต้องอยู่ในบ้านหรืออยู่หน้าจอเป็นเวลานานๆ  ซึ่งล้วนส่งผลกระทบต่อการศึกษาทั้งสิ้น

อันที่จริงแล้วแม้แต่โรงเรียนที่เน้นการเรียนการสอนแบบออนไลน์ที่มีความพร้อมในทุกด้านในสถานการณ์ปกติอย่างเช่น Virtual Charter School งานวิจัยในระดับชาติของสหรัฐอเมริกา (The National Study of Online Charter Schools) ยังพบว่าการจัดการศึกษาอาจจะไม่ได้ผลดีเท่าไรนัก เทียบกับการเรียนแบบผสมผสาน หรือการเรียนแบบห้องเรียนเป็นหลัก นักเรียนขาดความรู้สึกดึงดูดร่วมในชั้น[7] ดังนั้นหากคาดหวังว่าจะให้โรงเรียนที่ปกติไม่ได้สอนแบบออนไลน์เป็นหลักจะสามารถปรับตัวและทำได้ดีในช่วงระยะเวลาอันสั้นคงเป็นไปได้ยาก แต่อย่างไรก็ตามภายใต้สถานการณ์ของ COVID-19 อันเป็นตัวบังคับเช่นนี้ โรงเรียน ครู และนักการศึกษาก็คงต้องทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้

 

สำรวจความพร้อมของนักเรียนและโรงเรียนต่อการเรียนการสอนระบบออนไลน์

 

องค์กร OECD ร่วมกับคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้จัดทำกรอบแนวทางสำหรับภาคการศึกษาในการตอบสนองต่อวิกฤตการณ์ COVID-19[8] (A framework to guide an education response to the COVID-19 pandemic of 2020) โดยการใช้ข้อมูลการสำรวจของ OECD สำหรับนักเรียนอายุ 15 ปี จำนวนกว่า 600,000 คน จาก 79 ประเทศทั่วโลกในปี 2018 ซึ่งได้มีการสำรวจสถานการณ์การใช้ ICT การครอบครองอุปกรณ์ดิจิทัลต่างๆ การเชื่อมสัญญาณอินเทอร์เน็ต แนวทางการเรียนการสอนแบบออนไลน์ ทำให้เห็นถึงสถานการณ์ของแต่ละประเทศในเรื่องนี้ว่ามีความพร้อมที่แตกต่างกันอย่างไร

ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่เข้าร่วมในการสำรวจครั้งนี้ ขอนำข้อมูลนี้มานำเสนอโดยเน้นเปรียบเทียบระหว่างประเทศไทยกับประเทศอื่นๆ ที่อยู่ในสภาวะต้องปิดโรงเรียนและใช้การเรียนการสอนแบบออนไลน์เป็นพิเศษในสถานการณ์ COVID-19 เช่น จีน เกาหลีใต้ ฮ่องกง สเปน อิตาลี สหรัฐอเมริกา และจะทำการเปรียบเทียบระหว่างนักเรียนไทยที่มีเศรษฐฐานะแตกต่างกันเพิ่มเติม เพื่อให้เห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น

 

สถานที่สำหรับเรียนในบ้านสำหรับเด็ก

 

การมีห้องหรือสถานที่เงียบๆ ในบ้านสำหรับทำการบ้าน อ่านหนังสือ นับเป็นปัจจัยสำคัญเบื้องต้นของความสำเร็จในการเรียนของเด็ก โดยเฉพาะในการเรียนแบบออนไลน์ที่เด็กต้องนั่งทำงานด้วยตนเองนานๆ

จากการสำรวจพบว่าโดยเฉลี่ยแล้ว 81% ของนักเรียนอายุ 15 ปีในกลุ่มประเทศ OECD มีห้องเงียบๆ สำหรับอ่านหนังสือหรือทำการบ้านในบ้านพักของตน แต่ในบางประเทศ เช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย มีเด็กมากกว่า 30% ที่ไม่มีสถานที่เงียบๆ ส่วนตัวให้เรียนหนังสือในบ้านได้ แต่ทั้งนี้ในแต่ละประเทศก็มีความเหลื่อมล้ำเช่นกัน เช่น ในเกาหลีใต้ แม้นักเรียนกว่า 85% ของประเทศมีห้องส่วนตัวในการเรียนหนังสือ แต่ก็มีนักเรียนถึงหนึ่งในห้าของกลุ่มครัวเรือนที่ยากจนที่สุดที่ไม่มีสถานที่ในการเรียนหนังสือที่บ้าน (อาจนึกถึงฉากในภาพยนตร์รางวัลออสการ์เรื่อง Parasite[9]) ในกรณีของไทยหากแบ่งเด็กออกเป็นห้ากลุ่มเศรษฐฐานะ เด็กที่อยู่ในกลุ่มฐานะดีที่สุด 84% มีสถานที่เรียนในบ้าน ในขณะที่มีเด็กกลุ่มยากจนที่สุดเพียง 55% ที่มีสถานที่สงบๆ ให้ทำงานในบ้านได้

 

สัดส่วนของเด็กจากประเทศต่าง ๆ ที่มีสถานที่ทำการบ้าน/อ่านหนังสือเงียบ ๆ ในบ้าน

 

สัดส่วนของเดกไทยมีห้องสำหรับเรียนหนังสือเงียบ ๆ ในบ้าน

ที่มา: ฐานข้อมูล OECD (2018) คำนวณโดยผู้เขียน

 

การเข้าถึงอุปกรณ์คอมพิวเตอร์สำหรับการเรียนที่บ้าน

 

ประเทศที่เศรษฐกิจสังคมมีความก้าวหน้า เช่น เนเธอแลนด์ ฟินแลนด์ สเปน เกาหลีใต้ สหราชอาณาจักร อิตาลี สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา ฮ่องกง เอสโตเนีย นักเรียนมากกว่า 95% มีคอมพิวเตอร์ที่บ้านสำหรับเอาไว้ทำการบ้านหรือใช้ในการเรียนการสอน ในขณะที่ประเทศไทยนักเรียนเพียง 53% ที่มีคอมพิวเตอร์สำหรับทำงานอยู่ที่บ้าน ซึ่งหากแบ่งตามเศรษฐฐานะ มีนักเรียนกลุ่มที่มีฐานะดีที่สุดถึง 91% ที่มีอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่บ้าน ส่วนนักเรียนกลุ่มที่ยากลำบากที่สุดเพียง 17% ที่มีคอมพิวเตอร์ เป็นความเหลื่อมล้ำที่เห็นได้ชัดเจน ซึ่งการขาดแคลนอุปกรณ์เครื่องคอมพิวเตอร์เป็นอุปสรรคหลักในการเรียนการสอนแบบออนไลน์

ระบบแพลตฟอร์มของการเรียนทางออนไลน์ส่วนใหญ่ถูกออกแบบไว้สำหรับทำงานบนเครื่องคอมพิวเตอร์ ดังนั้นการไม่มีอุปกรณ์คอมพิวเตอร์จึงทำให้การเรียนแบบออนไลน์เป็นไปได้ยาก รัฐบาลของหลายประเทศหรือระบบการศึกษาจะใช้วิธีการแก้ปัญหาการขาดแคลนอุปกรณ์สำหรับครอบครัวที่ยากจนด้อยโอกาสโดยการแจกหรือให้ยืมเครื่อง รวมถึงการได้รับบริจาคจากภาคเอกชน เช่น บริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ ในสหรัฐอเมริกานิยมการบริจาคหรือซื้อโน้ตบุ๊ก Google Chromebook ซึ่งมีราคาถูกให้กับเด็กที่ยากจนและไม่มีคอมพิวเตอร์ใช้ ในกรณีของประเทศไทย กระทรวงศึกษาธิการมีโครงการที่จะแจกเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กในช่วง COVID-19

 

สัดส่วนนักเรียนที่บ้านมีเครื่องคอมพิวเตอร์าสำหรับทำการบ้าน เรียนหนังสือ

 

สัดส่วนของนักเรียนไทยที่มีคอมพิวเตอร์เพื่อใช้ในการเรียนที่บ้าน

ที่มา: ฐานข้อมูล OECD (2018) คำนวณโดยผู้เขียน

 

การต่อเชื่อมสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่บ้านของนักเรียน

 

การเข้าถึงสัญญาณอินเทอร์เน็ตเป็นอีกเงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับการเรียนการสอนแบบระบบออนไลน์ นักเรียนจากประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้าในหลายประเทศมีการเข้าถึงสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่ค่อนข้างแพร่หลายเกือบจะ 100% เช่น ฟินแลนด์ สิงคโปร์ เกาหลีใต้ สเปน เป็นต้น

ในกรณีของประเทศไทย จากการสำรวจพบว่านักเรียนอายุ 15 ปี ที่บ้านมีการเข้าถึงสัญญานอินเทอร์เน็ต มีประมาณ 81.6 % ซึ่งเป็นตัวเลขที่ดีพอสมควร แต่อย่างไรก็ตามหากแบ่งตามระดับเศรษฐฐานะของนักเรียน พบว่า ในขณะที่ครอบครัวที่มีเศรษฐฐานะในระดับ 40% มีการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้เกิน 90% ของครัวเรือน แต่นักเรียนในกลุ่มเศรษฐฐานะล่างสุดเพียง 57% ที่บ้านมีการเชื่อมต่อสัญญาณอินเทอร์เน็ต ซึ่งอาจเป็นเพราะไม่มีเงินสำหรับสมัครสมาชิกอินเทอร์เน็ตหรืออยู่ในบริเวณห่างไกลกว่าที่จะมีสัญญาณเข้าถึง นับเป็นความเหลื่อมล้ำแบบหนึ่ง ซึ่งทางแก้ก็มีหลายประเทศที่ใช้การจัดสรรอุปกรณ์ wifi แบบพกพา ให้กับนักเรียนที่บ้านไม่สามารถเข้าถึงสัญญาณอินเทอร์เน็ตได้ หรือจัดสรรงบประมาณเพื่อให้ครัวเรือนยากจนมีเงินในการสมัครบริการอินเทอร์เน็ต เป็นต้น

 

นักเรียนซึ่งบ้านมีการเชื่อมต่อสัญญาณอินเทอร์เน็ต

การเชื่อมต่อสัญญาณอินเตอร์เน็ตที่บ้านของนักเรียนไทย สถิติ

ที่มา: ฐานข้อมูล OECD (2018) คำนวณโดยผู้เขียน

 

การเข้าถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ประเภทอื่นๆ เครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก และเครื่องแท็บเล็ต

 

จากการสำรวจการเข้าถึงอุปกรณ์คอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษา เช่น คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กแบบพกพา คอมพิวเตอร์แท็บเล็ต ของเด็กในประเทศต่างๆ ทั่วโลก พบว่า หากเปรียบเทียบการมีอุปกรณ์ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก และเครื่องแท็บเล็ต เด็กไทยมีอุปกรณ์เหล่านี้ 57.8% และ 43.4% ตามลำดับ ซึ่งหากเปรียบเทียบกับหลายประเทศที่ต้องอยู่ในสถานการณ์ของการต้องปิดโรงเรียนในช่วงที่ผ่านมา นักเรียนของเขาจะมีการเข้าถึงอุปกรณ์เหล่านี้มากกว่านักเรียนไทย ยกตัวอย่าง สหรัฐอเมริกา (88.6% และ 79.2%) สิงคโปร์ (89.3% และ 76.7%) เสปน (89% และ 84%) อิตาลี (89.3% และ 79%) ตามลำดับ ซึ่งประเทศเหล่านี้แม้จะต้องอยู่ในสถานการณ์ล็อกดาวน์ แต่นักเรียนก็มีโอกาสในการเข้าถึงการเรียนแบบออนไลน์ได้ในสัดส่วนที่สูงอยู่มาก

 

สถิติ การเข้าถึงอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เครื่องโน้ตบุ๊ก เครื่องแท็บเล็ต

ที่มา: ฐานข้อมูล OECD (2018) คำนวณโดยผู้เขียน

 

การครอบครองโทรทัศน์ โทรศัพท์สมาร์ทโฟน และอุปกรณ์อื่นๆ ของครัวเรือน

 

การสำรวจถึงการครอบครองอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของนักเรียน เช่น โทรศัพท์ โทรศัพท์มือถือแบบสมาร์ทโฟนที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ เครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งแบบตั้งโต๊ะและพกพา เครื่องคอมพิวเตอร์แท็บเล็ต พบว่าสำหรับประเทศส่วนใหญ่เด็กนักเรียนจะสามารถเข้าถึงโทรศัพท์สมาร์ทโฟนมากที่สุด รวมถึงโทรทัศน์ ที่มักจะต้องมีในทุกบ้าน ในกรณีของประเทศไทยพบว่าครัวเรือนของนักเรียนที่ได้ทำการสำรวจ มีโทรทัศน์ 1.7 เครื่อง (ประมาณ 2 เครื่องต่อครัวเรือน) มีมือถือ 2.3 เครื่อง (มีประมาณ 2-3 เครื่องในบ้าน) คอมพิวเตอร์ 0.9 เครื่อง (มีเกือบจะทุกครัวเรือน) แท็บเล็ต 0.5 เครื่อง (ทุกสองครัวเรือนจะพบว่ามีแท็บเล็ตหนึ่งเครื่อง) ดังนั้นในเชิงนโยบาย อาจจะเป็นไปได้ว่าหากต้องการเผยแพร่ข้อมูลทางการศึกษาแบบทางไกลในประเทศไทย สื่อเช่น โทรทัศน์ หรือโทรศัพท์สมาร์ทโฟน อาจจะเป็นอีกช่องทางที่สามารถเข้าถึงเด็กจำนวนมากได้ โดยมีต้นทุนที่ต่ำและยุ่งยากน้อย

 

จำนวนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในครัวเรือนของนักเรียนประเทศ

ที่มา: ฐานข้อมูล OECD (2018) คำนวณโดยผู้เขียน

 

ข้อสังเกตการเข้าถึงโทรศัพท์มือถือแบบสมาร์ทโฟน : อุปกรณ์ดิจิทัลที่เด็กไทยเข้าถึงได้มากที่สุด

 

สำหรับประเทศไทยถือว่านักเรียนไทยมีการเข้าถึงโทรศัพท์มือถือแบบสมาร์ทโฟนค่อนข้างมาก คือ ประมาณ 86.1% เมื่อจำแนกตามกลุ่มเศรษฐฐานะก็พบว่าแม้แต่เด็กในกลุ่มที่ยากจนที่สุดถึงเกือบ 80% ยังมีการเข้าถึงโทรศัพท์มือถือ ซึ่งนับว่าอาจจะเป็นอุปกรณ์ที่เด็กไทยสามารถเข้าถึงได้ง่ายในกรณีที่มีการเรียนการสอนแบบออนไลน์ ดังนั้นหากมีการประยุกต์แนวทางการเรียนการสอน หรือเนื้อหาให้ถ่ายทอดผ่านทางโทรศัพท์มือถือ ก็อาจจะเป็นแนวทางหนึ่งที่ทำให้เด็กสามารถเข้าถึงการเรียนการสอนในแบบทางไกลได้

ทั้งนี้ในหลายประเทศโดยเฉพาะในทวีปแอฟริกา ละตินอเมริกา ซึ่งค่อนข้างยากจน จะมีการใช้อุปกรณ์มือถือในการส่ง SMS หรือแจ้งเตือนต่างๆ ทางด้านการเรียนการสอนมานานแล้ว ซึ่งการใช้ระบบการส่ง SMS หรือการเรียนผ่านทางระบบมือถือได้รับการศึกษาในหลายประเทศพอสมควร โดยเฉพาะประเทศซึ่งเด็กและเยาวชนไม่ได้มีการเข้าถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลมากนัก ดังนั้นภาครัฐหรือโรงเรียนหรือผู้พัฒนาระบบดิจิทัลแพลตฟอร์มในไทยน่าจะได้พิจารณาพัฒนาระบบการเรียนรู้ผ่านทางมือถือและขยายผลการใช้ให้มากขึ้น หากหวังให้มีการเข้าถึงการเรียนแบบออนไลน์โดยทั่วถึง

 

สัดส่วนนักเรียนที่มีโทรศัพท์มือถือที่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ต

สัดส่วนนักเรียนที่มีโทรศัพท์มือถือพร้อมสัญญาณอินเทอร์เน็ต

ที่มา: ฐานข้อมูล OECD (2018) คำนวณโดยผู้เขียน

 

การใช้งานอินเทอร์เน็ตในการเรียนการสอนในชีวิตประจำวัน

 

จากการสำรวจของ OECD ถึงแนวทางการเรียนการสอนของนักเรียนจากประเทศต่างๆ ว่ามีการใช้ระบบอินเทอร์เน็ตออนไลน์ในการติดตามการเรียนการสอน หรือในการทำการบ้านผ่านระบบออนไลน์มากน้อยเพียงใด ในกรณีของประเทศไทย เมื่อมีการเปรียบเทียบระหว่างนักเรียนในกลุ่มเศรษฐฐานะสูงสุด 20% กับล่างสุด 20% ในเรื่องการเรียนการสอนและการทำการบ้านแบบผ่านระบบออนไลน์ พบว่ามีนักเรียนไทยในกลุ่มเศรษฐฐานะสูงที่ทำงานโดยผ่านระบบออนไลน์ทั้งการเรียนและการทำการบ้านทุกวันหรือเกือบทุกวันประมาณ 45%  เมื่อเปรียบเทียบกับเด็กกลุ่มเศรษฐฐานะล่างสุดซึ่งมีประมาณ 32% ที่ทำงานหรือทำการบ้านผ่านระบบออนไลน์ทุกวันหรือเกือบทุกวัน

 

การใช้เวลาของนักเรียนไทยกับการเรียนแบบออนไลน์

สัดส่วนนักเรียนที่ใช้งานอินเทอร์เน็ตทุกวัน/เกือบทุกวัน

ที่มา: ฐานข้อมูล OECD (2018) คำนวณโดยผู้เขียน

 

ข้อสรุปจากข้อมูลการเข้าถึงทรัพยากรของ OECD

 

จากการเก็บข้อมูลในปี 2018 ของ OECD พบว่าประเทศไทยยังมีความเหลื่อมล้ำของการเข้าถึงสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการเรียนรู้ในระบบออนไลน์ เช่น สถานที่ในบ้านสำหรับเรียนหนังสือ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น เครื่องโน้ตบุ๊ก แท็บเล็ต โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มครัวเรือนที่มีฐานะดีมีความพร้อม กับครัวเรือนที่ยากลำบาก ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลที่ได้จากการสำรวจหรือการสังเกตอื่นๆ ในเรื่องของความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล (digital divide) อาจจะมีข้อยกเว้นสำหรับการเข้าถึงโทรทัศน์หรือโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน ที่ดูเหมือนครัวเรือนในทุกระดับฐานะสามารถเข้าถึงได้ ซึ่งก็อาจจะเป็นข้อมูลอีกแหล่งหนึ่งสำหรับนักการศึกษาหรือผู้กำหนดนโยบายที่สามารถนำไปใช้เพื่อบริหารจัดการการเข้าถึงการเรียนการสอนแบบออนไลน์ภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินของสภาวะ COVID-19

อย่างไรก็ตามประเทศไทยมิใช่ประเทศเดียวในโลกที่มีปัญหานี้ หลายประเทศต่างต้องเผชิญกับปัญหานี้ไปด้วยกันและสามารถที่จะเรียนรู้บทเรียนและแนวทางแก้ปัญหาร่วมกันได้

 

แนวทางการเรียนการสอนแบบอื่นๆ ในช่วงวิกฤต COVID-19

 

การใช้วิทยุและหนังสือพิมพ์

เป็นวิธีการแบบดั้งเดิมที่สุด ในสหรัฐอเมริกาเคยมีการปิดโรงเรียนเพราะการระบาดของโปลิโอในช่วงปี 1937 ทำให้นักเรียนประถมศึกษา 325,000 คน ตอนออกจากโรงเรียน ในยุคนั้นมีการใช้การออกอากาศบทเรียนทางวิทยุ โดยมีตารางออกอากาศ คำถาม การบ้าน ส่งไปในหนังสือพิมพ์ทุกเช้า มีครู ผู้ทรงคุณวุฒิคอยตรวจสอบเนื้อหาบทเรียน มีการเชิญผู้ทรงคุณวุฒิหรือแขกรับเชิญมาออกอากาศ และใช้ระบบ hotline ให้พ่อแม่สามารถโทรไปปรึกษาได้ มีครูคอยรับสายประมาณ 20 คน โดยมีพ่อแม่สนใจโทรมาแสดงความเห็นตลอด  มีการสนับสนุนให้พ่อแม่นั่งทำการบ้าน ทำบทเรียนร่วมไปกับลูก แต่ในยุคนั้นก็มีปัญหาเช่นกัน เช่น บางบ้านไม่มีวิทยุ สัญญาณไม่ดี หรือต้องย้ายออกไปอยู่นอกเขตเมืองที่สัญญาณวิทยุส่งไม่ถึง[10]  และปัญหาที่ว่าอาจจะมีความเร็วในการเรียนรู้ รับรู้ ไม่เท่ากัน  ซึ่งไม่ต่างจากยุคที่ใช้อินเทอร์เน็ตนี้เท่าไรนัก ที่แม้จะมีความสะดวกสบายมากกว่า แต่ก็มีปัญหาความเหลื่อมล้ำ ความไม่สะดวกในเรื่องการเข้าถึงคล้ายๆ กัน

ในประเทศที่นักเรียนมีการเข้าถึงอุปกรณ์การสื่อสารยาก เช่น ในวิกฤตโรคอีโบลา ปี 2014 ภูมิภาคแอฟริกาตะวันตกมีการปิดโรงเรียนต้องใช้การเรียนผ่านทางระบบวิทยุ ใช้การส่งข้อความ ข่าวสารข้อมูลด้านการศึกษาผ่านทางโทรศัพท์มือถือแบบ SMS หรือใช้การส่งวิดีโอสั้นๆ ซึ่งใช้สัญญาณอินเทอร์เน็ตน้อยกว่า[11]

 

การใช้โทรทัศน์

ในช่วงปิดโรงเรียนประเทศจีนมีการจัดทำรายการโทรทัศน์เพื่อให้นักเรียนในระดับต่างๆ ได้เรียนผ่านหน้าจอ โดยแบ่งตาราง ช่องสถานี วันเวลา ตามระดับชั้นและวิชาต่างๆ ถือเป็นวิธีการที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายที่สุด สำหรับนักเรียนที่ไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ตหรือคอมพิวเตอร์ แต่ก็เป็นการสื่อสารแบบทางเดียว และมีหลายประเทศที่ใช้โทรทัศน์เป็นหนึ่งในช่องทางของการให้การศึกษา เช่น กรีซ นิวซีแลนด์ โทรทัศน์ช่องการศึกษาในบางรัฐของสหรัฐอเมริกา สถานีโทรทัศน์ BBC ของอังกฤษ สถานีโทรทัศน์ Discovery ที่เน้นเรื่องการศึกษา ในประเทศไทยก็มีการใช้ระบบการเรียนการสอนผ่านโทรทัศน์ดาวเทียม (DLTV) มานานแล้ว และมีฐานข้อมูลและระบบปฏิบัติการที่ค่อนข้างพร้อมพอสมควร

 

การใช้ระบบเอกสาร (learning box set)

การใช้ระบบเอกสารการเรียนรู้ เป็นชุดวิชาหรือบทเรียนที่เป็นหนังสือ แบบฝึกหัดต่างๆ เป็นวิธีดั้งเดิม เน้นให้นักเรียนเรียนด้วยตนเองหรือสามารถใช้ร่วมกับระบบอื่นๆ แบบผสมผสานกัน เช่น ให้การบ้าน ทำงาน แล้วหาเวลามาถามปัญหาหรืออภิปรายทางระบบออนไลน์ ในประเทศโปรตุเกส มีการดำเนินการส่งเอกสารให้กับนักเรียนโดยใช้ไปรษณีย์ รวมถึงการส่งการบ้านต่างๆ ร่วมกับระบบอื่นๆ หรือแม้แต่ในประเทศจีนผู้ปกครองที่กลัวว่าลูกจะใช้เวลากับหน้าจอมากเกินไปก็จะใช้วิธีการเรียนโดยพิมพ์เอกสารมาอ่านหรือทำงาน หรือประเทศนิวซีแลนด์ที่ดำเนินการเพิ่มการพิมพ์เพื่อผลิตและแจกจ่ายเอกสารประกอบการเรียนเพื่อส่งไปตามบ้านนักเรียนในช่วงที่โรงเรียนถูกปิดเพิ่มขึ้น

 

บริบทของความเหลื่อมล้ำและเด็กผู้ด้อยโอกาสในสังคม

 

ไม่ว่าจะใช้วิธีการแบบใดก็ตามในการเรียนการสอนช่วงวิกฤต COVID-19 สิ่งที่สำคัญ คือ การเลือกให้เหมาะสมกับบริบทและความพร้อมของผู้เรียนและผู้สอนซึ่งจะเป็นคนที่รู้ดีที่สุด ที่สำคัญคือนอกจากวิชาการแล้ว ควรจะต้องคอยเฝ้าระวังและให้การช่วยเหลือสนับสนุนด้านอาหารของเด็กนักเรียนที่อาจจะขาดไปเนื่องจากการปิดโรงเรียนเป็นเวลายาวนาน ด้านสุขภาวะในช่วงวิกฤต ให้ความสำคัญกับสภาวะด้านจิตใจอารมณ์และสังคมของนักเรียนเป็นสำคัญด้วย ครูและโรงเรียนควรจะทำให้นักเรียนมีความรู้สึกมั่นคง รู้สึกว่าตนเองยังไม่ได้ถูกครูทอดทิ้ง ยังเป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียนในช่วงแห่งวิกฤตเช่นนี้

ควรจะช่วยกันคิดต่อไปว่าสำหรับนักเรียนที่อยู่ในกลุ่มการศึกษาพิเศษ ผู้พิการ ผู้มีความบกพร่องในการเรียนรู้ นักเรียนในกลุ่มเด็กเล็กที่พ่อแม่หรือผู้ปกครองไม่สามารถเลี้ยงได้เนื่องจากต้องออกไปทำงานหาเงิน นักเรียนที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย ไม่เกื้อหนุนต่อการเรียนรู้ มีความรุนแรงในครอบครัว ทางโรงเรียน ทางภาครัฐ หรือองค์กรที่มีส่วนช่วยในการสนับสนุนต่างๆ ในสังคมควรจะทำอย่างไร เนื่องจากเด็กในกลุ่มเหล่านี้ต้องการการสนับสนุนแบบพิเศษและมิอาจรอคอยสภาวะวิกฤตเช่นนี้ได้นาน

 

 


 อ้างอิง

[1] ข้อมูลจาก UNESCO ณ วันที่ 8 เมษายน 2563

[2] Lempel H, Epstein JM, Hammond RA. Economic cost and health care workforce effects of school closures in the US: Center on Social and Economic Dynamics; 2009

[3] งานวิจัยเรื่องความรู้ที่หายไปในช่วงการหยุดเรียนนานๆ เช่น Summer Learning Loss: What We Know and What We’re Learning, Brookings Report (2017) Summer learning loss: What is it, and what can we do about it?

[4] แหล่งข้อมูลเรื่อง Distance Learning Solutions จาก UNESCO

[5] The New York Times. As School Moves Online, Many Students Stay Logged Out. April 6, 2020.

[6] The New York Times. The Coronavirus Exposes Education’s Digital Divide. March 17, 2020.

[7] งานวิจัยเกี่ยวกับโรงเรียนแบบออนไลน์ในสหรัฐอเมริกา (เนื่องจาก Charter School ในสหรัฐอเมริกาได้รับเงินอุดหนุนจากภาครัฐ จึงต้องมีการจัดทำรายงานการประเมินผลสู่สังคม) Online schools ‘worse than traditional teachers’Inside Online Charter SchoolsVirtual Schools in the U.S. 2019

[8] A framework to guide an education response to the COVID-19 pandemic of 2020 จัดทำโดย OECD และ Harvard Graduate School of Education

[9] ชนชั้นปรสิต (Parasite) ภาพยนตร์เสียดสีสังคมเกาหลีใต้ที่ประสบความสำเร็จจนได้รับรางวัลออสการ์ในปี 2020 บอกเล่าเรื่องราวความเหลื่อมล้ำของครอบครัวคนจนที่อาศัยอยู่ในห้องชั้นกึ่งใต้ดินที่เรียกว่า ‘พันจีฮา’ ซึ่งมีผู้คนนับพันในกรุงโซลที่มีชีวิตเช่นนี้ กับครอบครัวคนรวยที่อยู่ในคฤหาสน์หรูในกรุงโซล

[10] Washington Post. In Chicago, schools closed during a 1937 polio epidemic and kids learned from home – over the radio. April 3, 2020.

[11] รายงานเกี่ยวกับการใช้โทรศัพท์มือถือเพื่อการศึกษา Turning on mobile learning in Africa and the Middle East และ The future in education of African is mobile

MOST READ

Spotlights

14 Aug 2018

เปิดตา ‘ตีหม้อ’ – สำรวจตลาดโสเภณีคลองหลอด

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย พาไปสำรวจ ‘คลองหลอด’ แหล่งค้าประเวณีใจกลางย่านเมืองเก่า เปิดปูมหลังชีวิตหญิงค้าบริการ พร้อมตีแผ่แง่มุมเทาๆ ของอาชีพนี้ที่ถูกซุกไว้ใต้พรมมาเนิ่นนาน

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Aug 2018

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

Social Issues

21 Nov 2018

เมื่อโรคซึมเศร้าทำให้อยากจากไป

เรื่องราวการรับมือกับความคิด ‘อยากตาย’ ผ่านประสบการณ์ของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า คนเคียงข้าง และบทความจากจิตแพทย์

ศุภาวรรณ คงสุวรรณ์

21 Nov 2018

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save