fbpx
คอร์รัปชัน : ปัญหาของเส้นแบ่งระหว่างเรื่องส่วนตัวเรื่องสาธารณะ

คอร์รัปชัน : ปัญหาของเส้นแบ่งระหว่างเรื่องส่วนตัวเรื่องสาธารณะ

“เฮ้ยมึง กระดาษที่ออฟฟิศ เราเอาไปใช้ (ในเรื่องส่วนตัว) ได้ไหมเนี่ย”

“ไม่รู้ดิ คงใช้ได้แหละมั้ง”

“ถ้างั้นก็คงได้แหละ”

หลายครั้งที่เราต้องเจอกับเหตุการณ์ทำนองนี้ และต้องเผชิญกับความอิหลักอิเหลื่อว่าสิ่งที่ตัวเองจะทำนั้น ‘ผิด’ หรือ ‘ถูก’ กันแน่

 

ถ้าเป็นในมุมมองของวัฒนธรรมไทย การนำของเล็กๆ น้อยๆ จากที่ทำงานมาใช้ส่วนตัวอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่โต หรือผิดแบบจริงจังมากนัก – แหม! กับของแค่นี้ จะอะไรกันนักหนาล่ะ ช่วยๆ กัน หน่อยจะเป็นอะไรไป

แต่ถ้าวัดจากมุมมองของชาวต่างประเทศ โดยเฉพาะชาวตะวันตก การหยิบใช้ของพวกนี้อาจจะผิด และถือว่าเป็น ‘คอร์รัปชัน’ ได้เลยทีเดียว

 

ในวิธีคิดของชาวตะวันตก การเอาทรัพยากรไม่ว่าจะเป็นเงิน อุปกรณ์ หรือแม้กระทั่งแรงงานที่เป็นของสาธารณะไปใช้ในเรื่องส่วนตัวไม่ว่าระดับเล็กหรือใหญ่ ล้วนเป็นสิ่งที่ผิดทั้งสิ้น ถือเป็น ‘คอร์รัปชัน’ อย่างปฏิเสธไม่ได้ ทั้งนี้เพราะว่าเขามีวิธีคิดแยกเรื่องสาธารณะและส่วนตัวอย่างชัดเจน

แต่ก่อนโน้น ย้อนไปสักสองร้อยกว่าปี ราวศตวรรษที่ 18-19 การทำงานในประเทศตะวันตกยังเผชิญกับความสิ้นเปลืองและไร้ประสิทธิภาพอย่างมาก บุคลากรตามหน่วยงานต่างๆ มักชอบแอบนำ ‘ของหลวง’ หรือ ‘ของบริษัท’ ไปใช้เพื่ออะไรอย่างอื่นที่นอกเหนือจากเป้าประสงค์ขององค์กรเสียเอง

เป็นต้นว่า ในระบบราชการ เหล่าข้าราชการมักเอาเงินหรืออุปกรณ์ของหน่วยงานไปใช้ในครอบครัว เช่น นำดินสอ หรือกระดาษไปให้ลูกให้หลานที่บ้านตัวเองใช้ หรือบางครั้งมีญาติตัวเองมาติดต่อราชการ ข้าราชการบางคนก็อาจจะให้ญาติตัวเองลัดคิวเพื่อให้บริการก่อนประชาชนคนอื่น (เป็นการให้อภิสิทธิ์) ซึ่งในส่วนของวงการธุรกิจ รูปแบบพฤติกรรมที่เกิดขึ้นก็ไม่ต่างจากนี้เท่าไหร่นัก

นักคิดด้านสังคมศาสตร์ทั้งหลายในสมัยนั้นเห็นว่า จะปล่อยให้พฤติกรรมแบบนี้ดำเนินต่อไปไม่ได้ เพราะนอกจากจะทำให้การทำงานของหน่วยงานและองค์กรต่างๆ ขาดประสิทธิภาพแล้ว ยังเป็นการปลูกฝังให้เกิด ‘วัฒนธรรมฉ้อฉล’ ในระยะยาวอีกด้วย ซึ่งหากปล่อยไป นานวันเข้า สังคมจะกัดกินตัวเองและล่มสลายไปในที่สุด – ว่าไปโน่น

แมกซ์ เวเบอร์ (Max Weber) นักเศรษฐศาสตร์การเมืองและนักสังคมวิทยาคนสำคัญของประเทศเยอรมนี ได้เสนอแนวคิดเรื่อง ‘องค์กรขนาดใหญ่’ (Bureaucracy) ขึ้นมา เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวและเสนอวิธีการทำงานขององค์กรในอุดมคติ

โดยองค์กรในอุคมคติของเวเบอร์จะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากจะต้องมีวิธีการทำงานที่เป็นไปอย่างมีระบบและการใช้ความเชี่ยวชาญตามความถนัดของแต่ละคนแล้ว สิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญไม่แพ้กันก็คือ ‘การแยกเรื่องส่วนตัวและเรื่องส่วนรวม’

แนวคิดพื้นฐานของการแยกเรื่องส่วนตัวและเรื่องส่วนรวม มาจากความเชื่อที่ว่า ในการทำงานที่ต้องข้องแวะกับสังคม เราต้องแยก ‘ชีวิตส่วนตัว’ (private life) และ ‘ชีวิตสาธารณะ’ (public life) ออกจากกันให้ได้ เพราะจะทำให้คนทำงานแบ่งแยกการทำงานได้อย่างชัดเจน และจะได้ไม่สับสนว่าเรื่องไหนเป็นเรื่องส่วนตัว เรื่องไหนเป็นเรื่องงานหรือสาธารณะ

ผลประโยชน์ของวิธีคิดในการทำงานแบบนี้คือ ทำให้คนทำงานไม่เอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับการทำงานประจำซึ่งเป็นเรื่องของส่วนรวม บุคลากรจึงสามารถทุ่มเททรัพยากรส่วนรวมทั้งหมดเพื่อทำงานแก่ส่วนรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และหากใครมีพฤติกรรมที่เอาเรื่องส่วนตัวและเรื่องงานมาปะปนกัน (แม้เพียงนิดเดียว และหากจับได้) ก็จะโดนลงโทษ เช่น การหักเงินเดือน การลดขั้น หรือการไล่ออก

ด้วยหลังจากที่แนวคิดนี้ได้รับการเผยแพร่ องค์กรทั้งน้อยใหญ่ต่างก็นำไปปรับใช้ และผลลัพธ์ก็เป็นไปอย่างที่คาดหวังไว้ วิธีคิดนี้จึงกลายเป็นบรรทัดฐานสำคัญสำหรับการทำงานในองค์กรในประเทศตะวันตก และประเทศที่เจริญแล้วทั่วโลก

 

คำถามที่น่าสนใจคือ ถึงแม้ว่าวิธีคิดการแยกเรื่องส่วนตัวกับเรื่องส่วนรวมจะได้รับการยอมรับโดยทั่วกัน แต่ทำไมคนไทยถึงไม่ยอมใช้วิธีคิดดังกล่าวนี้กันอย่างจริงจัง

คำตอบของคำถามนี้น่าจะอยู่ที่ ‘รากฐานทางวัฒนธรรมของไทย’ โดยเฉพาะ ‘ระบบเจ้าขุนมูลนาย’ นี่แหละ

ระบบเจ้าขุนมูลนายหรือระบบศักดินาแบบไทยๆ มีบทบาทสำคัญในการจัดโครงสร้างสังคมและการเมืองไทยในอดีตอย่างมาก โดยในระบบดังกล่าว ประชาชนต่างๆ ในสังคมจะถูกจัดช่วงชั้นตามศักดินาที่ตนได้รับ ซึ่งศักดินาที่ได้รับนั้นก็เป็นการพระราชทานมาจากกษัตริย์ ทั้งนี้ หากผู้ใดมีศักดินามากก็หมายถึงว่าผู้นั้นก็จะมีสิทธิและหน้าที่มาก ส่วนคนที่มีศักดินาน้อย สิทธิและหน้าที่ก็น้อยตามลงไป หน่วยที่ใช้วัดศักดินาก็คือ ‘ไร่’ นั่นเอง อย่างไรก็ดี การใช้จำนวนไร่ในการวัดศักดินาก็ไม่ได้หมายถึงจำนวนไร่แบบตายตัว ดังนั้น หากใครมีศักดินามาก ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะมีที่ดินมากตามไปด้วย

การกำหนดศักดินา (รวมถึงสิทธิและหน้าที่) ด้วยจำนวนไร่ในเชิงนามธรรมเพียงอย่างเดียวนั้น ยังไม่อาจสามารถทำให้กษัตริย์สามารถปกครองได้อย่างมีประสิทธิภาพ กษัตริย์จึงต้องพระราชทานทรัพยากรอื่นๆ แก่ข้าราชบริพารของตนเพื่อเป็นการให้รางวัลให้พอเหมาะกับศักดินาที่พวกเขาได้รับควบคู่ไปด้วย

ผู้ที่มีศักดินามาก จึงมักได้รับที่ดินและสมบัติหรือข้าทาสบริวารที่พระราชทานจากกษัตริย์มากตามไปด้วย แต่ทรัพย์สินหรือที่ดินที่ข้าราชบริพารได้รับ แม้จะถูกนำมาใช้สอยเป็นการส่วนตัว แต่โดยหลักการแล้วไม่ได้เป็นของพวกเขา ยังคงถือว่าเป็นของกษัตริย์หรือ ‘ของหลวง’ ที่ได้รับพระราชทานมาอยู่นั่นเอง

ดังนั้น จึงเกิดความพร่าเลือนระหว่าง ‘ของหลวง’ กับ ‘ของส่วนตัว’ ขึ้นมา ซึ่งรูปแบบการใช้ทรัพยากรเช่นนี้ เกิดขึ้นในแทบทุกระดับชั้นของสังคม ไล่มาตั้งแต่เจ้าในวังถึงสามัญชนข้างถนน จนกลายเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับการทำงานในสังคมไทย

วิธีคิดในการทำงานที่สืบทอดมานี้ ทำให้เราปนเรื่องส่วนตัวและเรื่องส่วนรวมไว้ด้วยกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

ดังนั้นจึงพูดได้ว่า ส่วนหนึ่งที่เกิดการคอร์รัปชันเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ขึ้น ก็เพราะวัฒนธรรมการทำงานแบบไทยๆ ที่ทำให้เราแยกปริมณฑลของชีวิตส่วนตัว และชีวิตการทำงานหรือสาธารณะกันได้ยาก แต่กระนั้น นี่ก็เป็นเพียงสาเหตุเดียวเท่านั้นที่ทำให้เกิดการคอร์รัปชันในระดับเล็ก (ทั้งแบบรู้ตัวและไม่รู้ตัว)

เอาเข้าจริงแล้ว ยังมีสาเหตุอื่นๆ อีกมากที่เรายังต้องค้นหากันต่อไป

MOST READ

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

Social Issues

21 Nov 2018

เมื่อโรคซึมเศร้าทำให้อยากจากไป

เรื่องราวการรับมือกับความคิด ‘อยากตาย’ ผ่านประสบการณ์ของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า คนเคียงข้าง และบทความจากจิตแพทย์

ศุภาวรรณ คงสุวรรณ์

21 Nov 2018

Social Issues

22 Oct 2018

มิตรภาพยืนยาว แค้นคิดสั้น

จากชาวแก๊งค์สู่คู่อาฆาต ก่อนความแค้นมลายหายกลายเป็นมิตรภาพ คนหนุ่มเลือดร้อนผ่านอดีตระทมมาแบบไหน ‘บ้านกาญจนาฯ’ เปลี่ยนประตูที่เข้าใกล้ความตายให้เป็นประตูสู่ชีวิตที่ดีกว่าได้อย่างไร

ธิติ มีแต้ม

22 Oct 2018

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save