หนึ่งในทฤษฎีสมคบคิดยอดนิยมในไทย หากไม่นับเรื่องหนีไปบวชที่นครศรีธรรมราช ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ว่าสหรัฐอเมริกาพยายามเข้ามาสร้างฐานทัพในไทย และทำให้ไทยตกเป็นหนึ่งในจักรวรรดิอันจะยังผลให้ประเทศไทยตกเป็นทาสของประเทศอื่นไปในที่สุด
ล่าสุด เราต่างได้เป็นประจักษ์พยานเห็นกลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) ออกไปยื่นหนังสือที่สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เรียกร้องให้สหรัฐฯ หยุดแทรกแซงกิจการภายในประเทศ หรือกระทั่งนักแสดง จารุณี สุขสวัสดิ์ ก็ให้สัมภาษณ์สื่อว่า ไทยไม่ต้องการเป็นทาสของอเมริกา และไม่ต้องการเป็นทาสของใคร
ทั้งวิธีคิดเรื่องการสร้างฐานทัพ วิธีคิดเรื่องการตกเป็นจักรวรรดินิยมนั้นดูราวกับหลุดมาจากยุคสงครามเย็น ซึ่งว่าไปแล้วก็เป็นช่วงที่สหรัฐฯ รุกคืบทำงาน ‘การเมือง’ กับประเทศไทยเช่นเดียวกับประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประเทศอื่นๆ ซึ่งกลายเป็นยุทธภูมิชั้นดีในการรับมือกับความเครียดเขม็งของสงครามเวียดนามและการขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์ ไม่ว่าจะในแง่การเป็นพื้นที่ที่ถูกใช้รองรับการขยายตัวของระบบทุนนิยมแบบอเมริกา หรือแม้แต่อุดมการณ์เสรีประชาธิปไตยเองก็ตามที “สหรัฐฯ ดำเนินนโยบายปราบปรามคอมมิวนิสต์ในอินโดจีนอย่างรุนแรงเนื่องจากวิตกถึงการล่มสลายของภูมิภาคนี้ตามทฤษฎีโดมิโน ซึ่งจะส่งผลทำให้สหรัฐฯ ในฐานะเจ้าจักรวรรดิสูญเสียอิทธิพลเหนือเอเชียตะวันออกไกล” (ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี, ณัฐพล ใจจริง, หน้า 127)
แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่ล่วงผ่านมาแล้วหลายทศวรรษ ระดับว่าประธานาธิบดี ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ อาจคาดไม่ถึงว่านโยบายระหว่างสหรัฐฯ กับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในยุคสงครามเย็นที่เขาผลักดันนั้น ยังทรงอิทธิพลอยู่ในความคิดของคนกลุ่มหนึ่งขนาดนี้
จะว่าไป ทฤษฎีสมคบคิดกับการเมืองก็ไม่ใช่เรื่องห่างไกลกันนัก ลำพังการเมืองในสหรัฐอเมริกาเองก็ปลุกปล้ำกับทฤษฎีสมคบคิดมาไม่น้อย ไล่กันมาตั้งแต่แผนสังหาร จอห์น เอฟ เคนเนดี อดีตประธานาธิบดีมาจนถึงการถือกำเนิดขึ้นของคิวอะนอน (QAnon) ที่กลายมาเป็นการบุกรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อเดือนมกราคมปี 2021
เว็บไซต์พจนานุกรม Merriam-Webster นิยามคำว่าทฤษฎีสมคบคิดไว้ว่าเป็น “ทฤษฎีที่ใช้อธิบายเหตุการณ์หรือสถานการณ์บางอย่างว่าเป็นผลมาจากแผนการลับโดยกลุ่มผู้มีอำนาจ หรือเป็นทฤษฎีที่ยืนกรานว่ายังมีเรื่องสำคัญที่ถูกผู้มีอำนาจบางกลุ่มปกปิดไว้เป็นความลับจากสาธารณชน”
ทฤษฎีสมคบคิดที่หลายคนเคยผ่านตามาก่อนน่าจะเป็น ‘ระเบียบโลกใหม่’ หรือ New World Order ว่าด้วยความเชื่อที่ว่ามีรัฐบาลโลกคอยปกครองและชักใยประเทศอื่นๆ อยู่ และถือเป็นหนึ่งในทฤษฎีสมคบคิดที่ฝังรากลึกในสังคมอเมริกันมากที่สุดทฤษฏีหนึ่ง เดิมทีมันถูกพูดถึงอยู่ในกลุ่มวัฒนธรรมต่อต้าน (counterculture) อย่างการต่อต้านรัฐบาลในเวลานั้น หรือกลุ่มคริสเตียนบางลัทธิที่เชื่อว่าโลกจะมาถึงจุดจบพร้อมการอุบัติขึ้นของปฏิปักษ์ของพระคริสต์ (Antichrist)
อย่างไรก็ตาม คำว่าระเบียบโลกใหม่หรือ New World Order นั้นมีความหมายในทางการเมืองอยู่จริง กล่าวคือหลังจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่งซึ่งส่งผลให้ผู้นำหลายๆ ประเทศเห็นถึงความพินาศและบาดแผลอันเกิดจากความขัดแย้งทางการเมือง จึงมองหากติกา ระบบระเบียบการปกครองระหว่างประเทศขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความสูญเสียซ้ำอีก นำมาสู่การตั้งสันนิบาตชาติ (League of Nations) ซึ่งมีจุดประสงค์คือเพื่อปกป้องสันติภาพของโลกให้ดำรงอยู่ ก่อนจะล้มเหลวอย่างน่าเศร้าเมื่ออีกไม่กี่ปีต่อมาโลกก็ได้เคลื่อนตัวไปสู่สงครามโลกครั้งที่สองอย่างเป็นทางการ
มีผู้ให้ข้อสังเกตว่า ฐานวิธีคิดที่เชื่อว่ามีรัฐบาลลับใต้ดินที่คอยบงการเหล่าผู้นำจากประเทศมหาอำนาจทั่วโลกนั้น มีรากมาจากสมาคมจอห์น เบิร์ช (The John Birch Society) กลุ่มอนุรักษนิยมขวาจัดที่ก่อตั้งขึ้นโดย โรเบิร์ต เวลช์ จูเนียร์ นักธุรกิจผู้ต่อต้านคอมมิวนิสต์เข้าเส้น ช่วงที่สมาคมจอห์น เบิร์ชยังเรืองอำนาจอยู่นั้น มีบันทึกว่าพวกเขาเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อที่ว่าด้วยภัยร้ายแรงของคอมมิวนิสต์ (รวมทั้งประกาศว่า ประธานาธิบดีไอเซนฮาวร์เป็นสายลับจากคอมมิวนิสต์!) ผ่านทางวิทยุกระจายเสียงกว่า 500 รายการ ยังไม่นับรวมจดหมายเวียนที่พูดถึงสหรัฐอเมริกาที่กำลังถูกลัทธิคอมมิวนิสต์แทรกแซง บวกกันกับที่เวลานั้นเป็นช่วงสงครามเย็นและการผลิบานของกลุ่มชนฮิปปี้ (กับยาเสพติด) ซึ่งมักต่อต้านรัฐบาลโดยธรรมชาติและหลงใหลในวัฒนธรรมต่อต้านอยู่แล้ว วิธีคิดที่ว่ารัฐบาลสหรัฐอเมริกานั้นมีโอกาสถูกใครสักคน -ที่อาจไม่ใช่คอมมิวนิสต์ก็ได้- ครอบงำอยู่จึงแพร่กระจายไปทั่วสังคม
ทฤษฎีสมคบคิดว่าด้วยระเบียบโลกใหม่ยังเชื่อว่า หนึ่งในการ ‘จัดระเบียบ’ คือการควบคุมประชากรมนุษย์ผ่านนโยบายการวางแผนครอบครัวของรัฐบาล เช่น สิทธิในการเข้าถึงการคุมกำเนิดไปจนถึงการทำแท้ง หรือการเข้าถึงวัคซีนเพื่อป้องกันโรคตามธรรมชาติต่างๆ ตั้งแต่โปลิโอ, บาดทะยัก ไปจนถึงโควิด-19 ขณะที่บางสายเชื่อว่าการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หรือการทำสงครามคือหนทางหนึ่งในการควบคุมจำนวนประชากรตามทฤษฎีมาลธูเซียนของ โธมัส มาลเธียส นักวิชาการชาวอังกฤษในศตวรรษที่ 18 ซึ่งเชื่อว่าในอนาคต มนุษย์จะประสบมหันตภัยครั้งใหญ่เมื่อประชากรล้นโลก
แม้จะฟังเป็นเรื่อง ‘หลุดโลก’ ขนาดไหน แต่ผลจากความเชื่อทฤษฎีสมคบคิดก็สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าขึ้นในชีวิตได้จริงๆ ตุลาคมปี 2016 เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมชายสองคนข้อหาสะสมอาวุธปืน เพื่อเตรียมพร้อมรับมือมหันตภัยจากการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศซึ่งรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นผู้ควบคุมและสั่งการ (!!) หรือที่รู้จักกันในชื่อโปรเจ็กต์ HAARP -ซึ่งมีอยู่จริง โดยเป็นโปรเจ็กต์วิจัยชั้นบรรยากาศของมหาวิทยาลัยอลาสกาแฟร์แบงค์- เพื่อกันไม่ให้มนุษย์สื่อสารกับพระเจ้าอันจะนำไปสู่ความยุ่งยากในการจัดระเบียบโลกใหม่
ระเบียบโลกใหม่ยังโยงไปถึงสมาคมลับอิลลูมินาติ (Illuminati) ที่ตอนนี้น่าจะกลายเป็นหนึ่งในทฤษฎีสมคบคิดที่อยู่ในแวดวงวัฒนธรรมกระแสหลักที่สุดแล้ว ตั้งแต่คอมิก The Illuminati ของค่ายมาร์เวลที่พูดถึงกลุ่มองค์กรลับซูเปอร์ฮีโร แถมไปปรากฏใน Doctor Strange in the Multiverse of Madness (2022) ในฐานะยอดมนุษย์จากอีกจักรวาลคู่ขนาน, นิยาย Angels & Demons (2000) ของนักเขียนชาวอเมริกัน แดน บราวน์ ว่าด้วยกลุ่มอิลลูมินาติที่หวังระเบิดกรุงวาติกัน รวมทั้งในอุตสาหกรรมดนตรีที่หลายคนอาจเคยเห็นสัญลักษณ์มือสามเหลี่ยมของ เจย์-ซี แร็ปเปอร์ชื่อดัง (ซึ่งไม่ได้เกี่ยวอันใดกับอิลลูมินาติ แต่หมายถึง Roc-A-Fella ซึ่งเป็นค่ายเพลงที่เขาร่วมก่อตั้งขึ้น โดยรูปมือสามเหลี่ยมหมายถึงเพชร ในฐานะก้อนหินประเภทหนึ่งที่มีมูลค่าสูงลิ่ว) จนเจ้าตัวถูกโยงไปว่าเป็นคนที่องค์กรลับดังกล่าวส่งมา
ทั้งนี้ องค์กรลับอิลลูมินาติมีตัวตนอยู่จริงตั้งแต่สมัยยุคเรืองปัญญา โดยอิลลูมินาติเป็นชื่อขององค์กรลับที่ก่อตั้งขึ้นทางตอนเหนือของบาวาเรีย ประเทศเยอรมนี ก่อนจะแยกตัวจากกันในปี 1785 เมื่อรัฐบาลหวาดหวั่นว่าสมาคมลับซึ่งเกิดขึ้นอย่างเฟื่องฟูในเวลานั้น จะกลายเป็นต้นธารของการล้มล้างระบอบกษัตริย์และศาสนาคริสต์ในบาวาเรีย ทั้งยังไม่ปรากฏหลักฐานว่าองค์กรอิลลูมินาติในบาวาเรียมาพบเจอกันหลังจากปี 1785 ด้วย
อิลลูมินาติกลับมาอยู่ในความสนใจของสื่อกระแสหลักอีกครั้งราวศตวรรษที่ 20 เนสตา เฮเลน เว็บสเตอร์ นักเขียนชาวอังกฤษเป็นผู้ ‘ปลุกผี’ อิลลูมินาติขึ้นมาอีกครั้งว่าองค์กรลับดังกล่าวเป็นแขนขาของชนชั้นสูงชาวยิว และหวังครอบงำทั้งโลกผ่านการเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ บวกรวมกันกับเป็นช่วงเวลาที่โลกเคลื่อนตัวเข้าสู่วัฒนธรรมอินเทอร์เน็ต อิลลูมินาติรวมถึงความเชื่อลี้ลับต่างๆ -เยติ, เนสซี, มนุษย์ต่างดาว ฯลฯ- จึงเป็นเสมือนของหวานสำหรับนักตะลุยโลกอินเทอร์เน็ต กลายมาเป็นมีม เป็นวัฒนธรรมกระแสหลักที่เห็นผ่านตากันได้รายวัน
หรือล่าสุดกับคิวอะนอน กลุ่มคนที่เชื่อในทฤษฎีสมคบคิดว่ามีคนจำนวนมากที่เข้าลัทธิบูชาซาตาน, กินเนื้อคน หรือค้ามนุษย์ มุ่งหวังจะโจมตีโค่นล้ม โดนัลด์ ทรัมป์ ที่เวลานั้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอยู่ โดยมีหลักฐานคร่าวๆ ว่าคิวอะนอนปรากฏตัวในโลกอินเทอร์เน็ตราวปี 2017 หรือหนึ่งปีให้หลังทรัมป์ได้รับเลือกตั้ง ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่เรียกตัวเองว่า คิว (Q) โพสต์ข้อความลงบนโฟร์แชน (4chan) เว็บบอร์ดอิสระว่า เขามีหลักฐานว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลสหรัฐฯ พยายามครอบงำรัฐบาลของทรัมป์ วาลเตอร์ คิม นักเขียนชาวอเมริกันเจ้าของเรื่อง Up in the Air (2001 -ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ในชื่อเดียวกันปี 2009) วิเคราะห์ว่าเหตุผลที่ทำให้ทฤษฎีสมคบคิดของคิวถูกพูดถึงและแพร่กระจายไปเป็นวงกว้างนั้น ไม่เพียงแค่อิทธิพลของโลกอินเทอร์เน็ตที่ทรงพลังกว่าเมื่อหลายสิบปีก่อน แต่ยังรวมถึงวิธีการโพสต์ของคิว ซึ่งมักทิ้งเป็น ‘คำใบ้’ ให้คนไปตามสืบมากกว่าจะระบุเนื้อหาโดยชัดเจน หนึ่งในคำสำคัญที่คิวโพสต์คือ “ตามเจ้ากระต่ายขาวไป” (“Follow the White Rabbit”) เพื่อกระตุ้นให้คนอ่านตามปะติดปะต่อคำใบ้เอาเอง “คนบนโลกอินเทอร์เน็ตไม่ได้อยากเป็นคนอ่าน พวกเขาอยากเป็นคนเขียนเล่าเรื่อง ไม่ได้อยากได้คำตอบที่ทิ้งไว้ให้ แต่อยากได้คำตอบซึ่งพวกเขาเป็นคนหามาได้ต่างหาก” คิมบอก (ซึ่งว่าไปก็เหมือนจะจริง เมื่อพินิจจากวัฒนธรรม ‘นักสืบโซเชียล’ ที่แพร่กระจายไปทุกหย่อมหญ้าตอนนี้)
การบุกรุกอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อเดือนมกราคม 2021 ที่ผ่านมา ก็มีรากฐานบางส่วนมาจากกลุ่มคิวอะนอน ภายหลังจากที่รีพับลิกันและทรัมป์แพ้การเลือกตั้งปี 2020 กลุ่มคนที่สนับสนุนทรัมป์ -ซึ่งจำนวนหนึ่งเป็นกลุ่มคนจากคิวอะนอน รวมทั้งกลุ่มการเมืองขวาจัดในนาม National Anarchist Movement และ America First Movement- บุกเข้ารัฐสภาเพื่อป้องกันไม่ให้วุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรประกาศรองรับชัยชนะของ โจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต
พ้นไปจากนี้ ทฤษฎีสมคบคิดยังกินพื้นที่ไปถึงวัฒนธรรมกระแสหลักอื่นๆ ที่นอกเหนือไปจากเรื่องการเมืองด้วย ลำพังในอุตสาหกรรมดนตรีอเมริกันก็มีทฤษฎีสมคบคิดมากมายเต็มไปหมด นับตั้งแต่ พอล แม็กคาร์ตนีย์ สมาชิกวง The Beatles อันเกรียงไกรนั้นแท้จริงเสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 1966 (!!) ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ แต่เพื่อจะให้วงเดินหน้าต่อไปได้ ค่ายเพลงและสมาชิกคนอื่นๆ จึงว่าจ้างชายคนหนึ่งที่หน้าตาเหมือนแม็กคาร์ตนีย์ทุกระเบียดนิ้วให้มาเป็นแม็กคาร์ตนีย์ร่างจำลอง แล้วกลายเป็นปรากฏการณ์ระดับประเทศพร้อมวลี “Paul is dead” (พอลตายแล้ว) จนคนพากันจ้องจับผิดพ่อหนุ่มแม็กคาร์ตนีย์กันทั้งเมือง และแม้กระทั่งเมื่อแม็กคาร์ตนีย์ให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Life ในปี 1969 หลายคนก็ยังไม่ปักใจเชื่อเพราะอาจเป็นแม็กคาร์ตนีย์ร่างจำลองมาให้สัมภาษณ์ออกสื่อก็เป็นได้! (เอ่อ…)
ในทางกลับกัน ก็มีแนวคิดที่เชื่อว่าตอนนี้ เอลวิส เพรสลีย์ ราชาร็อคแอนด์โรลล์ยังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่ง ถึงขั้นมีหนังสือ Is Elvis Alive (1988) ที่ติดอันดับขายดีอยู่พักใหญ่ บ้างก็ว่าที่เขาต้องกุข่าวเสียชีวิตขึ้นมานั้นเพราะแท้จริงเพรสลีย์เป็นสายลับให้รัฐบาลอเมริกา -ซึ่งกำลังเตรียมรับมือกับการเข้าสู่สงครามเย็น- ในเวลานั้น บ้างก็ว่าเขามีปัญหากับเจ้าพ่อมาเฟียจึงต้องปล่อยข่าวว่าเสียชีวิตแล้วหลบไปกบดาน หรือบ้างก็ว่าเขาทำงานให้ FBI และจำเป็นต้องลบตัวตนทิ้งเมื่อภารกิจเสร็จสิ้นลง
อย่างไรก็ตาม หากเรากลับมามองยังเรื่องที่สหรัฐฯ พยายามเข้ามาครอบงำการเมืองไทย และหวังทำให้ไทยกลายเป็น ‘เมืองขึ้น’ ในศตวรรษที่ 21 ด้านหนึ่งคงปฏิเสธไม่ได้ว่ารากฐานของมันย่อมผสมผสานมาจากสารพัดแนวคิดที่ปลูกฝังกันมาตั้งแต่ยุคสงครามเย็น แนวคิดแบบชาตินิยมโดยรัฐไทยที่ป่าวประกาศว่าไม่เคยเป็นเมืองขึ้น, ความภาคภูมิใจในเอกราช หรือตำนานการกู้ชาติที่ปรุงแต่งกันมาไม่รู้กี่ด่าน ไม่มากก็น้อยน่าจะมีส่วนช่วยถักทอแนวคิดที่สร้างความ ‘เป็นอื่น’ ขึ้นมา และคายออกมาเป็นความหวาดกลัวต่อชาติตะวันตกในที่สุด