บทความชวนดูงานศิลปะและนวัตกรรมจากโลกที่หนึ่ง ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีให้สังคมและชีวิตคน ผ่านสายตานักออกแบบมัลติมีเดียจากโลกที่สามในนามกลุ่ม Eyedropper Fill
Eyedropper Fill เรื่อง
นับเป็นเวลาครบหนึ่งปีพอดิบพอดี สำหรับโครงการ Connext Klongtoey – เวิร์กชอปศิลปะที่กลุ่ม Eye On Field (บ้านเล็กหลังใหม่ของ Eyedropper Fill – ผู้เขียนคอลัมน์) จัดขึ้นเป็นห้องเรียนทางเลือกสำหรับเด็กนักเรียนในสลัมคลองเตย ผู้อ่านหลายคนคงจำวิดีโอแคมเปญชิ้นนี้กันได้ หากจำไม่ได้ ลองกดชมเพื่อทำความรู้จักโครงการนี้กันอีกสักรอบ
ช่วงนี้ของปีก่อน ผลงานศิลปะหลายแขนงของนักเรียนในคลาส Connext Klongtoey ถูกนำไปจัดแสดงเป็นนิทรรศการชื่อเดียวกัน ในงาน Bangkok Design Week 2019 ผลตอบรับทั้งคำชม รอยยิ้ม น้ำตาจากความซาบซึ้งทั้งของผู้ชมและเด็กนักเรียนที่พาผลงานเมดอินคลองเตยของตัวเองมาสู่สายตาประชาชน คล้ายเป็นเครื่องการันตีความสำเร็จ สื่อหลายสำนักติดต่อสัมภาษณ์เพื่อนำโครงการนี้เป็นกรณีศึกษาที่ดีในการทำงานศิลปะเพื่อสังคม ผู้เขียนที่มองอยู่ห่างๆ ก็สัมผัสได้ถึงความสำเร็จนั้น
แต่สำหรับ เบสท์ – วรรจธนภูมิ ลายสุวรรณชัย หนึ่งในผู้จัดโครงการที่เติบโตขึ้นหนึ่งปีหลัง Connext Klongtoey จบ เมื่อมองย้อนไป เขาไม่ได้เห็นแต่ด้านสำเร็จและสวยงาม แต่กลับสนใจความไม่สำเร็จและด้านไม่สวยงามของศิลปะเพื่อสังคมโครงการนี้ เพราะมันทำให้ได้เรียนรู้ว่า บางปัญหาก็ไม่สามารถแก้ได้ด้วยการทำโปรเจ็กต์เพียงลำพัง โดยเฉพาะปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาที่ Connext Klongtoey พยายามท้าทายนั้น มีมิติซับซ้อนกว่าแค่เรื่องในโรงเรียน
“จุดเริ่มต้นของ Connext Klongtoey คืออยากทดลองทำพื้นที่ทางเลือกสำหรับเด็กที่สนใจด้านศิลปะในคลองเตย ให้เขาได้เลือกเรียนสิ่งที่ตัวเองชอบและลงมือทำจริง โดยมีวิทยากรคอยแนะนำ รวมไปถึงได้แสดงผลงานจริงออกมาด้วย ในตอนแรกเราคาดหวังไว้แค่อยากให้เด็กได้เรียนรู้ถึงศักยภาพด้านในของตัวเองในแบบที่ระบบการศึกษาหลักไม่ได้สนับสนุน และอยากให้งานศิลปะที่น้องทำเป็นตัวสื่อสารให้คนข้างนอกเห็นคลองเตยในมุมของเด็กคนหนึ่งที่กำลังจะเติบโตไปในสังคม”
ตั้งแต่เริ่มโครงการ เบสท์ได้รู้จักกับเด็กหลายคนจนสนิทกันเหมือนเพื่อน ทำให้ได้เห็นชีวิตนอกห้องเรียนและนอกรั้วโรงเรียนของพวกเขา ทำให้เขาพบว่าปัญหาการศึกษา โดยเฉพาะในบริบทที่มีความเหลื่อมล้ำอย่างคลองเตย เราไม่สามารถแก้ได้แค่เรื่องการศึกษาในโรงเรียนอย่างโดดๆ โดยไม่คิดถึงปัจจัยรอบข้าง
“Connext Klongtoey ทำงานกับเด็กๆ ที่อยู่ในโรงเรียนเป็นหลัก แต่อย่าลืมว่าในหนึ่งวันเขาอยู่โรงเรียนแค่ 8 ชั่วโมง เวลาที่เหลือมันคือเวลาที่เขาจะอยู่กับครอบครัว เพื่อนเขา ชุมชนเขา
“ตรงนี้มีผลกับเด็กคนหนึ่งอยู่แล้ว เราเคยได้คุยกับแม่ของน้องในคลาสเรียน เขาเป็นแม่บ้านได้เงินต่อเดือนประมาณ 9,000 บาท เขากับสามีแยกทางกัน เท่ากับ 9,000 บาทนี้ต้องเอาไว้จ่ายค่าเช่าบ้านเดือนละประมาณ 1,500 เลี้ยงดูลูกอีกสามคน ค่าข้าวค่าขนมไปโรงรียน ตอนเราฟังก็งงว่ามันจะพอได้ยังไง
“ฉะนั้น เด็กที่นี่พอเริ่มโตหน่อย สัก 14 – 15 ก็ต้องเริ่มช่วยครอบครัวหาเงิน บ้างก็ไปขนผักในตลาด บ้างก็ไปเดินขายพวงมาลัย บางคนโหดหน่อยคือทำหลายอย่างรวมกันหลังเลิกเรียนแล้วตกดึกก็ไปเป็นเด็กเปิดตู้คอนเทนเนอร์ในท่าเรือ ได้ค่าจ้างคืนละ 200-300 ซึ่งรวมๆ แล้วก็พอจะเอามาจุนเจือครอบครัวได้อยู่ นี่เลยเป็นสาเหตุที่เห็นชัดเลยว่า การศึกษาสำหรับบางครอบครัว จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นเป็นอันดับสองรองจากรายได้ กลายเป็นสาเหตุที่เด็กออกจากโรงเรียนเยอะมาก”
เช่นเดียวกันกับโครงการ Connext Klongtoey ช่วงเริ่มต้นเวิร์กชอป มีเด็กนักเรียนหลายคนที่ฉายแววทางศิลปะจนวิทยากรของเราตาลุกวาว แต่เมื่อโครงการดำเนินมาไม่ถึง นับจำนวนเด็กในคลาสพบว่าหายไปเกินครึ่ง โครงการจึงจำต้องจบลงก่อนกำหนด
“ยกตัวอย่างเคสนึงที่เห็นได้ชัด น้องคนหนึ่งในคลาสภาพถ่าย มีมุมมองน่าสนใจมาก แต่จู่ๆ วันหนึ่งก็หายไปจากคลาส สืบไปพบว่าถูกพี่เขยทำร้าย เขาต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน เด็กบางคนมาได้ไม่กี่คลาสแล้วก็หายไป ไม่ใช่เพราะความขี้เกียจ แต่เพราะต้องไปช่วยที่บ้านทำงาน เราจำได้ประโยคหนึ่ง จากแม่น้องในคลาสที่กำลังไปได้สวยแต่ต้องออกไปกลางคัน เขาบอกว่า “ก็ตัวแม่เขาเองยังได้เท่านี้ เขาจะไปหวังอะไรให้ลูกเดินไปได้ไกลกว่าเขา ลูกคงไปไกลกว่าเขาไม่ได้มาก
“การลงไปทำโครงการนี้จึงทำให้เราเห็นว่า ถ้าหากต้องการจะแก้เรื่องระบบการศึกษา เราอาจจะต้องแก้บริบทอื่นๆ ที่รายล้อมไปพร้อมกันด้วย”
นอกจากปัญหาที่เบสท์เล่า มีปัจจัยมากกว่านั้นอีกมั้ยที่ทำให้ ‘โครงการเพื่อสังคม’ หลายๆ อันไม่ยั่งยืน – เราถามแทนคนสนใจงานเพื่อสังคม
ถ้าทำต่อได้ เราคงอยากจะทำให้อยู่ยาวๆ แบบยั่งยืนกว่านี้ เข้าไปดึงภาคส่วนอื่นมาร่วมมือกันและพยายามผลักดันให้เกิดขึ้นจริงเป็นหลักสูตร”
เบสท์ – วรรจธนภูมิ ลายสุวรรณชัย ถ่ายคู่กับเด็กในวันท้ายๆ ของโครงการ Connext Klongtoey
พูดถึงเด็กที่เคยผ่าน Connext Klongtoey มา หลังจากพาผลงานตัวเองไปเจอคนดูในนิทรรศการแล้ว ผ่านไปหนึ่งปี ชีวิตแต่ละคนเป็นอย่างไร
“น้องหลายคนเลยเรียกร้องให้เราทำอีก เพราะเขาได้เห็นศักยภาพตัวเองในช่วงเวลาหนึ่ง ทำให้เขาได้รู้ว่าเขาทำได้ ส่วนตอนนิทรรศการที่เขาได้ไปพบปะคนข้างนอก มันทำให้เขารู้ว่าหลายคนก็ไม่ได้มองคลองเตยในแง่ลบเสมอไป
“ตัดกลับมาที่ปัจจุบัน น้องบางคนไปได้ดี อาจจะไม่ใช่ในสายทางที่เรียนในคลาสเวิร์กช็อป อย่างน้องในคลาสแร็ป ตอนนี้ไปเป็นนักบอล ทำทีมไปลงแข่งจริงจัง บางคนกลับไปขายยา บางคนลาออกจากโรงเรียนเพื่อเดินตามความฝันในสายอาชีพ แต่ละคนเลือกทางเดินไปคนละแบบ”
ส่วนครูโมสต์ – สินีนาฎ คะมะคต ที่เป็นผู้ร่วมจัดทำ ตอนนี้ไปเรียนต่อด้านรัฐศาสตร์ ไปขับเคลื่อนภาคนโยบายในเรื่องแรงงาน ซึ่งเป็นประเด็นต่อยอดจากที่ได้เรียนรู้ในโครงการนี้ไปพร้อมกับเราว่า “การศึกษาถูกแก้จากเด็กอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องเข้าไปแก้ที่คุณภาพชีวิตซึ่งรวมไปถึงพ่อแม่ ครอบครัวพวกเขาที่ทำงานหาเช้ากินค่ำด้วย”
ทั้งเด็กในคลาส และคนที่ได้ดูโครงการต่างเชียร์ให้ Connext Klongtoey ทำต่อ เราอยากรู้ว่า ‘ภาค 2’ ของมัน จะมีโอกาสเกิดขึ้นมั้ย
“หลังนิทรรศการจบไม่นาน พบว่าสิ่งที่เราพอจะทำต่อได้คือเล่าประเด็นนี้ออกมาเป็นหนังสารคดี เราตามถ่ายชีวิตของเด็ก 2 คนที่ได้รู้จักจากคลาสแร็ป เราเห็นพลังในตัวเขาที่มีแพสชั่นกับสิ่งนี้และทั้งสองคนก็เห็นตัวเองค่อนข้างชัดว่าอยากมาทางนี้จริงๆ”
“หลังทำอัลบั้ม School Town King ใน Connext Klongtoey จบ เด็กสองคนน้ียังไปต่อ ยังแร็ปหาเงินและเดินตามความฝันที่อนาคตอยากเป็นแร็ปเปอร์ ขณะเดียวกันเส้นทางนี้ทำให้เขายิ่งเฉออกไปจากเส้นทางของระบบการศึกษาหลักไปเรื่อยๆ เรามองว่าตรงนี้คือ turning point เลยนะ ถ้าคุณเฉออกมาจากเส้นทางหลักเรื่อยๆ สุดท้ายแล้วการทำเพลงฮิปฮอปเป็นความหวังให้คุณได้จริงมั้ย แล้วถ้ามันไม่ประสบความสำเร็จ คุณจะกลับไปเรียนในระบบการศึกษาหลักที่คุณหนีออกมาอีกหรือเปล่า
“ส่วนตัวเราก็ตอบให้ไม่ได้ แต่ทั้งหมดคือคำถามที่เด็กสองคนนี้เจอ และเราก็ค้นพบไปพร้อมๆ กับเขา ซึ่งมันแตกต่างมากจากโครงการ Connext Klongtoey เพราะอันนี้คือของจริง ชีวิตจริง ไม่มีคนแนะนำ ไม่มีทุนและวิทยากรสนับสนุนอีกต่อไปแล้ว เราเลยอยากให้หนังเป็นตัวบันทึกว่า อะไรคือปัจจัยและสาเหตุที่ทำให้เด็กเลือกอะไร ไม่เลือกอะไร เลือกตามฝัน หรือเลือกอยู่ในระบบการศึกษา ซึ่งในวัยของพวกเขาแล้วบางการตัดสินใจเป็นจุดที่เปลี่ยนชีวิตเขาไปเลยจริงๆ”
สำหรับใครที่รอดู “หนังอยู่ในช่วงถ่ายทำและตัดต่อ คาดว่าน่าจะเสร็จช่วงปลายปี และน่าจะเป็นการฉายในโรงภาพยนตร์แบบจำกัดรอบ สารคดีเรื่องนี้เราได้รับทุนการสนับสนุนจาก กสศ. (กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา) และดูแลการผลิตโดย The 101 Percent หนังเรื่องนี้ นอกจากกลุ่มคนดูหนังนอกกระแสแล้ว เราอยากขยายพื้นที่ฉายออกมายังกลุ่มคนอื่นๆ ในรูปแบบอีเวนต์ อาจไปตามโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย จัดเสวนาควบคู่ไปให้เกิดการพูดคุยกันจากคนหลายๆ สายด้วย”
สองปีในโรงเรียนกลางชุมชนคลองเตย กับอีกปีกว่าๆ ในการติดตามชีวิตเด็กแร็ปล่าฝัน เราอยากรู้ว่าเบสท์เห็นปัญหาการศึกษาผ่านเรื่องเหล่านี้อย่างไร
“สิ่งหนึ่งที่เราเห็นตลอดไม่เปลี่ยนแปลงคือ เด็กทุกคนมีความฝัน และทุกคนมีความสามารถที่จะไปถึงตรงนั้นได้ แค่อะไรหลายอย่างไม่ได้อำนวยให้เขาไปถึง เด็กที่นี่ชอบบ่นว่าเรียนไปแล้วไม่เข้าหัว ไม่ใช่เพราะสมองไม่ดี แต่เพราะเรื่องที่ห้องเรียนสอน มันไปคนละทางกับวิถีชีวิตและบริบทสังคมที่เขาอยู่ และวิธีการสอนในห้องเรียน ไม่ได้ไปกับโลกปัจจุบัน
“เด็กบางคนเรียนไม่เก่ง แต่อยากเป็นนักร้อง เขาสามารถหัดร้องเพลงจากยูทูบได้ เรียนภาษาอังกฤษจากเพลงในยูทูบได้ เด็กบางคนซ้ำชั้นทุกวิชา แต่ไลฟ์ขายของในเฟซบุ๊กเก่งมาก วิธีการเข้าถึงความรู้ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แต่ในห้องเรียน ผ่านครู หรือผ่านเครื่องมือเดิมอีกต่อไปแล้ว เด็กเหล่านี้ใช้เทคโนโลยีในมือถือได้คุ้มค่ามาก เขาคุ้นเคยกับการรับข้อมูลผ่านประสบการณ์อีกแบบ ตอบโต้ได้ ค้นหาเองได้ ตัดกลับมาในห้องเรียน ทุกอย่างต้องรอฟังจากครูเหมือนเดิม เนื้อหาส่วนใหญ่ที่ครูพูดก็นำไปใช้ในสิ่งแวดล้อมของเขาไม่ได้ เราเลยคิดว่าภาพรวมของการศึกษาอาจจะต้องยืดหยุ่นตัวเองทั้งวิธีการสอนและเนื้อหาเพื่อเอื้อต่อความหลากหลายของเด็ก
“ที่สำคัญ ห้องเรียนต้องเป็นพื้นที่ที่เด็กสามารถเรียนรู้และล้มเหลวได้ ครูแค่ให้คำแนะนำและปล่อยให้เขาทดลองตามความสนใจ ถ้าห้องเรียนปล่อยให้เด็กเฟลไม่ได้หรือล้มแล้วต้องกลายเป็นผู้แพ้ มันบีบบังคับให้คุณต้องเลือก เช่น ถ้าไม่ชอบเรียนก็ต้องออกไปแร็ปให้สุด และต้องสำเร็จเท่านั้น เหมือนเด็กแร็ปสองคนที่เราตามถ่ายสารคดีกำลังแบกความกดดันนี้อยู่
“และถ้าสุดท้าย ทั้งสองคนค้นพบว่าทางที่เดินไปมันไม่ใช่ วันนั้นเมื่อเขาหันหลังกลับมา มีอะไรรองรับเขาบ้าง สุดท้ายสังคมเราจะมีแต่ผู้แพ้พ่ายต่อความฝันเต็มไปหมด”